ความลับของชีวิต  'พลอย จริยะเวช'

ชีวิตเธอดูดีไปซะทุกอย่าง แต่ชีวิตก็คือชีวิต มีสุขก็มีทุกข์ และนี่คือห้วงหนึ่งของชีวิต ทุกข์มากๆ ก็ต้องหาทางออก

ถ้าพูดถึงชีวิต พลอย จริยะเวช ก็ต้องนึกถึงผู้หญิงมีสไตล์ เป็นนักเดินทาง มีรสนิยม รักศิลปะละเมียดละไมในการใช้ชีวิตหลายคนอยากทำแบบเธอบ้าง แต่กว่าจะมีวันนี้ ก็ใช้ความเพียรพยายามที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองรักในหลายๆ เรื่อง

พลอย เป็นคอลัมนิสต์อิสระมีผลงานเขียนและงานแปลรวมๆ35 เล่มล่าสุดพลอยเพิ่งออกหนังสือชื่อWhat is The Good Life?(สำนักพิมพ์ openbooks) วันแรกๆ ที่หนังสือออกเธอเซ็นชื่อในหนังสือจนปวดมือปวดไหล่

นอกจากเป็นนักเขียน ยังทำงานออกแบบแนวคิด(Concept Design) บางคนเรียกเธอว่า เจ้าแม่ไลฟสไตล์ และยังชอบวาดภาพด้วยพู่กันจีน ซึ่งปรากฎในผลิตภัณฑ์หลายแบรนด์ในเมืองไทยและต่างประเทศ รวมถึงการกุศล

ครั้งนี้จุดประกายไม่ใช่คุยเรื่อง เทรนด์ หรือไลฟสไตล์ แต่คุยเรื่อง ชีวิตและห้วงเวลาที่น่าจดจำทั้งสุขและทุกข์ โดยเฉพาะวันที่พ่อของเธอจากไป พลอยยอมรับว่าวนเวียนอยู่กับความทุกข์ปีกว่าๆ

กว่าจะทะลุทุกข์(คำที่พลอยใช้)ออกมาได้ ก็ใช้เวลาในการทำความเข้าใจชีวิต และการเขียนหนังสือเล่มล่าสุดนี่แหละคือ การบำบัดทุกข์อย่างหนึ่ง ที่ทำให้เธอเข้าใจห้วงเวลาของชีวิตเหมือนก้อนเมฆบนท้องฟ้าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

และนี่คือ เสี้ยวหนึ่งของชีวิตพลอย..

  157924682258

ช่วงชีวิตที่มีทุกอย่าง ชื่อเสียง งาน และเงิน คุณคิดว่าประสบความสำเร็จหรือยัง

อย่างตอนแปลหนังสือบริดเจ็ท โจนส์ พิมพ์ออกมา 25 ครั้งได้เงินล้านกว่าๆพ่อก็เรียกไปคุย ถามว่า “จะทำงานแปลอีกไหม” เราก็บอกว่า “น่าจะทำต่อ มันก็ดี” พ่อบอกว่า “อย่าทำเลย เล่มที่แปลออกมาอาจจะฟลุ๊คและจังหวะดี ถ้าแปลเล่มอื่นต่อไป คงไม่ได้แบบนี้ เพราะฉะนั้นต้องเตรียมตัวกับความผิดหวัง”พ่อปรามตลอด เราก็เลยไม่มีจังหวะที่เหลิงเวลารู้สึกว่าประสบความสำเร็จ พ่อก็จะดึงลงมา

 

ก่อนจะมีชีวิตที่ดีในแบบของคุณ คุณเองก็ผ่านช่วงเวลาแย่ๆ อยากให้เล่าให้ฟังสักหน่อย คุณจัดการกับปัญหาอย่างไร

 จริงๆ หนังสือเล่มใหม่What is The Good Life? อะไรคือชีวิตที่ดีไม่ใช่หนังสือที่บอกว่าเรามีชีวิตที่ดีแล้วเสียทีเดียวนะคะ การมีเครื่องหมายคำถาม แปลว่าเราต้องการแสวงหาคำตอบไปเรื่อยๆ

 

มองชีวิตว่าคือการที่ห้วงขณะ ห้วงเวลาใดๆ มาเชื่อม รวมตัวกัน พยายามเข้าใจและตระหนักรู้อยู่เสมอว่า เป็นไปไม่ได้ที่ทุกห้วงขณะในชีวิตมันจะดี การที่เราผ่านช่วงเวลาแย่ๆ ไปได้ ก็คิดว่ามันเท่ากับเราตอบคำถามได้เพิ่มอีกข้อว่า ชีวิตที่ดีคืออะไร

 

การจัดการกับปัญหาใหญ่ เราเรียกมันว่าการทะลุทุกข์ แปลว่าเราต้องเข้าใจตัวเองก่อน แล้วขยับไปเข้าใจทุกข์ แล้วก็เอาทุกข์นั้นๆ มาแมทชิ่งกับตัวเราที่แท้ แปลว่าเกิดกระบวนการได้คิด จนถึงคิดได้ ลงมือปฏิบัติให้สำเร็จตามคิด ได้เขียนไว้ในหนังสือว่า กระบวนการทะลุทุกข์เป็นความลับของการมีชีวิตที่แต่ละคนต้องค้นพบด้วยตัวเอง อาศัยคนอื่นน้อยที่สุด มันจึงไม่มีสูตรสำเร็จ ตัวเราที่แท้หมายถึงพลังข้างใน พลังของจิตใจ ที่ต้องมีมากพอจนทำให้เราใช้มันเพื่อกุมสติ กรองปัญญามาใช้ในการจัดการกับปัญหาเล็กๆ ไปจนทุกข์ใหญ่ๆ ได้ อันนี้เป็นหลักใหญ่ใจความที่ใช้กับการจัดการทุกปัญหาและการทะลุทุกข์

 

ชีวิตที่ดีในความหมายของคุณคืออะไร

 หนังสือที่พลอยเขียนไม่ใช่ฮาวทูแน่นอน เพราะเราไม่เชื่อเรื่องนั้น พลอยก็ดีใจที่ฟีคแบคดีมากเรื่องชีวิตที่เราหยิบมาเขียนก็ใช้ได้กับเรื่องทั่วไปอย่างเรื่องกระบวนการคิด พลอยก็ได้มาจากพ่อพ่อบอกว่า เวลามีปัญหาคิดสามครั้ง ก็จะเริ่มใช้สติพิจารณา ก็เป็นหลักการที่สนุกดี ดังนั้นชีวิตที่ดี ก็คือ ต้องรับมือกับทุกข์และปัญหาได้

 

ช่วงอิ่มตัวกับสิ่งที่ทำและรู้สึกเบื่อหน่าย คุณหายไปทำอะไร

 ตลอดชีวิตการทำงาน มีงานเดียวที่อิ่มตัวมาก ขนาดเรียกว่าเบื่อหน่าย คือการทำงานแปลค่ะ เมื่อคิดและตัดสินใจดูดีแล้ว ว่าหน่ายกับมันมากขนาดทำให้ไม่เป็นสุข ก็เลิกทำเลย ทำให้หายไปจากวงการแปล แต่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองหายไปไหน เพราะงานแปลเป็นหนึ่งในงานหลายอย่างที่เราทำอยู่ และเป็นงานเดียวที่คิดว่าอิ่มตัว พอน่าจะดีกว่า ถ้ารู้สึกอิ่มตัวกับอะไรก็จะเลิกทำและไม่นึกอยากกลับไปทำอีก

 

แต่ไม่เคยหายไปจากการทำงานเขียน ออกหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊คทุกปี ปีละเล่มเป็นอย่างน้อยมาติดต่อกันยี่สิบกว่าปี จนเล่มล่าสุดนี้ก็เป็นเล่มที่ 36 งานเขียนคอลัมน์ก็เช่นกันมีคอลัมน์ประจำมาโดยตลอด จากสื่อสิ่งพิมพ์หายไป ก็เขียนออนไลน์

 

สามสี่ปีที่ผ่านมา เริ่มมีรายได้จากทำงานวาด เอาภาพที่วาดไปออกแบบจัดวางลายบนเครื่องใช้ประเภทกระเบื้อง ได้ร่วมงานกับองค์กรที่ดี เปิดตัวงานแรกด้วยการทำงานเครื่องกระเบื้องกับแบรนด์ฝรั่งเศส ขายในงาน Maison d’Objet ที่ปารีส จากนั้นก็ได้ร่วมงานกับ Noritake (นอริตาเกะ)แบรนด์เครื่องกระเบื้องเก่าแก่ของญี่ปุ่น งานด้านการท่องเที่ยวก็ทำตลอด ได้ร่วมงานกับ อพท. เป็นผู้ทรงคุณวุฒิด้านการออกแบบ ก่อนหน้านั้นก็เป็นกรรมการตัดสินประกวดโรงแรมบูติกมาห้าหกปี ได้เดินทางทั่วไทย ชอบมาก

 

ตอนที่สูญเสียพ่อ ตอนนั้นคุณใช้เวลาทำใจยังไง และผ่านไปได้ยังไง

 พยายามคิดว่ามันคือแพ็กเกจของการมีชีวิต เกิด แก่ เจ็บ ตาย ใครๆ ก็ต้องเจอ ต้องผ่าน พ่อฝึกให้เราเข้าใจในจุดนี้ตั้งแต่เขาเริ่มแก่ และเจ็บป่วยนานหลายปี เราได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่โรงพยาบาล เทียวไปเทียวมากับเขาในห้องฉุกเฉิน ห้องไอซียู ยังได้เห็นการเจ็บป่วยมากมายของผู้อื่น ครอบครัวอื่นไปด้วย ได้ประสบความทุกข์ใจกับความเจ็บป่วยอย่างหนักของพ่อ แต่ก็เห็นพ่อรับมือจัดการกับมันอย่างน่าทึ่ง ตลอดการเจ็บป่วยพ่อยังอารมณ์ดีมาก ก็เป็นอย่างนี้อยู่ราวสามสี่ปี

 

พอพ่อตายจากไปจริงๆ ก็งงๆ ชาๆ สามสี่เดือนแรกไม่รู้ว่ารู้สึกอย่างไร ประกอบกับมีงานแยะมากในช่วงนั้น จำได้ว่าพอพ่อเสียได้ไม่กี่เดือน ก็ถึงกำหนดที่ต้องมีงานเปิดตัวคอลเลคชั่นที่ทำกับนอริตาเกะ มีรับงานไปทำประติมากรรมให้ห้างฯ ที่กำลังจะเปิดในเวลาเดียวกันด้วย เขาก็ส่งทีมมาถ่ายมาสัมภาษณ์เรา ทำคลิปต่างๆ ชีวิตวุ่นวายมาก กว่าจะได้อยู่นิ่งๆและเข้าสู่ระยะ‘ทำใจ’จริงๆ ปาเข้าไปห้าเดือน ซึ่งก็อาการหนักมาก และรู้สึกเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าการมีความทุกข์เป็นอย่างไร ใช้เวลาราวหนึ่งปีที่จะผ่านไปได้ การเขียนหนังสือGood Life? นี้ก็ช่วยได้มาก เพราะกระบวนการในการเขียนมันทำให้เราค่อยๆ ได้คิดทะลุทุกข์อย่างที่บอก

 

โชคดีที่งานที่ทำแทบทุกอย่างมันเอื้อต่อการเปิดจักระให้เราทำความเข้าใจตัวเอง ได้ใช้สติ ได้นิ่ง ได้คิด และดีที่เรามีงานมากมายหลากหลายให้ทำ ซึ่งก็พอดึงเราไปจากความทุกข์ได้บ้าง

 

หนังสือWhat is The Good Life?เห็นบอกว่ามาจากแรงบันดาลใจที่พ่อจากไป คุณใช้เวลาคิดและเขียนนานไหม

 ใช้เวลานานกว่าที่เขียนหนังสือปกติเท่านึง ปกติเขียนหนังสือแต่ละเล่มใช้เวลาราวหกเดือน เล่มนี้หนึ่งปีเต็มค่ะค่อนข้างแตกต่างจากทุกเล่มมากทีเดียว คือการเขียนหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมา มันเริ่มที่พลังเราเต็มปรี่ ไอเดียพรั่งพรู มีความอยากปล่อยพลังในงานเขียน แต่เล่มนี้คือประหลาดมาก มันเริ่มจากพลังหมดติดลบ และเราค่อยๆ ค้นพบการสร้างพลังใหม่ไปพร้อมๆ กับการเขียน ซึ่งก็บอกเล่ากระบวนการนั้นไว้ในหนังสือด้วย เกิดการค้นพบอะไรใหม่ๆ แยะมาก พอเขียนไปครึ่งเล่ม รู้สึกว่าพลังเรากลับมา และเป็นพลังแบบใหม่ที่ต่างไปจากเดิม จากที่เศร้ามากในทีแรก ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้น ดีขึ้น ดีขึ้น หลายบทเลยที่รู้สึกว่าทำไมเราเพิ่งเข้าใจความจริงข้อนี้ อ้อ มันเป็นเช่นนั้น และมีความตื่นเต้นมากที่จะบอกเล่าสิ่งที่ค้นพบ บรรณาธิการ (ภิญโญ ไตรสุริยะธรรมา) เขาเรียกว่าเกิดการTransformation

 

จริงๆ หนังสือเล่มนี้มานั่งคิดดูแล้วสนุกมากนะคะ เริ่มจากชื่อหนังสือ คือเราเจอลายมือที่พ่อเขียนไว้ในกระดาษโน้ตแผ่นเล็กๆ มันเป็นกระบวนการคิดดราฟต์แรกของเขาเวลาจะทำงานต่างๆ เขียนหนังสือ ทำวิจัย เตรียมการสอน พ่อมีการจดในกระดาษโน้ตแยะมากและรวมไว้เป็นปึ๊ง มียางรัด ใส่กล่องไว้ เราก็ไปเอามาหลายกล่อง ค่อยๆ อ่านแก้คิดถึง จนวันหนึ่งเจอประโยคที่พ่อจดโน้ตไว้ว่าอะไรคือชีวิตที่ดี? (Good Life)ไม่รู้ทำไมมันเด้งขึ้นมาอย่างแรงว่า นี่แหละชื่อหนังสือเล่มใหม่ของฉัน ก็วิ่งไปกดออดบ้านโญเลย บอกว่าได้ชื่อหนังสือแล้ว และคิดว่าจะเขียนแบบนี้ๆ โญว่าดีไหม

 

 ภิญโญเป็นบรรณาธิการที่ล้ำเลิศมากสำหรับเรา เพราะเขาเป็นกัลยาณมิตรที่ดีมากด้วย เต็มไปด้วยความปรารถนาดีที่มีให้กันอย่างจริงใจ ถ้างานยังไม่ดี ยังไม่ได้ เขาก็จะบอก หากได้ทำงานกับบรรณาธิการแบบนี้ เราว่างานจะวิวัฒน์พัฒนา มีการเติบโต เปลี่ยนแปลงงอกงามในทางที่ดีขึ้น ไม่หยุดอยู่แบบเดิมๆ

 

พอโญยอมรับ outline และชื่อ พอจะลงมือเขียน ปรากฏว่าเป็นช่วงเวลาห้าเดือนที่เราหายชา ตื่นมาพบว่าพ่อจากไปแล้วและเริ่มทุกข์หนักมาก เขียนบทแรกแทบไม่ได้ ตกใจมาก ลองส่งให้โญอ่านเขาก็ตอบกลับมาตรงๆ แต่อ่อนโยนว่า พลอย เธอพลังหมด ขวัญเธอหนีนะ งานไม่มีพลัง ตั้งสติและลองเขียนใหม่ดีไหม ช่วงนั้นก็เหมือนโลกถล่มลงหลุมดำไปลึกอีก แต่จากกำลังใจแบบที่ใช่ของคนใกล้ชิดรอบตัวที่รู้จักเราดี ทุกคนปล่อยให้เราอยู่ในหลุมดำอย่างสงบ ปล่อยให้เราค่อยๆ จัดการเพิ่มพลังข้างใน เข้าใจทุกข์ โดยมีทุกคนที่ว่ายืนล้อมรอเราอยู่รอบหลุม ส่งพลังความรักและปรารถนาดีที่เราสัมผัสได้พร้อมกระดาษทิชชูให้ซับน้ำตา จนเราทะลายหลุมดำออกมาได้ ด้วยวิธีอะไรคงไม่สามารถระบุเป็นข้อๆ แบบฮาวทูได้ แต่ก็พยายามอธิบายกระบวนการที่ว่าไว้ในหนังสือ Good Life

 

 ความยากคือเราอยากเขียนให้มันไม่ใช่การรีวิวชีวิต เรื่องส่วนตัวจะว่าไปมีน้อยมากไม่ถึง 5% ในแต่ละบท ไม่ฟูมฟายกับทุกข์ แต่กระบวนการที่เราทะลุทุกข์ต่างหาก คือ สิ่งที่เราว่ามันมีประโยชน์ โดยทั้งหมดนี้ มันยังเชื่อมโยงกับงานของพ่อด้วย เป็นครั้งแรกที่เราเข้าใจงานที่พ่อเขียน พ่อคิด หยิบจับมาปรับใช้ได้ในแง่มุมใหม่ นอกเหนือจากที่เขาเลี้ยงดูเรามาและอยากบอกเล่าส่งต่อ ยิ่งเขียนไปก็ยิ่งชอบมาก มันนำเราไปให้เข้าใจเรื่องราวอื่นๆ อย่างTransformation Economy,เรื่องวิกฤตอัตลักษณ์, กระบวนทัศน์ กระบวนการคิด ความคิดสร้างสรรค์ ฯลฯ ซึ่งเราว่ามันใช้ประโยชน์ได้ในการทำงานและเข้าใจโลก

 

เวลาคิดถึงพ่อ คุณนึกถึงเรื่องใดมากที่สุด

 รอยยิ้มและอารมณ์ขัน พ่อไม่ใช่คนเครียด พ่อเคยเขียนเรื่องการหัวเราะ โดยใช้ทฤษฎีมาอธิบายได้ พ่อนี่เป็นปราชญ์ได้ เรื่องอะไรเขาก็เขียนทะลุเป็นอะตอมได้

 

คุณเล่าเรื่องพลังของจิตใจไว้ในหนังสือ แล้วสร้างได้จริงหรือ

 ในเรื่องความรู้สึก ขอใช้ศัพท์คำว่า การเคลื่อนไคล พ่อเคยเล่าเรื่องปรากฎการณ์ธรรมชาติ อย่างการเคลื่อนตัวของเมฆ การไหลของน้ำ เป็นสิ่งที่เราวัดไม่ได้ บางอย่างเป็นกระบวนการธรรมชาติ เหมือนที่พลอยบอกว่า เป็นความลับของการมีชีวิต และทำให้เราเข้าใจสิ่งที่พ่อค้นพบ

 

ทำไมมนุษย์ถึงต้องใกล้ชิดกับธรรมชาติ ทำไมต้องเข้าใจปรากฎการณ์ธรรมชาติ อย่างเราไปนั่งอยู่ริมทะเล นั่งไปเรื่อยๆ สิ่งที่เรียกว่าTransformation มีอยู่ในธรรมชาติและทำให้คนผ่อนคลายการมองน้ำไหล กิ่งไม้แตก การกระจายตัวไม่เป็นระเบียบความรู้สึกที่คนเราสลายทุกข์ก็ประมาณนั้น หลังจากเขียนหนังสือเล่มนี้ไปถึงบทที่ 5 พลอยรู้สึกว่า มีพลังละ

เราเตรียมตัวตั้งแต่พ่อป่วย และเราใช้เวลากับพ่อเต็มที่ ทำให้พลอยค่อยๆ คิดได้ เมื่อก่อนพ่อเป็นรูปธรรมอยู่กับเรา ตอนนี้เราเห็นพ่อเป็นพลังงาน ร่างกายไม่อยู่แล้ว แต่ยังรู้สึกว่า เขายังอยู่ในแง่มวลพลังคือสิ่งที่เขาทำไว้ในโลก ก็คือ ความรัก ข้อคิดที่เขาให้เรา พอเราเข้าใจ เราก็ไปต่อได้ จำได้ว่าตอนที่ทุกข์มากๆ ไม่อยากพูดกับใครเลย ไม่อยากเจอใคร พอถ่ายรูปออกมารู้สึกเลยว่า แววตาเต็มไปด้วยความทุกข์ไปเที่ยวก็ไม่มีความสุข

 

อะไรที่พ่อส่งต่อมาถึงคุณ ทั้งเรื่องชีวิต วิธีคิด และการทำงาน

 ตอนเขียนหนังสือGood Life เสร็จ ก็บอกทุกคนว่า เพิ่งรู้ตัวว่ารวยมาก เมื่อพบมรดกแบบจับต้องไม่ได้ที่พ่อทิ้งไว้ให้ เป็นสินทรัพย์ประเภทที่ได้ใช้สั่งสมพลังแห่งจิตใจ ข้างใน และใช้พลังที่ว่านี้ประกอบส่วนในชีวิตชุดใหม่ให้ไปต่อได้

 

 สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Asset)มี 3 ประเภท แบบแรกคือสินทรัพย์เพื่อความเจริญก้าวหน้า (Productive Assets)ช่วยให้เราทำงานทำการสร้างรายได้อย่างมีประสิทธิภาพจากทักษะและความรู้ ซึ่งควรเป็นแบบรู้ลึก ความชำนาญที่ยากเลียนแบบ/ยากที่จะหาใครหรืออะไร ไม่ว่ามนุษย์อื่นหรือปัญญาประดิษฐ์มาทดแทน แบบนี้คือสินทรัพย์เพื่อความเจริญก้าวหน้ามูลค่ามหาศาล

 

สินทรัพย์ประเภทที่สอง คือสินทรัพย์เพื่อพลังชีวิต (Vitality Assets)การอยู่ดีมีสุข (Wellbeing)สุขภาพกายใจแข็งแรง มิตรภาพ ความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวแข็งแกร่ง การมีคลังสินทรัพย์เพื่อพลังชีวิตจำนวนมากเป็นตัวชี้วัดหลักประการหนึ่งว่าชีวิตดีเพียงไร

 

สินทรัพย์ประเภทสุดท้ายคือสินทรัพย์เพื่อการปรับตัว (Transformational Assets)หมายถึงการรู้จักตัวเอง ความยืดหยุ่นในการคิดที่กล้าเปิดกว้างรับประสบการณ์ใหม่ๆ นำไปสู่การเปลี่ยนผ่านหลายๆ แบบที่เกิดขึ้นในชีวิต

 

 สินทรัพย์ทั้งหมดนี้เราคิดว่าพ่อไม่ได้ส่งต่อ แต่ค่อยๆ ส่งมอบให้เรามาทีละน้อยตลอดชีวิตที่เขาใกล้ชิดเลี้ยงดูเรามาเกือบห้าสิบปี ถ้าใช้คำว่าส่งต่อ มันเหมือนเราแค่รับมา แล้วก็กดปุ่มเปิด ใช้ได้เลย ปึ๊ง!แต่มันไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ง่ายอัตโนมัติแบบนั้น เขาส่งมอบ เรารับมาแล้ว ต้องค่อยๆ คิด เข้าใจ และหาวิธีใช้ให้เป็น มันมีค่ากว่ารับมาแล้วตั้งวางมันไว้บนหิ้ง

 

ในวันที่รู้สึกแย่มากๆ คุณมีวิธีบำบัดใจตัวเองอย่างไร

 นอนร้องไห้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพอ เคยนอนร้องไห้ไม่หยุดครึ่งวัน ใครคิดว่าร้องไห้แปลว่าอ่อนแอเราไม่สนใจ เราคิดว่าการร้องไห้คือความโศก มันถูกกลั่นเป็นน้ำที่ต้องการจะไหลออกมา ช่วงที่ทุกข์ครอบงำหนักๆ คิดถึงพ่อมาก เดินห้างฯอยู่ดีๆ ก็น้ำตาไหล ต้องแอบเข้าไปร้องไห้ในห้องน้ำและควักแว่นดำมาสวม ถ้าอยากร้องก็จะร้องจนโล่ง แล้วค่อยๆ นอนคิด ตั้งสติ มีวิธีมากมายในการบำบัดใจ อย่างการอ่านหนังสือ ปีที่ผ่านไปนี้อ่านหนังสือจบเป็นสิบเล่ม แยะที่สุดในรอบสิบปี

 

 ช่วงหลังๆ รู้สึกว่าเราจิตว่อก มันมีโซเชียลมีเดีย มีเน็ตฟลิกซ์ มีคลิปมี IG มีอะไรมาจิกเรียกความสนใจเราไปแยะมาก แค่หยิบมือถือก็เพริดไปนู่นมานี่ทั่วไปหมด ไม่เคยอ่านหนังสือจบเล่มมานานแล้ว จนช่วงที่รู้สึกแย่มากๆ ทุกข์หนักๆ กลับมาอ่านหนังสือจบแยะมากเป็นประวัติการณ์ มันแปลว่าสมาธิที่ดีของเรากลับมา การมีสมาธิ จิตนิ่ง แปลว่าเราจะคิดได้ เป็นพื้นฐานที่ดีของทุกสิ่งอย่าง

 

นอกจากนี้ก็วาดรูปแยะมาก เราว่ารูปที่วาดตอนทุกข์ออกมามีพลังมาก กลายมาเป็นภาพประกอบในหนังสือ นอกจากนี้ก็ชอบไปโยคะอาทิตย์ละสามวัน เดินสวนลุมฯ ชอบการบำบัดใจแบบพื้นๆทำได้ด้วยตัวเองในชีวิตจริง และไม่ต้องพึ่งคนอื่นมากนัก

 

เวลาเจอกับความทุกข์ ความเบื่อ คุณจัดการกับมันอย่างไร

 เป็นคนที่คิดจะยุติทุกข์ ความเบื่อ ปัญหา ให้ไวที่สุด เพื่อจะเอาเวลาที่มีไม่มากไปใช้ชีวิตที่ดี หรือทำอะไรที่มันเข้าท่ากว่าการผูกตัวเองไว้กับพลังลบ การจัดการ การยุติพลังไม่ดีที่มาปะทะก็แล้วแต่กรณี สติ การคิดไตร่ตรองหาทางเลือกที่จะทำให้เราหลุดออกจากแต่ละสถานการณ์อันไม่พึงปรารถนาก็ต่างๆ กันไป แล้วแต่หน้างาน ที่สำคัญเราว่าตัวเองเป็นคนจัดการพลังลบแบบเข้าใจคำว่า ตัด คือ จบ อย่างค่อนข้างชัดเจน

................................

 หมายเหตุ : ติดตามข่าวสารพลอยได้ที่ www.ploychariyaves.com และFacebook Page : พลอย จริยะเวช /สำนักพิมพ์ openbooks เว็บไซต์ www.onopen.com เบอร์โทร 091-0094782