จ่ายเงิน 1.3 ล้าน ไปล่อง 'เรือสำราญ' ที่หรูที่สุดในโลกกันไหม?
ชวนสำรวจเรือสำราญที่หรูหราที่สุดในโลก "Seven Seas Explorer" ว่า บริการจะเลิศหรูขนาดไหน.. ไปดูกัน!
เปิดธุรกิจเรือสำราญ (Cruise) กับการท่องเที่ยวที่มาพร้อมความหรูหรา เดินทางล่องมหาสมุทรข้ามประเทศหรือทวีปดื่มด่ำบรรยากาศการพักผ่อนสุดชิล ที่กินระยะเวลาตั้งแต่ไม่กี่วันนานไปจนถึงเดือน สิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน..มันเป็นอย่างไร “กรุงเทพธุรกิจออนไลน์” จะพามารู้จักธุรกิจนี้ให้มากขึ้น
เราขอเริ่มต้นที่ "เรือสำราญที่หรูที่สุดแห่งปี 2019" นั่นคือ เรือสำราญ Seven Seas Explorer ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใหญ่ถึง 4,262 ตารางเมตร ประดับตกแต่งด้วยหินอ่อน พร้อมด้วยความหรูหราสุดเอ็กซ์คลูซีฟ
โดยแม้จะมีขนาดใหญ่โต แต่เพื่อให้สมกับความเอ็กซ์คลูซีฟ เรือลำนี้ออกแบบมาให้จุผู้โดยสารได้ราวๆ 750 คนเท่านั้น บวกเข้ากับลูกเรืออีก 542 คน ซึ่งหากเทียบกับเรือสำราญลำอื่นที่มีขนาดใหญ่พอๆ กัน สามารถรับผู้โดยสารได้มากถึง 5,000 คนเลยทีเดียว
ส่วนสนนราคาค่าความหรูที่ผู้โดยสารต้องจ่ายนั้น หลักการก็เหมือนกันกับเรือสำราญอื่นๆ คือ ขึ้นอยู่กับต้นทาง-ปลายทาง ของผู้โดยสารรายนั้นๆ โดยขั้นต่ำของการเดินทางกับ Seven Seas Explorer คือตั้งแต่ 9 วันขึ้นไป
โดยถ้านับแบบจัดเต็มทั้งเส้นทางที่เรือสำราญลำนี้ล่องไปนั้น ผู้โดยสารจะต้องจ่ายค่าเดินทางที่ 43,599 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยก็เบาๆ แค่ 1,357,000 บาทเท่านั้นเอง
ราคานี้ สำหรับการเดินทางถึง 76 วัน เริ่มต้นตั้งแต่เมืองบาร์เซโลน่า ประเทศสเปน แวะตามเมืองต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทยเรานี่เอง และจุดหมายไปจบที่โอ๊คแลนด์ เมืองท่าของประเทศนิวซีแลนด์
ถามว่า.. จ่ายแพงขนาดนี้ แลกด้วยความหรูระดับไหน ?
เรือสำราญ Seven Seas Explorer มีห้องพักแบบสวีท 375 ห้อง ทุกห้องมีระเบียงส่วนตัวให้ชมวิวดื่มด่ำบรรยากาศภายนอก เฉลี่ยพื้นที่ระเบียงห้องละ 12 เมตร จะนอนอาบแดดชิลๆ ก็ได้ความเป็นส่วนตัว
โดยห้องสวีท จะแบ่งย่อยลงไปถึง 16 รูปแบบ ซึ่งห้องที่ใหญ่และแพงที่สุด ชื่อว่า Regent Suites มีขนาดใหญ่ถึง 3,875 ตารางฟุต ที่เรียกได้ว่า หรูทุกซอกทุกมุม โดยแค่มูลค่าชุดเครื่องนอนในห้องพักก็สูงถึง 3 ล้านบาทเศษเข้าไปแล้ว ภายในห้องมีเปียโนให้เล่นผ่อนคลาย พร้อมบัทเลอร์ให้บริการแบบส่วนตัว และบริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง
ส่วนห้องน้ำก็ตกแต่งอย่างหรูหรา กว้างขวาง ส่วนข้าวของเครื่องใช้ในห้องน้ำ อย่างแชมพู สบู่ โลชั่น ก็เลือกสรรแบรนด์ดังมาให้เลือกใช้ ทั้งแบรนด์ Guerlain, Bottega Veneta & L’Occitane Mer&Mistral รวมถึงน้ำหอม Guerlain Fragrance & Spongelle Buffer
ห้องที่ใหญ่และแพงที่สุด ชื่อว่า Regent Suites มีขนาดใหญ่ถึง 3,875 ตารางฟุต ที่เรียกได้ว่า หรูทุกซอกทุกมุม โดยแค่มูลค่าชุดเครื่องนอนในห้องพักก็สูงถึง 3 ล้านบาทเศษเข้าไปแล้ว
ถ้าเบื่อจะอยู่ในห้องสุดหรู ก็แค่เดินออกมายังโซนเอนเตอร์เทนเมนท์ก็สามารถทำให้ค่ำคืนไม่น่าเบื่ออีกต่อไป เพราะเขามีสารพัดการแสดงให้ได้ชม ไม่ว่าจะเป็นโชว์คาบาเรต์ โรงละคร ไปจนถึงคาราโอเกะ รวมถึงมีร้านอาหารให้เลือกรับประทานหลากสไตล์ตามชอบ
ขณะที่สิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งการให้บริการ Wifi ฟรี หรือโทรศัพท์ขึ้นฝั่งได้ฟรีอีกคนละ 15 นาที รวมถึงมีไอแพดให้ใช้ทุกห้องพัก ส่วนใครเป็นลูกค้าระดับวีไอพี พิเศษสุดๆ เพราะจะได้รับสิทธิรับประทานอาหารกับกัปตัน หรือฟิตเนสเทรนนิ่งที่เป็นคลาสส่วนตัว
ทั้งนี้จุดหมายปลายทาง เปลี่ยนไปตามฤดูกาล หากเป็นช่วงหน้าร้อน เรือจะมุ่งไปยุโรปตอนเหนือ อย่างนอร์เวย์ และรัสเซีย แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว เรือจะจะเปลี่ยนทิศเดินเรือทั่วทวีปเอเชีย หรือไปทางชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ใครเป็นลูกค้าระดับวีไอพี พิเศษสุดๆ เพราะจะได้รับสิทธิรับประทานอาหารกับกัปตัน และยังได้คลาสฟิตเนสเทรนนิ่งแบบส่วนตัว
อ่านมาถึงตรงนี้ สำหรับใครที่คิดอยากจะไปจองขึ้นเรือสำราญสุดหรูนี้บ้าง ก็ต้องขอให้อดใจรอ เพราะรอบนี้ เขาใกล้จะจบทริปแล้ว โดยในวันนี้ (13 ก.พ.) เรือสำราญเดินทางมาถึงเมือง George Town ในหมู่เกาะเคย์แมนแล้ว และจะล่องต่อไปยังเกาะโกซูเมล ประเทศเม็กซิโก เพื่อไปจบทริปสุดหรู ณ ไมอามี สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 นี้
แต่ไม่เป็นไร เพราะความหรูไม่ได้มีเพียงหนึ่งเดียว โดยเรายังมีอีก 2 ความหรูในขนาดที่ต่างกัน มาให้เป็นชอยส์เพิ่มเติม คือ ขนาดเล็ก และกลาง ที่แม้ขนาดจะเล็กลง แต่ยังคงความหรูไว้ไม่เปลี่ยน
เริ่มต้นจาก "ขนาดเล็ก" ซึ่งจุผู้โดยสารได้ราว 70-350 คน เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเงียบสงบ เป็นส่วนตัว แต่ก็ต้องแลกกับสิ่งอำนวยความสะดวกจึงค่อนข้างจะจำกัด มีร้านอาหารเพียง 1-2 ร้าน แต่ข้อดีที่ไม่พูดไม่ได้ ก็คือ ด้วยความที่เรือลำไม่ใหญ่ ทำให้สามารถเข้าเทียบท่าที่เรือใหญ่ไม่สามารถเข้าได้ ซึ่งบางสถานที่นับเป็นจุด Unseen เช่น นั่งเรือชมลิงอุรังอุตังในป่าคาลิมันตัน บนเกาะบอร์เนียว
ต่อมาเป็นเรือ "ขนาดกลาง" ที่เพิ่มเติมความคึกคักขึ้นมาอีกหน่อยด้วยจำนวนผู้โดยสารราว 400-1,700 คน สิ่งอำนวยความสะดวกก็มีมากขึ้น เริ่มมุ่งเน้นไปที่การบริการและคุณภาพมากขึ้น มีร้านอาหารราว 5-10 ร้าน มีร้านรองรับการช้อปปิ้ง จุดหมายปลายทางก็มักจะไปเป็นแหล่งที่นิยม หรือมีการแวะท่าเรือเล็กๆ ใกล้เมืองด้วย เช่น แวะชมการแสดงโอเปราที่เมืองซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย หรือชมการจับปูอลาสก้าที่อาร์คติค
ตัวอย่างเรือสำราญขนาดเล็ก อาทิ เรือสำราญ Silversea Cruises ซึ่งเป็น 1 ในสายเรือ หรือเส้นทางล่องเรือทั่วโลก เรือในสายเรือนี้จุผู้โดยสารได้ตั้งแต่ 100-540 คน ภายในตัวเรือตกแต่งอย่างหรูหรา ห้องพักทุกห้องเป็นรูปแบบสวีททั้งหมด เทียบเท่ากับการเข้าพักโรงแรมระดับ 6 ดาว
ขนาดห้องพักเริ่มตั้งแต่ 24 ตารางเมตร หรือเท่าๆ กับโรงแรมมาตรฐานทั่วไป 1 ห้อง แต่ความพิเศษคือ มีห้องสวีทขนาดใหญ่ที่สุดถึง 128 ตารางเมตร ที่ใหญ่พอๆ กับห้องขนาดเล็กรวมกัน 5 ห้อง
ส่วนข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องพัก ก็คัดมาแต่แบรนด์ระดับไฮเอนด์ เช่น ผ้าปูที่นอนของ Pratesi แบรนด์ชั้นนำจากอิตาลี ขณะที่สบู่ โลชั่น ครีมบำรุงผิว และครีมนวด เลือกสรรมาจากแบรนด์ Ferragamo Bvlgari
ความเอ็กซ์คลูซีฟยังไม่หมดเท่านี้ ผู้โดยสารแต่ละห้องพักจะมี “บัทเลอร์” หรือพนักงานที่ให้บริการแบบเหนือระดับเฉพาะบุคคล ทำให้เราเป็นเหมือนดังเจ้าชายเจ้าหญิง ที่มีบริกรคอยเสิร์ฟอาหารและไวน์ถึงในห้อง รวมถึงดูแลสิ่งต่างๆ ภายในห้องพักให้ด้วย
ด้วยราคาค่าตั๋วโดยสารที่จ่ายไปนั้นครอบคลุมเกือบทุกอย่าง แทบไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว นอกจากการรับประทานอาหารในห้องพัก ภายในเรือยังมีห้องอาหารพิเศษอื่นๆ ให้เลือกรับประทาน โดยค่าใช้จ่ายครอบคลุมอาหารในทุกๆ วัน ให้วันละ 3 มื้อ เช้า กลางวัน และเย็น
แต่ที่พิเศษสุดๆ สร้างความแตกต่างให้กับสายเรือนี้ คือ ห้องอาหารดินเนอร์ Hot Rock ที่ดึงเอาความพรีเมียม ผสมผสานกับการเสิร์ฟบนหินลาวาที่สามารถเลือกปรุงอาหารได้ด้วยตัวเอง ค่าตั๋วโดยสารยังรวมถึงค่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ค่าภาษี และค่าทัวร์ชายฝั่งตามกำหนดการ
อีกทั้งยังมีเลาจน์ บาร์กาสิโน ห้องสมุด สระว่ายน้ำ ร้านช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนม สปา ฟิตเนส รวมถึงโรงละครบรอดเวย์ เรียกได้ว่าขึ้นเรือลำเดียว มีครบจบทุกความสนุกจริงๆ
ปัจจุบันสายเรือ Silversea มีเรือสำราญให้บริการ 9 ลำ ซึ่งแต่ละลำจะออกแบบเส้นทางที่แตกต่างกันไป เช่น เรือสำราญ Silversea Expeditions มุ่งเน้นกลุ่มผู้โดยสารที่อายุน้อย เป็นการเดินทางแบบผจญภัย และมีกิจกรรมที่ตอบโจทย์กลุ่มนี้ คือ ทริปเดินป่า หรือดำนำ เป็นต้น ส่วนช่วงเวลาของการเดินทางนั้น มีตั้งแต่ 7 วัน และสูงสุด 21 วัน
หากถามถึงเรื่องค่าใช้จ่าย ราคาสตาร์ทที่ 5,600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยราวๆ 174,000 บาท สำหรับเดินทาง 8 วัน จากเมืองโคลอน ประเทศปานามา เดินทางไปที่เมืองกัวยากิล ประเทศเอกวาดอร์
ที่มา : 2morrowexplorer , cruisedeals.expert , cruises.affordabletours