เดอะ ภัทรา พระราม 9 จากโรงแรมสู่ State Quarantine
ในเมื่อยอดจองห้องพักของโรงแรมเป็นศูนย์ การนำพาโรงแรมเดอะ ภัทรา พระราม 9 เข้าสู่ State Quarantine ต้องไม่สูญเปล่า
เปิดใจ เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ กรรมการบริหาร โรงแรมเดอะภัทรา พระราม 9 ว่าด้วยภารกิจใหม่ของโรงแรมในสถานะ State Quarantine
จากศูนย์ต้องไม่สูญเปล่า
เดอะ ภัทรา พระราม 9 เป็นโรงแรมขนาด 277 ห้อง ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ด้วยโลเคชั่นที่ไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิมากนัก ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวจีน
ทันทีที่จีนปิดประเทศอันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ยอดจองห้องพักเกือบเป็นศูนย์ทันที
“ตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นต้นมา แรกๆยังพอมีลูกค้าที่จองมาทางอินเตอร์เน็ตหลงเหลือบ้าง แต่ในที่สุดก็มาถึงจุดที่เราไม่มีรายได้เลย” เทียนประสิทธิ์ ไชยภัทรานันท์ กล่าวถึงสถานการณ์ของโรงแรมที่ไม่ต่างจากคนไข้ในห้องไอซียู
“เรามีผลกระทบในเรื่องกระแสเงินสด การจ่ายเงินเดือนเจ้าหน้าที่พนักงาน พอเราได้ยินข่าวโครงการนี้คิดว่าเป็นการช่วยเหลือสังคมได้ ในขณะเดียวกันรัฐก็ให้เงินสนับสนุนในเรื่องค่าใช้จ่าย เราจึงลองประเมินตนเองในเวบไซต์ของกระทรวงสาธารณสุขเบื้องต้นว่าเข้าตามเงื่อนไขที่ต้องการหรือไม่ เมื่อตรงตามความต้องการหลักๆ คือ ระบบแอร์ต้องเป็นแบบแยกส่วน พื้นห้องไม่ได้ปูพรม จากนั้นทางกระทรวงสาธารณสุขก็จะส่งทีมงานเข้ามาตรวจสอบพื้นที่มีทั้งวิศวกร เจ้าหน้าที่จากกรมอนามัย เพื่อทำการเทรนนิ่งพนักงาน”
ดูแลกันด้วยใจ
ในส่วนของงานเซอร์วิส จำเป็นต้องพิเศษจากเดิมที่พนักงานโรงแรมจะดูแลในการเสิร์ฟอาหารเฉพาะมื้อเช้า หากในสถานการณ์ที่ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าพักออกจากห้องจนกว่าจะครบ 14 วัน มีความจำเป็นต้องให้บริการอาหารครบ 3 มื้อ
โดยพนักงานจะได้รับการอบรมในเรื่องของการแต่งกาย การป้องกันตนเอง และข้อควรปฏิบัติจากเจ้าหน้าที่จากกระทรวงสาธารณสุข
“พนักงานที่ส่งอาหารจะใส่หน้ากากอนามัย ใส่เฟซชิลด์ ใส่ถุงมือยาง ผ้ากันเปื้อนป้องกันความชื้น นำอาหารใส่รถเข็นขึ้นลิฟต์ไปแล้วนำไปวางตามรายชื่อตามห้องที่มีข้อกำหนดต่างๆ บางคนเป็นมังสวิรัติ เป็นอิสลามเราทำงานพิเศษแยกไว้ให้ เราจะมีไลน์กลุ่มแจ้งเวลาให้เขาเปิดประตูออกมารับอาหาร โดยจะมีการวางไว้บนเก้าอี้หน้าห้อง
ในช่วงวันแรกๆครัวของโรงแรมเราทำอาหารกันเอง วันละ 3 มื้อ สักพักรู้สึกว่าไม่ไหว เพราะเราไม่เคยต้องทำอาหารมากขนาดนี้ ตอนนี้เราก็ได้พันธมิตรมาช่วยทำอาหาร ซึ่งคิดในราคาถูกมาก เพราะว่ารัฐบาลจ่ายให้เราวันละ 1,000 บาทต่อหนึ่งคน เป็นราคาห้องพักรวมอาหาร 3 มื้อ และค่าน้ำค่าไฟอีก 24 ชั่วโมง
ถ้าจะถามถึงรายได้ มันไม่ได้อะไรหรอกครับ อย่างที่บอกช่วยก็คือช่วย นอกจากนี้เราก็ได้พันธมิตรเป็นครัวเจ๊ง้อมาช่วยเราทำอาหารแล้ว ร้านเกรฮาวด์ ทองหล่อก็มาช่วยทำอาหารช่วยทำกล่องให้ในราคาพิเศษ เป็นการเปลี่ยนรสชาติให้คนที่เข้าพักจะได้ไม่เบื่อ เพราะเขาไม่สามารถออกมาข้างนอกห้องได้”
ส่วนในเรื่องการเชื่อมต่อผ่านโลกออนไลน์ ทางโรงแรมจัดเตรียมสัญญาณ Wi-Fi เอาไว้ให้ในเบื้องต้น ต่อมาทางกลุ่มทรูช่วยสนับสนุน “ซิมกักตัว ไม่กลัวเหงา” แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตไม่อั้น ความเร็ว 10 Mbpsใช้งานได้ 30 วัน บนเครือข่ายทรูมูฟ เอช
กำลังใจก็สำคัญ
สแตนด์บายอยู่ที่โรงแรมตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน พร้อมกับพนักงานที่อาสามาร่วมงานราว 40 คน โดยไม่รู้ว่าการนำโรงแรมเข้าสู่ State Quarantine จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของโรงแรมอย่างไร กระทั่งผู้เข้าพักมีการโพสต์ความรู้สึกชื่นชมการดูแลของเจ้าหน้าที่รวมไปถึงสถานที่พักผ่านเฟซบุ๊ค
“เสียงชื่นชมก็ทำให้เจ้าหน้าที่รวมทั้งตัวเราเอง รู้สึกมีกำลังใจ นอกจากนี้ก็มีเพื่อนฝูงก็ยินดีที่เราได้ทำแบบนี้ ซึ่งทำให้เราได้พบกับพันธมิตรที่มาช่วยเหลือกันอีกส่วนทางภาครัฐ ก็ไม่ได้ปล่อยเราไว้คนเดียว มีทีมงานจากกระทรวงกลาโหม ตำรวจ เข้ามาดูแลความปลอดภัย กระทรวงสาธารณสุข กรมอนามัยมาให้คำแนะนำเรื่องเมนูอาหาร
เพื่อให้ได้สารอาหารครบทุกหมู่ในแต่ละมื้อ กรมสุขภาพจิตก็เข้ามาก็มาช่วยดูแล โดยมีทีมแพทย์เข้ามาสแตนด์บายปฐมพยาบาลเบื้องต้น จะมีการวัดไข้ทุกวันถ้าวันไหนถ้าคนไหนมีเกณฑ์ผิดสังเกต จะส่งพยาบาลขึ้นไปวัดไข้”
แม้ว่าเราจะยังไม่รู้ว่าโควิด-19 จะอยู่กับเราอีกนานเท่าไหร่ หากสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากการจากไปของโควิด-19 ในมุมมองของผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรมกล่าวว่า ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม
“ธุรกิจโรงแรมไม่ได้เป็นปัญหา ขอแค่บรรยากาศการท่องเที่ยวกลับมา จะด้วยมีวัคซีนหรือโรคมันหายไปแล้ว มียารักษาแล้ว คนไม่ได้กลัวแล้ว แต่มันจะอีกสเต็ปหนึ่งคือ ถ้าทุกอย่างเคลียร์ แต่เศรษฐกิจโลก suffer กันหมด เขาจะพร้อมเที่ยวกันอีกเมื่อไหร่ แต่ยังไงก็กลับมาอยู่แล้วครับ ทุกคนอยากเที่ยว แรกๆคนมีเงินหน่อยอาจจะออกมาเที่ยวก่อน เบื่อบ้าน อยากออกจากบ้าน แต่ภาพรวมที่จะเหมือนเดิมจริงๆต้องใช้เวลา
แต่ว่าธุรกิจโรงแรมมันไม่ได้มีปัญหา ไม่ได้ถูก disrupt ด้วยเทคโนโลยี เพราะยังไงคนต้องไปเที่ยว ดูในคลิปวิดีโอยังไงก็ไม่เหมือนไปเที่ยวจริงๆ อาหารการกินดูวิดีโอ ดูภาพยังไงมันก็ไม่เหมือนได้กินจริงๆ สตรีทฟู้ดเมืองไทยใครๆก็อยากมาสัมผ้ส
ฉะนั้นไม่เดินทางไม่ได้ แต่จะมามากขึ้นหรือน้อยลง ผมมองว่าพฤติกรรมของคนก็จะเปลี่ยนไปมีการรักษามาตรฐานของการสาธารณสุขส่วนตัวมากขึ้น เช่น ล้างมือก่อนกิน การรักษาระยะห่าง ในส่วนของโรงแรมเองก็ต้องให้ความสำคัญกับการคลีนห้องพักมากขึ้น” เทียนประสิทธิ์ ทิ้งท้าย
ทุกครั้งที่เกิดวิกฤตในประเทศเราจะเห็นน้ำใจของคนไทยเสมอ ครั้งนี้ก็เช่นกัน