ทัศนคติใหม่ของผู้นำ 2020
เมื่อโลกเปลี่ยน ธุรกิจเปลี่ยน แนวคิดผู้นำหรือผู้บริหารก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย มาดูทัศนคติใหม่ 3 ข้อของผู้นำ ในปี 2020 ว่าจะมีอะไรที่ต้องเปลี่ยนแปลงบ้าง
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ดิฉันได้มีโอกาสทำงานร่วมกับผู้นำมากมายในการปรับเปลี่ยน ปฏิรูปองค์กรเพื่อรับมือกับความท้าทายทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป การร่วมงานกับผู้นำเหล่านี้ทำให้ดิฉันเกิดข้อคิดขึ้นมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การนำการเปลี่ยนแปลงองค์กรที่สำเร็จในยุคนี้ ผู้นำต้องเปลี่ยนทัศนคติของตัวเองก่อน
- ทัศนคติใหม่ 3 ข้อของผู้นำ 2020
เปลี่ยนจากบริหารเวลา มาบริหารพลัง ตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา หลักสูตรพัฒนาผู้นำที่ยังคงความเป็นอมตะและยังได้รับความนิยมคือ หลักสูตรการบริหารเวลา (Time Management) สอนการบริหารจัดการอะไรสำคัญอะไรเร่งด่วน อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง
แต่สมัยนี้ยุคที่คู่แข่งตัวสำคัญคือเวลา มันยากที่จะบอกว่าอะไรสำคัญกว่าอะไรเร่งด่วนกว่ากัน เพราะทุกอย่างดูสำคัญและเร่งด่วนเท่ากันหมด และหากไม่ลองลงมือทำ เปิดโอกาสลองผิดลองถูก อาจพลาดโอกาสทางธุรกิจมหาศาลได้ หากองค์กรของคุณเลี่ยงไม่ได้กับอาการต้องลองทำหลายๆ อย่างเพราะต้องแข่งกับความเร่งด่วนทางธุรกิจ
สิ่งที่ผู้นำต้องหันมาใส่ใจคือการบริหารพลังของตนเอง (Energy Management) ด้วยการหาวิธีเติมพลังให้กับตนเองให้เร็วที่สุด ผู้นำแต่ละคนได้รับพลังจากการทำงานไม่เหมือนกัน บางคนมีพลังเพิ่มเมื่อได้มีโอกาสทำงานร่วมกับคนอื่น ได้ฟังไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดความคิด
บางคนมีพลังเพิ่มจากการได้ใช้เวลาอยู่คนเดียวสักวันละ 20-30 นาที เพื่อสะท้อนความคิดตนเองว่าวันนี้ทำอะไรไป อะไรเวิร์ค อะไรไม่เวิร์ค และจะทำอะไรต่อหรือควรหยุดทำอะไรต่อ แน่นอนที่สุดเมื่อผู้นำเติมพลังเต็ม พลังนั้นมันจะถูกส่งต่อไปให้คนอื่นๆ ในองค์กรต่อไป
จงนำตัวตนที่แท้จริงของคุณมาทำงาน ดิฉันมีโอกาสได้ทำงานกับผู้นำรุ่นพี่ๆ หลายคนที่นอกจากเก่งแล้วยังดูดีมีมาด ดูมีฟอร์มน่าเกรงขาม จนเรานี่แอบอยากรู้ว่าอยู่ที่บ้านจะเป็นแบบนี้ไหมหนอ พอได้สนิทคุ้นเคยกันมากขึ้น ทำให้มีโอกาสรู้ว่าเป็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา บางคนมีมุมศิลปินชอบวาดรูป บางคนชอบดำน้ำ บางคนสายชิว บางคนสายออกกำลังกาย
สถาบัน Bridgework ทำการศึกษาเรื่องเจเนอเรชั่น พบว่า คำว่า work & life balance เกิดมาจากผู้นำเจน X (อายุ 41-59 ปี) นั่นคือต้องการความสมดุลระหว่างเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว มาทำงานเพื่อเอาเงินไปทำอย่างอื่นที่มีความสุข ไม่ว่าจะท่องเที่ยวกับครอบครัว ออกกำลังกาย เป็นต้น
ผู้นำยุคใหม่อยู่บ้านเป็นอย่างไร เวลาทำงานก็เป็นอย่างนั้น นั้นคือการนำตัวตนที่แท้จริงมาทำงานในทุกวัน หากคุณรักสุขภาพ คุณก็ต้องสนับสนุนให้คนรอบตัวไม่ว่าจะลูกน้อง พนักงานงาน ลูกค้า ผู้ถือหุ้น เห็นความสำคัญและใส่ใจต่อสุขภาพเช่นกัน สร้างวัฒนธรรมการทำงานแบบ Wellness เป็นต้น
การนำตัวตนที่แท้จริงมาทำงานนั้น ผู้นำต้องตั้งคำถามสำคัญให้กับตัวเองก่อนว่า คุณมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรในฐานะมนุษย์คนหนึ่งและคุณมองเห็นภาพตนเองออกจากเก้าอี้จากบทบาทที่ทำอยู่อย่างไร เมื่อผู้นำนำตัวตนที่แท้จริงมาทำงาน นั่นแหละคำว่า work & life balance จะเกิดขึ้นอย่างแท้จริง เหมือนที่เขาพูดกันว่าในระหว่างที่คุณทำงานอยู่ คุณจะไม่รู้สึกว่าคุณกำลังทำงานอยู่เลย
คนเก่งไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง เรามักคุ้นเคยกับลุคของผู้นำที่เก่งกว่า รอบรู้กว่า มีประสบการณ์มากกว่า หากทีมถึงทางตันก็วิ่งกลับไปหาผู้นำ แล้วจะได้คำตอบสุดท้าย ปัญหาจะได้รับการแก้ไข สมัยนี้โลกเปลี่ยนไปมาก หลายอย่างที่ธุรกิจกำลังเจอเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในโลกใบนี้ และผู้นำหลายคนล้วนไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน คำตอบสุดท้ายของผู้นำจึงไม่ใช่คำตอบที่ได้ผลดีเสมอไป
ผู้นำยุคใหม่จึงต้องยอมรับก่อนว่าตนเองไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง และกล้าที่พูดว่า "ไม่รู้" และมันจะไม่ได้ทำให้ผู้นำดูดีน้อยลง ในขณะเดียวกันควรขยายมุมมองของตนเองผ่านมุมมองคนอื่น ซึ่งอาจเป็นลูกน้อง ลูกค้า หุ้นส่วนทางธุรกิจ หรือไม่แต่ลูกหลาน ด้วยการตั้งคำถามง่าย ๆ "เรื่องนี้พี่ไม่รู้ แล้วคุณคิดอย่างไร"