‘วันสิ้นโลก’ 6 ความเชื่อที่แพร่หลายในสังคม
ย้อนดู 6 ความเชื่อเกี่ยวกับ "วันสิ้นโลก" ที่ผู้คนในหลายประเทศทั่วโลกให้ความสนใจมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
กระแสเรื่อง “วันสิ้นโลก” กลับมายึดพื้นที่สื่อโซเชียลอีกครั้งเมื่อนักค้นคว้าผู้หนึ่ง ชื่อ Paolo Tagaloguin ทวีตข้อความบนแอพพลิเคชั่น Twitter บัญชีส่วนตัวของตนเองว่า “ปฏิทินชาวมายาที่กล่าวถึงวันสิ้นโลกเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2012 นั้นเป็นการตีความผิด วันสิ้นโลกในการตีความหมายที่ถูกต้องคือวันที่ 21 มิถุนายน 2020 ต่างหาก”
โดยเขายังทวีตข้อความอธิบายเรื่องการคำนวณ "วันสิ้นโลก" ที่ถูกต้องไว้อีกด้วย เพียงชั่วข้ามคืนข้อความดังกล่าวของ Paolo ก็ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาได้ลบข้อความนั้นไปแล้ว แต่กระแสเรื่อง วันสิ้นโลกวันใหม่ที่ใกล้จะมาถึงเร็วๆ นี้ ก็กลายเป็นไวรัลบนโลกโซเชียลมีเดียไปเรียบร้อย
หากย้อนกลับไปดูกระแสความเชื่อเรื่อง "วันสิ้นโลก" นั้น มักจะถูกพูดถึงอยู่เนืองๆ ตลอดมา ถึงขนาดมีโครงการที่นักวิทยาศาสตร์นำตัวอย่างเมล็ดพันธุ์พืช 50,000 ชุดไปเก็บไว้ในอุโมงค์ห้องนิรภัยบนเกาะใกล้ขั้วโลกเหนือ ซึ่งเป็นโครงการความมั่นคงทางอาหารของโลก กรณีเกิดสงครามหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติ ที่อาจทำลายล้างพืชพรรณที่เป็นอาหารทั่วโลก หรือข่าวการพบกลุ่มคนประหลาด 7 คนที่สื่อเนเธอร์แลนด์ระบุว่าเป็นพ่อกับลูก ตัดขาดจากโลกภายนอกใช้ชีวิตอยู่ในห้องใต้ดินของบ้านในชนบทนาน 9 ปี เพื่อรอคอยวันสิ้นโลก
พูดได้ว่า "วันสิ้นโลก" ได้กลายเป็นความเชื่อที่สร้างอิทธิพลต่อคนบางกลุ่ม ซึ่งหากย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่าความเชื่อเรื่อง "วันสิ้นโลก" ไม่ได้มีที่มาแค่เพียงแหล่งเดียว กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ ชวนย้อนดู 6 ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกที่ผู้คนให้ความสนใจตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
- 21 ธันวาคม 2012 ปฏิทินมายา
ความเชื่อเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่โด่งดังที่สุดคงหนีไม่พ้น ตำนานปฏิทินชาวมายา ที่นักวิทยาศาสตร์ตีความไว้ว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012
ปฏิทินชาวมายา หรือปฏิทินของอารยธรรมอเมริกากลาง เริ่มมีมาตั้งแต่ประมาณ 2,300 ปีก่อนศริสตกาล โดยลักษณะของปฏิทินประกอบด้วยวงรอบภายในวงรอบซ้อนกันหลายชั้น
เชื่อว่าจุดมุ่งหมายหลักๆ ของปฏิทินในยุคแรก น่าจะใช้ในการทำนายทายทัก วันดี-วันร้าย มากกว่าใช้เพื่อบอกวัน-เวลา โดยปฏิทินของชาวมายานั้น มีผลของการคำนวณทางดาราศาสตร์ที่แม่นยำที่สุดยิ่งกว่าปฏิทินโบราณใดๆ
ทั้งนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาศาสตร์ก็ออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ปฏิทินมายานั้นไม่ได้ทำนายว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันสิ้นโลก แต่เป็นแค่การเริ่มนับวงรอบใหม่ หรือหมายถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เท่านั้น
ความน่าเชื่อถือของวันสิ้นโลกตามตำนานปฏิทินมายานั้น มีความเชื่อประกอบทั้งทฤษฎีดาวนิบิรุชนโลก ดาวปริศนาดวงที่ 12 ของระบบสุริยะจักรวาลที่ถูกค้นพบเมื่อปี 2002 โดยนักเขียนนามว่า เซชาเรีย ซิตชิน (Zecharia Sitchin) เชื่อว่าดาวนิบิรุจะพุ่งเข้าชนโลก หรือทฤษฎีแม่เหล็กโลกกลับขั้ว และทฤษฎีน้ำท่วมโลก ที่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ก็ทำเอาบางคนปักใจเชื่ออย่างสนิทใจ
- คำทำนายเด็กชายปลาบู่
น้องปลาบู่ หรือเด็กชายสุทัศน์ คำสี เด็กชายผู้โด่งดังจากการทำนายเหตุการณ์ภัยพิบัติรวมถึงเชื่อว่าระลึกชาติได้ โดยทำนายเหตุการณ์ที่โยงถึงวันสิ้นโลกไว้ว่า (ขณะนั้นอายุ 7 ขวบ) “ในช่วงเวลายามสองของคืนปีใหม่ พ.ศ.2555 นี้ จะเกิดเหตุการณ์เขื่อนที่จังหวัดตากพัง รวมทั้งการเกิดแผ่นดินไหวจนผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง”
ก่อนหน้าที่ปลาบู่จะทำนายถึงเหตุการณ์ พ.ศ.2555 นั้นได้ทำนายเหตุการณ์ต่างๆ ก่อนที่ตนเองจะเสียชีวิต ซึ่งนายทองใบผู้เป็นพ่อของปลาบู่ออกมาบอกเล่าในภายหลัง เช่น การทำนายวันตายของตนเอง “เด็กชายปลาบู่ได้บอกกับพ่อของตนว่า จะตายภายใน 15 วัน ให้ไปซื้อเทปคาสเซ็ทมาอัดเสียงไว้ แต่นายทองใบก็ไม่ได้ทำตามเนื่องจากไม่คิดว่าลูกชายจะเสียชีวิตไปจริงๆ”
ทั้งนี้เรื่องราวของเด็กชายปลาบู่ที่ทำนายถึงแผ่นดินไหวใน พ.ศ.2555 ก็สร้างความตื่นตระหนกแก่ชาวบ้านบางส่วน จนทำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตากต้องออกแถลงการณ์และชี้แจงถึงความปลอดภัยเพื่อให้พี่น้องประชาชนสบายใจ
- วันสิ้นโลกตามความเชื่อศาสนาอิสลาม
ไม่ว่าจะเป็นศาสนาใดๆ ก็มักจะมีความเชื่อเรื่องการเกิดและดับสูญของโลกมนุษย์ทั้งสิ้น สำหรับศาสนาอิสลามนั้นวันสิ้นโลกมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าวันอื่นๆ
โดยมีความเชื่อว่าเมื่อถึง "วันสิ้นโลก" จะมีการเป่าสังข์ดังทั่วโลก ซึ่งขณะนั้นผู้เป่าสังข์ตามคัมภีร์จะเอาสังข์จ่อปาก แล้วอัลลอฮ์จะเป็นผู้สอบสวนทุกๆ คน โดยพระองค์จะปกป้องผู้ที่ศรัทธาต่อพระองค์เท่านั้น และในวันสิ้นโลกของความเชื่อนี้ระบุว่าจะมีอุกกาบาตตกลงมา แต่ว่ามุสลิมทุกคนจะไม่ทันเห็นเพราะได้ความเมตตาจากอัลลอฮ์ให้สิ้นชีวิตกันก่อน มีเพียงแต่ผู้ปฏิเสธศรัทธาต่อพระองค์ที่ไม่ได้รับความเมตตานั้น
นอกจากนี้ยังมีการบัญญัติสัญญาณก่อนวันสิ้นโลกเอาไว้ด้วย ได้แก่
- จะบังเกิดควันสีดำแผ่ปกคลุมทั่วโลก
- จะมีอสุรกายที่ชื่อว่า ยุ มะยุด ที่ถูกกักขังอยู่ใต้พื้นโลกด้วยผนังหนาที่เป็นทองแดงและไฟ มันจะขึ้นมาล่อลวงไล่เข่นฆ่ามนุษย์
- ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันตก
- จะมีสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งสามารถพูดคุยกับมนุษย์ได้
- โลกแตกจากพายุสุริยะ
ความเชื่อเรื่องโลกแตกจากพายุสุริยะ นั้นเกิดขึ้นในช่วงปีเดียวกับปฏิทินมายาที่ทำนายว่าวันสิ้นโลกจะเกิดขึ้นในปี 2012
โดยเชื่อว่าพายุสุริยะจะทำให้โลกเป็นอัมพาต รังสีเอกซเรย์ทะลุเข้ามายังบรรยากาศชั้นในของโลกที่ส่งผลต่อระบบควบคุมการผลิตและส่งกระแสไฟฟ้า และระบบการส่งคลื่นวิทยุสื่อสาร โดยความเชื่อนี้มีพื้นฐานมาจากหลักการคาดการณ์อวกาศและวิทยาศาสตร์
ข้อมูลจากองค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกาชี้แจงว่า ทุกๆ 11 ปี ขั้วแม่เหล็กของดวงอาทิตย์จะกลับหัวกลับหางจากเหนือเป็นใต้ (ครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้นประมาณ 740,000 ปีที่แล้ว) เป็นเหตุให้เกิด” จุดดับบนดวงอาทิตย์ “ออกฤทธิ์เปล่งอนุภาคพลังงานสูง พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และ พายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลก
ในปี คศ. 1859 พายุสุริยะ ทำให้สายโทรเลข ลัดวงจร จนทำให้เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งในยุโรปและ อเมริกาและคศ. 1989 พายุสุริยะ ก็เคยทำให้หม้อแปลงไฟฟ้าระเบิดจนทำให้ไฟดับทั่วทั้งเมืองควิเบก ของแคนาดามาแล้ว นอกจากนี้ดาวเทียมและยานอวกาศที่อยู่ในอวกาศก็อาจเสียหายจากพายุสุริยะได้
จากเหตุการณ์ดังกล่าวและการคาดการณ์ที่เกิดขึ้นกลายเป็นความเชื่อเรื่องโลกแตกจากพายุสุริยะ ที่ทำให้ประชาชนบางส่วนออกมาเตรียมตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น เบิกเงินสดออกมาสำรองไว้ที่บ้านเพราะระบบออนไลน์อาจจะไม่ทำงาน เอทีเอ็ม คงใบ้กินชั่วขณะ จัดการเรื่องธุรกรรมทางการเงินที่จำเป็นไว้ล่วงหน้า มีการตุนน้ำ อาหาร พลังงานสำรอง (แก๊ส ฟืน ถ่าน ไฟฉาย น้ำมัน) และสิ่งจำเป็นไว้ที่บ้าน ควรเป็นอาหารที่ไม่ต้องแช่เย็นเพราะไฟฟ้าอาจจะดับ รวมถึงคำเตือนไม่ควรออกแดดมากนักเพื่อหลีกเลี่ยงรังสีจากดวงอาทิตย์
- Doomsday Clock นาฬิกาบอกวันสิ้นโลก
Doomsday Clock เป็นนาฬิกาสัญลักษณ์ที่ถูกสมมติขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1947 โดยบอร์ดของผู้อำนวยการแห่ง Bulletin of the Atomic Scientists ของมหาวิทยาลัยชิคาโก
โดย Doomsday Clock มีกลไกคือยิ่งเข็มนาฬิกาเดินทางเข้าใกล้เที่ยงคืนมากเท่าไร นั่นก็ประมาณการได้ว่าโลกก็ใกล้จะสู่จุดวิบัติมากขึ้นเท่านั้น ณ วันที่ 14 มกราคม 2010 เข็มของ Doomsday Clock เดินทางไปถึงเวลาอีก 6 นาทีจะถึงเที่ยงคืน ตั้งแต่วันที่ Doomsday Clock ได้ถูกสร้างขึ้น เวลาบนหน้าปัดนาฬิกาได้เปลี่ยนไปทั้งหมด 19 ครั้ง
แรกเริ่มเดิมทีนั้น นาฬิกานี้เป็นตัวแทนของภัยที่มาจากสงครามนิวเคลียร์ แต่ว่า ตั้งแต่ปี 2007 มันยังสะท้อนถึงเทคโนโลยีที่มีส่วนทำให้สภาวะอากาศเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาใหม่ๆ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ที่สามารถทำให้เกิดอันตรายด้วย ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลการอัปเดตของนาฬิกาของวันสิ้นโลกนี้
- อุกกาบาตพุ่งชนโลก
ข้อมูลจากองค์การนาซ่าแห่งสหรัฐอเมริกา ออกบทความว่าเรื่องอุกกาบาตที่ชื่อว่า เอจี 5 ขนาดความกว้าง 460 ฟุต หรือ 140 เมตรจะพุ่งชนโลกในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2583 ซึ่งถือว่าวันนั้นเป็นวันสิ้นโลก
จากการประเมินของ นักวิทยาศาสตร์ขององค์การนาซ่า หาก อุกกาบาตเอจี 5 นี้พุ่งชนสถานที่ชุมชนบนพื้นโลก จะทำให้มีการเสียชีวิตผู้คนนับล้าน โดยหน่วยปฏิบัติการวัตถุใกล้โลก ยูเอ็น ติดตามความเคลื่อนไหวและ หาวิธีเบี่ยงเบนวงโคจรของ อุกกาบาตเอจี 5 ตั้งแต่ปี 2554 และมีความเป็นไปได้ 1 ใน 625 ที่ อุกกาบาตเอจี 5 จะพุ่งชนโลกใน 30 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ยังมีการประเมินด้วยว่าเหตุการณ์จะคล้ายกับอุกกาบาตที่พุ่งชนโลกเมื่อ 65 ล้านปีก่อน ที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์ ความแรงของการพุ่งชนก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 10 ริกเตอร์ ทั้งยัง กระตุ้นให้ภูเขาไฟเหลือคนานับ ปะทุขึ้นพร้อมๆ กัน พ่นเถ้าถ่านขึ้นปกคลุมชั้นบรรยากาศจนแสงอาทิตย์ไม่สามารถผ่านลงมาได้ ทำให้พืชไม่สามารถสังเคราะห์แสง และส่งผลให้ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นขาดแคลนอาหารจนสูญพันธุ์ในที่สุด
6 ความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลกนั้นคือความเชื่อที่ต้องใช้วิจารณญาณประกอบ แต่สิ่งสำคัญคือการอย่าตื่นตระหนกกับสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะมันจะทำให้เราร้อนใจเสียเปล่าๆ