สำรวจมือถือ ‘5G’ เรือธงแบรนด์ดัง ต้อนรับ iPhone12 เข้าไทย!

สมรภูมิสมาร์ทโฟน 5G ทั่วโลกกำลังถูกจับตามองอย่างมาก หลังจากเมื่อเร็วๆ นี้ “Apple” ส่งมือถือเรือธงซีรีส์ล่าสุด “iPhone 12” ที่ออกมา 4 รุ่นพร้อมคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 5G หวังรุกตลาดสมาร์ทโฟนเจนใหม่อย่างเต็มตัว

อย่างไรก็ดี ขณะนี้ยักษ์ใหญ่สหรัฐยังไม่ประกาศวันวางจำหน่าย iPhone 12 ในไทยอย่างเป็นทางการ แต่คาดกันว่าอย่างเร็วที่สุดภายในสิ้นเดือน พ.ย. หลังจากปล่อยให้ค่ายคู่แข่งเปิดตัวมือถือ 5G ไปก่อนหน้านี้

Apple กระโจนสู่สมรภูมิ 5G ถือว่าช้ากว่าคู่แข่งพอสมควร บรรดานักวิเคราะห์มองว่า Apple ต้องการใช้ iPhone รุ่นรองรับ 5G ในการรักษาภาพลักษณ์พรีเมียมของแบรนด์ เพราะตอนนี้ คู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง “ซัมซุง” (Samsung) ของเกาหลีใต้ และ “หัวเว่ย” (Huawei) ของจีน ต่างมีสมาร์ทโฟนรุ่น 5G ในตลาดกันหมดแล้ว

 

• 5G คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร

5G คือ รุ่นที่ 5 ของการสื่อสารที่ถูกพัฒนามาจาก 1G ยุคมือถืออนาล็อก, 2G ยุคแรกของมือแบบดิจิทัล ส่ง SMS ผ่านมือถือได้, 3G ยุคโทรศัพท์แบบเห็นหน้า ดูโทรทัศน์ เล่นเกมออนไลน์ เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา และ 4G ยุคอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สามารถดู Youtube แบบ HD บนมือถือซึ่งใช้กันแพร่หลายในขณะนี้ รวมถึงพื้นที่ส่วนใหญ่ในไทย

ปัจจุบัน พื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ อีอีซี (EEC) และหัวเมืองใหญ่ตามภาคต่างๆ เช่น เชียงใหม่ ภูเก็ต ฯลฯ เปิดให้ใช้งาน 5G เชิงพาณิชย์ได้แล้ว

นอกจากใช้ในการสื่อสารบนสมาร์ทโฟนแล้ว 5G ยังมีประโยชน์อย่างมากต่ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เช่น แทบเล็ตและสมาร์ทดีไวซ์ภายในบ้าน และยังรองรับการใช้งานอุปกรณ์ Internet of Things (IoT) ได้ครอบคลุมมากขึ้น เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, หุ่นยนต์ในโรงงาน, เทคโนโลยีการแพทย์ทางไกล, ศักยภาพของระบบค้าปลีก และการซื้อของออนไลน์ เป็นต้น

ขณะเดียวกัน ความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของ 5G ตัวอย่างเช่น การดาวน์โหลดไฟล์ใหญ่หรือคลิปภาพยนตร์ออนไลน์ขนาด 8K ที่มีความละเอียดระดับ FUHD (ย่อมาจาก Full Ultra HD) มีขนาด 7680 x 4320 พิกเซล หรือมีความละเอียด 33.2 เมกะพิกเซล หากเป็นเครือข่าย 4G จะต้องรอ 6 นาทีถึงโหลดเสร็จ แต่หากเป็น 5G จะใช้เวลาเพียง 6 วินาทีเท่านั้น หรือเร็วขึ้นอย่างน้อย 10 เท่า!

นอกจากนี้ หากมี 5G ผู้ใช้งานจะสามารถเชื่อมต่อไปปลายทางได้ไวถึง 0.001 วินาที รับ-ส่งข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเพิ่มเป็น 1,000 เท่า ใช้พลังงานในการเชื่อมต่อน้อยลง 90% ซึ่งอาจช่วยยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ถึง 10 ปี

ส่วนปัญหาอินเทอร์เน็ตอืดจากความหนาแน่นของจำนวนผู้ใช้งานในพื้นที่นั้นๆ หากเป็นยุค 4G จะรองรับผู้ใช้งานได้ราว 1 แสนคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. แต่หากเป็นยุค 5G จะรองรับผู้ใช้งานได้ 1 ล้านคนต่อพื้นที่ 1 ตร.กม. หรือมากขึ้นถึง 10 เท่า จึงแทบหมดปัญหาเรื่องความหน่วงของสัญญาณ

 

• สมาร์ทโฟน 5G ตัวท็อป

สำหรับสมาร์ทโฟนที่รองรับเครือข่าย 5G จากค่ายต่างๆ ทยอยวางจำหน่ายกันตั้งแต่ปีที่แล้ว เช่น Samsung, Huawei, Oppo, Vivo, Xiaomi และ Apple ที่เพิ่งเข้าตลาด 5G ในปีนี้ มีตั้งแต่รุ่นราคาประหยัดไปจนถึงรุ่งเรือธงของแต่ละยี่ห้อ ขึ้นอยู่กับงบประมาณและความชื่นชอบของผู้บริโภค

อย่างไรก็ตาม กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ได้รวบรวมลิสต์มือถือเรือธงรุ่น 5G ตัวท็อปที่ราคาแพงที่สุดจาก 6 ค่ายใหญ่มาประชันคุณสมบัติ เพื่อเป็นข้อมูลเปรียบเทียบสำหรับคนที่กำลังตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนรุ่น 5G ในเร็วๆ นี้

 

• iPhone 12 Pro Max

iPhone 12 Pro Max | ROM 512 GB

ราคา: 51,900 บาท

iPhone 12 Pro Max รุ่นตัวท็อปจาก Apple ที่เปิดตัวในเดือน ต.ค. ค่ายดังย้ำว่าเป็น iPhone ที่ดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา พร้อมขนาดใหญ่ที่สุดถึง 6.7 นิ้ว และจอภาพ Super Retina XDR แบบขอบจรดขอบ, ด้านหน้าเป็น Ceramic Shield แบบใหม่หมดที่จะช่วยปกป้องตัวเครื่อง เรียกได้ว่าเป็นการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ที่สุดในด้านความทนทานสำหรับ iPhone นอกจากนี้ยังมีชิพที่เร็วที่สุดในสมาร์ทโฟนอย่าง A14 Bionic

iPhone 12 Pro Max มาในดีไซน์แบบสแตนเลสสตีล โดยมีให้เลือก 4 สี ได้แก่ กราไฟต์ เงิน ทอง และแปซิฟิกบลู

เรื่องกล้องคือจุดขายของรุ่นนี้ โดยมาพร้อมกับกล้องหลัง 3 ตัว ขนาด 12 ล้านพิกเซล f/1.6 โดยจะมีกล้องหน้าความละเอียด 12 ล้านพิกเซลและยังมีเซ็นเซอร์ LiDAR ซึ่งจะทำให้เทคโนโลยี AR สมจริงยิ่งขึ้น และจะช่วยให้ถ่ายภาพออกมาสวยขึ้น

ส่วนราคารุ่นแพงที่สุดของค่ายนี้คือ iPhone 12 Pro Max ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในอเมริกาไว้ที่ 1,549 ดอลลาร์ ขณะที่ในไทย ราคาอยู่ที่ 51,900 บาท และจะวางจำหน่ายในร้านค้าบ้านเราวันศุกร์ 27 พ.ย.นี้

 

• Huawei P40 Pro

Huawei P40 Pro | ROM 512 GB

ราคา: 40,990 บาท

HUAWEI P40 Pro ตัวท็อปจากหัวเว่ย ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของจีน ที่เปิดตัวเมื่อต้นปีนี้ โดยมาพร้อม Leica Quad Camera กล้องหลัง 4 ตัว ที่มีไฮไลท์คือ Ultra Wide Cine Camera และ ToF Camera รวมถึงระบบ SuperSensing Zoom ที่สามารถซูมได้ถึง 50 เท่า ช่วยเพิ่มขีดความสามารถการถ่ายภาพจากระยะไกล และยังสามารถเก็บเสียงระยะไกลได้ด้วย Directional Audio Zoom

นอกจากนี้ HUAWEI P40 series ทุกรุ่นยังมาพร้อมความสามารถในการรองรับ 5G ได้อย่างเต็มรูปแบบ ทุกย่านความถี่ ทั้งสองซิม ด้วยชิปเซ็ตทรงประสิทธิภาพ Kirin 990 ที่รวมเอาโปรเซสเซอร์และโมเด็มไว้ด้วยกัน มอบความเสถียรและประหยัดพลังงาน

จากการสำรวจ ราคารุ่นแพงที่สุดในตลาดของค่ายนี้คือ Huawei P40 Pro ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในไทยไว้ที่ 40,990 บาท

 

• Oppo Find X2 Pro

OPPO FIND X2 Pro | ROM 512 GB

ราคา: 40,990 บาท

OPPO Find X2 Series 5G จากค่ายออปโป้ ออกมาพร้อมกัน 2 รุ่นเมื่อต้นปีนี้ ได้แก่ OPPO Find X2 และ OPPO Find X2 Pro ขณะเดียวกัน ค่ายนี้ย้ำว่า นี่เป็นรุ่นที่มีหน้าจอดีที่สุดเท่าที่เคยมีมา ด้วยหน้าจอ Ultra Vision AMOLED 6.7 นิ้ว ความละเอียด QHD+ พร้อมความคมชัดระดับ 10bit และมีชิพประมวลผลหน้าจอ O1 Ultra Vision Engine

นอกจากนี้ ผู้ที่นิยมใช้มือถือในที่แสงน้อยน่าจะถูกใจระบบ AI ของรุ่นนี้ ที่จะเลือกโทนที่ดีที่สุดและความสว่างเพื่อให้ดวงตาของผู้ใช้รู้สึกสบายที่สุด ปรับการรับแสงอัตโนมัติให้เข้ากับสภาวะโดยรอบ และลดแสงสีฟ้าที่ทำร้ายดวงตา

ส่วนเรื่องกล้อง มาพร้อมกล้องหลัง 48MP IMX689 + 48MP Ultra wide-angle IMX586 + 13MP Periscope Telephoto โดยกล้องหลังรองรับการซูม 10x Hybrid Zoom และ 60x Digital Zoom ขณะที่กล้องหน้าความละเอียด 32MP

จากการสำรวจ ราคารุ่นแพงที่สุดในตลาดของค่ายนี้คือ OPPO FIND X2 PRO ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในไทยไว้ที่ 40,990 บาท

 

• Samsung Galaxy Z Fold2

Samsung Galaxy Z Fold2 | ROM 256 GB

ราคา: 69,900 บาท

Galaxy Z Fold2 5G สมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดจากค่ายซัมซุงที่เปิดตัวเมื่อเดือน ก.ย. พร้อมเอกลักษณ์ที่โดดเด่นที่สุดในตลาดยุคนี้ด้วยหน้าจอพับได้ นับเป็นมือถือหน้าจอพับได้เจนเนอเรชันที่ 3 จากค่ายยักษ์ใหญ่แห่งเกาหลีใต้

มือถือรุ่นล่าสุดของซัมซุงเปิดตัวด้วย 2 เฉดสีสุดพรีเมียมอย่าง Mystic Bronze และ Mystic Black

หน้าจอพับได้ของ Galaxy Z Fold2 ปลดล็อครูปแบบและประสบการณ์การใช้งานที่แปลกใหม่ ด้วยการผสานการทำงานของ Flex mode และ App Continuity เข้าด้วยกัน เพื่อช่วยเพิ่มความต่อเนื่องและอิสระในการใช้งานระหว่างสองหน้าจอ

สำหรับประสบการณ์รับชมคอนเทนต์ เมื่อพับเครื่อง ผู้ใช้สามารถใช้งานสมาร์ทโฟนได้เต็มจอบนจอแสดงผลด้านหน้าแบบ Infinity-O ขนาด 6.2 นิ้ว ตอบโจทย์ทุกการใช้งานได้โดยไม่ต้องกางเครื่องออก ไม่ว่าจะเช็คอีเมล ค้นหาเส้นทาง หรือดูซีรีส์เรื่องโปรด

และเมื่อกางเครื่องออกจะพบกับหน้าจอหลักขนาดใหญ่ 7.6 นิ้ว เทียบเท่าแทบเล็ต รองรับการใช้งานแบบ Multi-tasking พร้อมรับชมคอนเทนต์ได้เต็มอรรถรส ด้วยขอบจอที่บางลง และรูกล้องขนาดเล็ก ไร้รอยบากลดสิ่งรบกวนสายตา พร้อมรองรับค่ารีเฟรชเรทสูงสุดถึง 120Hz เพื่อการรับชมที่ลื่นไหลไม่มีสะดุด

นอกจากนี้ Galaxy Z Fold2 มาพร้อมแบตเตอรี่ทรงพลัง 4,500mAh และระบบชาร์จไว จึงสามารถใช้งานได้ยาวนานตลอดทั้งวัน

จากการสำรวจ ราคารุ่นแพงที่สุดในตลาดของค่ายนี้คือ Samsung Galaxy Z Fold2 ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในไทยไว้ที่ 69,900 บาท

 

• Vivo X50 Pro+

Vivo X50 Pro+ | ROM 256 GB

ราคา: 24,999 บาท

Vivo X50 Pro+ สมาร์ทโฟนระดับเรือธงในตระกูล X50 Series ของค่ายวีโว่ ซึ่งเปิดตัวเมื่อกลางปีนี้ มีไฮไลต์อยู่ที่กล้องถ่ายรูปซึ่งมีถึง 4 กล้องหลัง 50 ล้านพิกเซล กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซล และมีเลนส์ Periscope รุ่นแรก 8 ล้านพิกเซล 5x Optical Zoom ขนาดเว็บไซต์ไอทีชื่อดังยกให้เป็นอันดับ 3 สมาร์ทโฟนกล้องถ่ายสวยที่สุด

การจัดอันดับกล้องสมาร์ทโฟนของเว็บ DxOMark ระบุว่า Vivo X50 Pro+ ทำคะแนนรวม 127 คะแนน แบ่งเป็นการถ่ายภาพนิ่ง 139 คะแนน และวิดีโอ 104 คะแนน โดยจุดเด่นของรุ่นนี้คือการซูมในระยะไกลที่ทำได้สูงสุด 5x แบบไม่สูญเสียความละเอียด รวมถึงการโฟกัสอัตโนมัติที่แสงน้อยที่ทำได้ดีมาก

ส่วนเรื่องการถ่ายวิดีโอ รุ่นนี้มีระบบกันสั่นที่ยอดเยี่ยม แม้ว่าจะไม่มี Gimbal เหมือนกับรุ่น Vivo X50 Pro ก็ตาม แต่ด้วยความละเอียด 4K ที่ 30fps ทำให้ภาพออกมาดีที่สุด

Vivo X50 Pro+ มาพร้อมหน้าจอขนาด 6.56 นิ้ว แบบ Super AMOLED และความจุแบตเตอรี่ 4,300 mAh พร้อมระบบชาร์จเร็ว 44W

จากการสำรวจ ราคารุ่นแพงที่สุดในตลาดของค่ายนี้คือ Vivo X50 Pro+ ความจุ ROM 256 GB ตั้งราคาขายในไทยไว้ที่ 24,999 บาท

 

• Xiaomi Mi 10 Pro

Xiaomi Mi 10 Pro | ROM 512 GB

ราคา: 30,000 บาท

ต้นปีนี้ เสี่ยวหมี่ อีกหนึ่งค่ายยักษ์ใหญ่ของจีน เปิดตัวมือถือเรือธงรุ่น Xiaomi Mi 10 และ Xiaomi Mi 10 Pro โดยยังคงชูจุดเด่นของแบรนด์คืออัดสเปคเทพในราคาเข้าถึงได้

แม้สเปคโดยรวมของทั้ง Xiaomi Mi 10 และ Xiaomi Mi 10 Pro จะใกล้เคียงกัน ด้วยหน้าจอขนาด 6.67 นิ้วเท่ากัน รองรับ 90Hz ทั้งคู่ ใช้ชิป Snapdragon 865 และแรม 8/12GB เหมือนกัน แต่มีความต่างหลัก ๆ ที่ความจุและกล้อง

ถึงแม้ทั้ง 2 รุ่นจะมีกล้องหลัง 4 กล้องและเลนส์หลัก 108 ล้านพิกเซลเหมือนกัน กล้องหน้า 20 ล้านพิกเซลเหมือนกัน และถ่ายวิดีโอ 8K ได้ทั้งคู่ แต่กล้องของรุ่นตัวท็อป Mi 10 Pro จัดเต็มกว่า เพราะมีเลนส์ Telephoto ทั้งแบบระยะใกล้ซูม 2x และระยะไกลซูม 10x

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ รุ่น Mi 10 Pro มาพร้อมความจุ 4,780mAh รองรับระบบชาร์จไว 65W

จากการสำรวจ ราคารุ่นแพงที่สุดในตลาดของค่ายนี้คือ Xiaomi Mi 10 Pro ความจุ ROM 512 GB ตั้งราคาขายในไทยไว้ที่ 30,000 บาท

------------------------------------