คิดให้ดีหากอยากมี 'คาสิโน'

คิดให้ดีหากอยากมี 'คาสิโน'

จากข้อเสนอของฝ่ายการเมืองให้ประเทศไทยเปิด “คาสิโน” หรือ “เอ็นเทอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์” ในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นโอกาสที่สังคมไทยควรได้ถกเถียงเพื่อทำความเข้าใจต่อเรื่องนี้ให้กระจ่าง

“คาสิโน” คือ บ่อนการพนันขนาดใหญ่ ที่มีเกมการพนันหลากหลายรูปแบบไว้คอยบริการ เมื่อนึกถึง “คาสิโน” เราสามารถจินตนาการถึงมันได้สัก 3รูปแบบ

1. คาสิโนรีสอร์ท คือ คาสิโนขนาดใหญ่ มักตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากชุมชน

2. คาสิโนในเมือง มีขนาดที่เล็กกว่าคาสิโนรีสอร์ท และตั้งอยู่ในเมืองตามย่านชุมชน

3. คาสิโนเกมส์ เป็นร้านสำหรับตั้งตู้เกมส์พนันต่าง ๆ เช่น ตู้สล๊อตแมชชีน และอื่น ๆ สามารถตั้งกระจัดกระจายไปตามสถานที่ต่าง ๆ ทั้งในชุมชนเมืองและชานเมือง

ซึ่งคาสิโนแต่ละรูปแบบต่างมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน แบบที่หนึ่งส่งผลลบต่อชุมชนน้อยที่สุด เพราะคนทั่วไปเข้าถึงยาก ส่วนแบบที่สองและแบบที่สามควบคุมผลลบต่อชุมชนได้ยาก ยิ่งอยู่ใกล้ชุมชนยิ่งเปิดโอกาสให้คนในชุมชนเข้าถึงง่าย ยิ่งสร้างปัญหา เพราะลูกค้าหรือนักพนันไม่พ้นเป็นคนในท้องถิ่น

เหตุผลในการเสนออยากเปิดคาสิโนมักไม่พ้นเหตุผล2 ประการ คือ

หนึ่ง “มุ่งจะเปิดคาสิโนเพื่อดึงดูดเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นสำคัญ และไม่คิดจะหวังรายได้จากนักพนันในประเทศ” ฉะนั้น คาสิโนที่เขาเสนอมักมีจินตนาการเป็นคาสิโนรูปแบบที่ 1หรือ 2

สอง “หวย บ่อน (อาจรวมซ่องด้วย) เป็นเศรษฐกิจนอกระบบที่ดึงดูดเม็ดเงินจากคนในประเทศจำนวนมาก ฉะนั้น ควรจะต้องนำขึ้นมาบนดิน เพื่อให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และควบคุมได้

159384649096

ธนากร คมกฤส

สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจให้กระจ่างก็คือ “คาสิโนคุ้มค่าการลงทุนจริงหรือ?” โปรดลองพิจารณาประเด็นต่อไปนี้

หนึ่ง หากท่านคิดว่าการมีคาสิโนแล้วจะทำให้บ่อนพนันผิดกฎหมายทั้งหลายจะหายไป เรื่องนี้คงไม่เป็นจริง เพราะการมีบ่อนคาสิโนถูกกฎหมายจะไม่ทำให้บ่อนพนันผิดกฎหมายหมดไป เทียบเคียงได้กับกรณีของหวยใต้ดินที่แม้รัฐบาลจะเพิ่มจำนวนการพิมพ์สลากกินแบ่งรัฐบาลมากขึ้นเท่าใด แต่หวยใต้ดินก็ไม่ได้น้อยลง หรือออกสลากชุดเองแล้วจะทำให้สลากชุดหมดไป

ตรรกะที่ว่าเมื่อทำให้สิ่งผิดกฎหมายกลายเป็นสิ่งถูกกฎหมาย แล้วสิ่งที่ผิดกฎหมายเหล่านั้นจะหมดไป เทียบได้กับ “การเอาโจรมาจับโจร” เป็นตรรกะที่ป่วย เพราะสุดท้ายจะกลายเป็นเพิ่มโจรให้มากขึ้น เพราะฉะนั้น ที่วาดฝันว่าจะได้เงินเข้าระบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยนั้น น่าจะห่างไกลความเป็นจริง และจะกลับกลายเป็นการยิ่งเพิ่มแหล่งเล่นการพนันให้มีมากขึ้นทั้งบนดินและใต้ดินด้วย

สอง การลงทุนในธุรกิจคาสิโนต้องใช้เงินจำนวนมาก และรัฐบาลของทุกประเทศมักจะไม่ลงทุนเอง แต่จะให้ต่างชาติมาลงทุน ซึ่งแน่นอนว่าเงินกำไรที่ได้จะเป็นของนักลงทุนต่างชาติเป็นสำคัญ โดยรัฐบาลเจ้าของประเทศจะได้แค่ค่าตอบแทนในรูปของภาษีเท่านั้น และหากเป้าหมายคือการต้องการเพิ่มการลงทุนจากต่างชาติให้มาลงทุนในบ้านเรามากขึ้น รัฐบาลคิดหากิจการอื่นที่สร้างสรรค์ และมีความเสี่ยงน้อยกว่าคาสิโนมาลงทุนไม่ดีกว่าหรือ?

เพราะหากคิดจะลงทุนด้วยคาสิโนจริงต้องมีการวิเคราะห์ผลประโยชน์กับต้นทุน (Benefit v.s.Cost) อย่างจริงจัง คิดง่ายๆ คงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประเมินผลกระทบทางสังคม (Social Impact Assessment : SIA) จึงจะสามารถตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าของการมีคาสิโนได้

ตัวอย่างการคำนวณผลกระทบทางสังคมของสหรัฐอเมริกาที่ถือเป็นต้นแบบของประเทศที่หารายได้จากคาสิโน พบว่าในปี 2004 หลังจากหักกลบลบหนี้กันระหว่างรายได้เข้าประเทศกับต้นทุนผลกระทบทางสังคมแล้ว ทั้งสองเกือบจะเท่ากัน คือประมาณ 47,000ล้านดอลล่าร์ ต่างกันที่ตัวเลขสามตัวหลังที่หลักร้อยล้านเทานั้น เพราะต้นทุนทางสังคมที่เกิดจากคนอเมริกัน 1คนที่ติดพนัน = 10,330 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 310,000บาท/คน ขณะที่ต้นทุนทางสังคมที่เกิดจากคนอเมริกัน 1คน ที่เล่นพนันจนเกิดปัญหา = 2,945 ดอลล่าร์ หรือประมาณ 88,000 บาท/คน(หากคำนวณที่ 1ดอลล่าร์=30บาท) ซึ่งรัฐบาลจะต้องคำนึงไว้ล่วงหน้าก่อนด้วยว่า “ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบจ่ายต้นทุนผลกระทบทางสังคมที่เกิดขึ้นจากการมีคาสิโน?” ธุรกิจคาสิโนหรือประเทศไทย

สาม บ่อนคาสิโนเปรียบได้กับเชื้อโรคอย่างเชื้อโควิด19 ที่สามารถสร้างความเจ็บป่วยทางสังคมให้กับผู้คนในประเทศไทยอย่างแพร่กระจาย ฉะนั้น หากตราบใดที่ยังไม่มีระบบคุ้มกันโรคที่ดีพอ ก็ยังไม่ควรจะปล่อยให้เชื้อนี้เข้ามาในประเทศ

สิงคโปร์ เป็นตัวอย่างของประเทศที่อยากมีคาสิโน แต่ไม่ลงทุนสร้างคาสิโนก่อน สิ่งที่เขาทำก่อนคือ มาตรการลดผลกระทบทางสังคม โดยตั้งหน่วยงานที่ชื่อ National Council on Problem Gambling (NCPG) เพราะรู้ว่าเมื่อมีคาสิโนแล้ว ผลกระทบย่อมเกิดตามมาแน่ NCPGจึงมีหน้าที่ฉีดวัคซีนความรู้ให้เด็ก เยาวชน และประชาชนสิงคโปร์ โดยการพัฒนาการเรียนรู้ การรณรงค์ต่างๆ เพื่อปลูกฝังทัศนคติที่แข็งแรงต่อการพนัน รวมถึงกำหนดมาตรการทางสังคมเพื่อลดการเล่นพนันที่เป็นปัญหาที่เรียกว่า มาตรการยกเว้น หรือ Exclusion ที่บุคคลที่เล่นพนันจนเป็นปัญหาสามารถถูกยกเว้นโดยตัวเอง(self exclusion) หรือคาสิโน (corporate exclusion) หรือครอบครัว (family exclusion) ได้

โดยยื่นเรื่องขอยกเว้นบุคคลนี้ไม่ให้เข้าใช้บริการคาสิโนต่อNCPG แค่นี้ยังไม่พอ NCPG ยังต้องมีบริการปลายทางไว้รองรับผู้ที่สุดท้ายแล้วก็ไม่พ้นมีปัญหาจากการพนัน โดยมีบริการให้คำปรึกษา และบำบัดเยียวยาภาคบังคับ บริการเหล่านี้ของNCPG ล้วนมีต้นทุนทั้งสิ้น ถามว่าใครคือผู้ควรต้องจ่ายต้นทุนนี้ ... ธุรกิจคาสิโนหรือสังคม

อังกฤษ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีบทเรียนต่อเรื่องทำนองนี้ดี จากกรณีของล็อตเตอรี่รัฐบาล (National Lottery) ที่คนอังกฤษเคยนิยมเล่นกันอย่างหัวปักหัวปำ จนรัฐบาลยุคหนึ่งต้องประกาศยกเลิกไปนานหลายสิบปี และเพิ่งถูกรื้อฟื้นกลับมาไม่กี่ปีหลังมานี้ แต่การกลับมาครั้งนี้รัฐบาลอังกฤษตั้งการ์ดสูง โดยจัดสรรรายได้จาก National Lotteryถึง 28% มาตั้งเป็นกองทุนที่ชื่อว่าBig Lottery Fund เพื่อคืนเงินกลับมาสร้างความเข้มแข็งทางสังคม

สี่ ปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย สิ่งที่มักจะเกิดสวนทางกับคำกล่าวอ้างที่สวยหรูตอนต้น ที่จะห้ามไม่ให้นักพนันเข้าไปเล่นพนันในคาสิโน ที่เปิดในประเทศเขา คือ สุดท้ายแล้วนักพนันที่เข้าเล่นในคาสิโนจะเป็นนักพนันจากคนในประเทศนั้นเป็นส่วนใหญ่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้วในหลายประเทศ ยกตัวอย่างเช่น สปป.ลาว ที่รัฐบาลมีกฎหมายห้ามไม่ให้คนลาวเข้าเล่นการพนันในคาสิโนเด็ดขาด แต่ความจริงคือนักพนันกว่า 60%ที่เข้าไปเล่นในคาสิโนชื่อดัง “คิงส์โรมัน” เป็นนักพนันชาวลาว

เช่นเดียวกันกับที่เกิดในกัมพูชา ที่รัฐบาลกัมพูชาก็ไม่อนุญาตให้คนกัมพูชาเข้าคาสิโน แต่ก็พบว่าคนในท้องที่ท้องถิ่นที่คาสิโนตั้งอยู่ต่างกรูกันเข้าสู่คาสิโน ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร? ด้วยมาตรฐานเดิมที่ประเทศไทยทำไว้ในความล้มเหลวของการห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าผับเข้าบาร์ ดูแล้วไม่น่าจะเป็นหลักประกันที่เชื่อถือได้

ฉะนั้น สิ่งที่พึงสังวรณ์อย่างยิ่งต่อการอยากมีคาสิโน คือ แม้คาสิโนจะทำให้เกิดการลงทุน ก่อให้เกิดการจ้างงาน และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวมากขึ้น แต่คาสิโนสามารถสร้างผลกระทบทางสังคมที่สูง จึงไม่สมควรรีบร้อนทำนอง “เอาเงินไว้ก่อน เรื่องสังคมค่อยว่ากันที่หลัง” คงไม่ได้ ตราบใดยังไม่มีกลไกรับมือที่เชื่อมั่นได้พอ ก็มีคาสิโนไม่ได้

เรื่องนี้ดูแล้วถึงท่านจะอยากรีบร้อนอย่างไรก็คงทำไม่ได้และไม่ควรทำ แต่ก็เป็นการดีที่ท่านได้ช่วยเปิดประเด็นนี้เพื่อให้สังคมได้ถกเถียงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันจนกว่าตกผลึก ซึ่งเข้าใจว่าคงต้องคุยกันอีกนาน