“โตโร” ไวน์หมัดหนักแห่งสเปน
"โตโร" สำหรับคนไทยอาจจะรู้จักกันน้อย แต่นักท่องเที่ยวแถวยุโรปจะรู้จักกันดีในฐานะแหล่งท่องเที่ยวโบราณ และแหล่งผลิตไวน์ชั้นเยี่ยมของจังหวัดซาโมรา (Zamora) แคว้น “กาสติลยา อี เลอง” (Castilla y León) อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสเปน
“Most promising wine region, black, stout, ripe and powerful.”
คำจำกัดความที่นักเขียนเรื่องไวน์ชาวสเปนให้ไว้กับไวน์เขต โตโร (Toro) ของสเปน ..แข็งแรง บึกบึน หนักแน่น เต็มไปด้วยพละกำลัง.. คงจะเหมือนความหมายของโตโรคือวัวกระทิง
โตโร มีฐานะเป็นเมืองหนึ่งของจังหวัดซาโมรา (Zamora) แคว้น “กาสติลยา อี เลอง” (Castilla y León) อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศสเปน และอยู่ห่างจากพรมแดนประเทศโปรตุเกสประมาณ 65 กิโลเมตร เวลาที่ไปโตโรผมมักข้ามไปโปรตุเกสด้วย เพื่อชิมไวน์ที่ทำจากองุ่นพันธุ์เดียวกัน แต่ชื่อต่างกัน..!!
ประวัติศาสตร์ได้บันทึกไว้ว่า ในศตวรรษที่ 15 คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopher Columbus) นักสำรวจ นักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ชาวเจนัว ประเทศอิตาลี ภายใต้การสนับสนุนของราชสำนักสเปน และชื่อของเขาตามภาษาอิตาลีคือ กริสตอโฟโร โกลอมโบ (Cristoforo Colombo) ได้นำไวน์จากโตโรกลับไปยังอเมริกา และเขาได้ตั้งชื่อเรือ 1 ใน 3 ลำของเขาในการเดินทางครั้งแรกว่า ปินเตีย (Pintia)
โตโร แปลว่า วัวกระทิง (Bull) เขตนี้จึงมีสัญลักษณ์เป็นรูปวัวกระทิง ซึ่งที่มาของชื่อไม่ปรากฏแน่ชัดว่ามาจากไหน แต่มีการสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากรสชาติของไวน์ที่หนักแน่น ทรงพลัง เข้มแข็ง ฯลฯ คล้ายวัวกระทิงประมาณนั้น ขณะที่สัญลักษณ์ของแคว้น Castilla y León ที่โตโรสังกัดอยู่คือ "สิงโต" จากความหมายของแคว้นคือ “ปราสาทและสิงโต”
ที่แน่ ๆ โตโรเป็นดินแดนปลูกองุ่นทำไวน์เก่าแก่มาก เริ่มปลูกองุ่นมาตั้งแต่ก่อนศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราชโดยมแกนหลักคือชาวโรมัน กระทั่งทำกันอย่างจริงจังสมัยพระเจ้าอัลฟองโซ ที่ 9 (Alfonso IX) แห่ง León ที่พระราชทานที่ดินสำหรับปลูกองุ่นจำนวนมากในช่วงศตวรรษที่ 13 โดยมีการส่งไวน์เข้าไปถวายในพระราชวัง ซึ่งพระองค์ได้กล่าว่า tengo un Toro que me da vino y un León que me lo bebe แปลได้ว่า I have a bull who gives me wine and a lion who drinks it.
ปลายศตวรรษที่ 19 องุ่นในยุโรปโดยเฉพาะในฝรั่งเศสถูกแมลงฟีลล็อกซีรา (Phylloxera) ทำลายจนเกือบราบเรียบ ไวน์โตโรจึงถูกส่งไปทดแทนไวน์ฝรั่งเศส คอไวน์ยุโรปจึงประจักษ์ว่าแท้ที่จริงแล้วสเปนยังมีไวน์เยี่ยม ๆ อีกเยอะ “โตโร” ได้รับการประกาศเป็นดีโอ (DO) ครั้งแรกเมื่อปี 1933 เป็นหนึ่งในเขตผลิตไวน์ของสเปนที่ได้รับสถานะนี้ ต่อมาเจอผลกระทบจากสงครามกลางเมืองสเปนในช่วงปี 1936-39 จนคุณภาพของไวน์ดำดิ่งลง ก่อนจะพัฒนาการปลูกองุ่นและคุณภาพของไวน์ จนได้รับดีโออีกครั้งเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 1987 และเรียกเป็น DOP (Denominación de Origen Protegid) ตามสหภาพยุโรปหรืออียู ที่ครอบคลุมพื้นที่ Tierra del Vino, Valle del Guareña และ Tierra de Toro พื้นที่ปลูกองุ่นทั้งหมด 8,000 เฮกแตร์ ทำให้ปัจจุบันนี้โตโรเป็นหนึ่ง DOP ชั้นนำของสเปน
จากสถิติในปี 2019 เฉพาะโตโรมีพื้นที่ปลูกองุ่น 5,622 เฮกแตร์ (13,942 เอเคอร์) ในจำนวนนี้ประมาณ 1,200 เฮกแตร์ เป็นองุ่นเก่าแก่ อายุอย่างน้อยประมาณ 50 ปี บางไร่มีต้นองุ่นที่หลงเหลือจากฟีลล็อกซีราทำลาย โดยส่วนใหญ่เป็นองุ่นแดง มีองุ่นเขียวประมาณ 350 เฮกแตร์ (865 เอเคอร์) องุ่นพันธุ์หลักที่ใช้ทำไวน์แดงคือ ตินตา เดอ โตโร (Tinta de Toro) ซึ่งเป็นโคลนของเทมปรานิลโย (Tempranillo) รองลงมาประมาณ 127 เฮกแตร์ เป็น การ์นาชา (Garnacha) ซึ่งในเขตนี้เรียกว่านาบาร์โร (Navarro) เพราะนำมาจากเขตนาบาร์รา (Navarra) ทางเหนือของสเปนในช่วงศตวรรษที่ 15 ส่วนไวน์ขาวเป็นองุ่น มาลเบเซีย (Malvasía) และ แวร์เดโฮ (Verdejo) ที่นิยมเบลนด์กับโซวีญยง บลัง (Sauvignon Blanc)
ไร่องุ่นในโตโรส่วนใหญ่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 600 - 800 เมตร อุณหภูมิประมาณ –11°C - 36°C สภาพอากาศได้อิทธิพลมาจากมหาสมุทรแอตแลนติกทั้งจากทิศเหนือและตะวันตก อีกส่วนหนึ่งมาจากแม่น้ำโดรู (Duero River) ขณะที่อุณหภูมิหน้าร้อนโดยเฉพาะกลางวันจะค่อนข้างร้อน มีส่วนทำให้ไวน์แดงโตโร มีแอลกอฮอล์สูงถึง 16-17 % ซึ่งตามกฎหมายของท้องถิ่นโตโร (Consejo Regulador de Toro) กำหนดให้ไวน์แดงต้องมีแอลกอฮอล์สูงกว่า 15% อย่างไรก็ตามผู้ผลิตส่วนใหญ่จะพยายามทำให้แอลกอฮอล์อยู่ที่ 13.5 % เพื่อดื่มง่ายขึ้นและบาลานซ์
ไวน์แดงที่ระบุ Toro ต้องผลิตจากองุ่นตินตา เดอ โทโร (Tinta de Toro) 100 % แต่ก็มีบางรายผสมองุ่นพันธุ์อื่นด้วย เช่น แวร์เดโฮ (Verdejo), การ์นาชา (Garnacha) หรือแม้กระทั่งกาแบร์เนต์ โซวีญยง (Cabernet Sauvignon) โดยไวน์แดงต้องอยู่ภายใต้มาตรฐานของรัฐบาลคือ
- ไวน์ใหม่ หรือยังก์ไวน์ (Young Red) ควรดื่มในปีที่ผลิต
- โรเบิล (Roble) เป็นไวน์ใหม่ (Young Red) ที่ต้องบ่ม 3-6 เดือน สามารถเติมองุ่นการ์นาชา (Garnacha) ได้
- กริอันซา (Crianza) ต้องบ่มอย่างน้อย 2 ปีในจำนวนนี้ 6 เดือนต้องบ่มในถังโอ๊ค
- เรแซร์บา (Reserva) ต้องบ่มอย่างน้อย 3 ปีในจำนวนนี้ 1 ปีต้องบ่มในถังโอ๊ค
- กราน เรแซร์บา (Gran Reserva) ต้องบ่มอย่างน้อย 5 ปี ในจำนวนนี้ 2 ปีต้องบ่มในถังโอ๊ค
ส่วนไวน์โรเซ่หรือโรซาโด (Rosado) ต้องทำจากอุ่น Tinta de Toro 50% และ Garnacha 50%
ขณะที่ไวน์ขาวต้องทำจากองุ่นแวร์เดโฮ (Verdejo) 100% หรือมาลบาเซีย (Malvasía) 100% ปัจจุบันมีหลายบริษัทสามารถทำไวน์ขาวแวร์เดโฮเบลนด์ด้วยโซวีญยง บลัง ได้ดีมาก
สำหรับท่านที่มีโอกาสไปโตโร 10 ไร่องุ่นที่ไม่ควรพลาดในการแวะไปเยี่ยมเยียนและชิมไวน์ของเขาคือ
- Bodegas Farina – เจ้านี้ไม่ธรรมดาเพราะเจ้าของคือ Manuel Farina เป็นนักต่อสู้ที่ทำให้ชาวโลกรู้จักไวน์เขตโตโร และทำให้โตโรได้เป็นดีโอ ต่อมาได้เป็นประธานคนแรกของดีโอ โตโร ผลิตไวน์หลายยี่ห้อ ที่ดัง ๆ คือยี่ห้อ Colegiata รุ่น Gran Colegiata Tintos de Reserva บ่มอเมริกันโอ๊ค 18-24 เดือน
- Marques de Olivara – Recently did a complete renovation
- Frutos Villar – Another pioneer of the region, beautiful barrel room
- Bodegas Estancia Piedra – Scotsman Grant Stein founded winery in 1998
- Bodegas Vega Sauco – A standout bodega in Toro, great names for wine
- Bodega Y Vinedos – Five options for tasting and touring
- Bodegas Numanthia – ก่อตั้งมากว่า 100 ปี ปัจจุบันอยู่ในเครือ LVMH
- Bodegas Mauro - Mariano García อดีตไวน์เมกเกอร์ของเบกา ซิซิเลีย (Vega Sicilia) สุดยอดไวน์จากเขตริเบรา เดล ดูเอโร (Ribera del Duero) ผลิตไวน์ชื่อ San Román
- Campo Elíseo – ไร่นี้ Michel Rolland มือปืนรับจ้างชื่อดังจับมือกับ Francois Lurton คนดังแห่งบอร์กโดซ์
- Vega Sicilia Pintia – เจ้าของคือเบกา ซิซิเลีย (Vega Sicilia) สุดยอดไวน์จากเขตริเบรา เดล ดูเอโร (Ribera del Duero)
ในเมืองไทยมีผู้นำเข้าไวน์จากเขตโตโรอยู่ 2-3 ราย ถ้ามีโอกาสลองหามาชิมกัน..!!