ถอดสูตร 'เจ๊เล้ง' ปั้นธุรกิจไม่ให้เจ๊ง และเทคนิคการสร้างตัว 'พันล้าน'
ถอดความสำเร็จนอกตำราจากปาก "เจ๊เล้ง" เจ้าของ "ร้านเจ๊เล้ง" ร้านค้าในตำนาน ที่ดูดเงินลูกค้าแบบไร้ขีดจำกัด อะไรคือเบื้องหลังความแข็งแกร่งและขายดีจนถึงทุกวันนี้ แม้พฤติกรรมผู้บริโภค และสถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไป
แวดวงนักช้อป ไม่มีใครไม่รู้จัก "เจ๊เล้ง" หรือ อารยา ลาภชีวะสิทธิฉัตร นักธุรกิจในตำนานที่สร้างตัวจาก "ร้านเจ๊เล้ง" ศูนย์ขายสินค้าต่างประเทศย่าน "ดอนเมือง"
หลายคนคงคุ้นเคยกับเรื่องราวความสำเร็จของเจ๊เล้งในสื่อต่างๆ แต่สิ่งที่น่าสนใจในเวลานี้ คือการรักษาความสำเร็จของธุรกิจ และความมั่งคั่งมาทุกยุคทุกสมัย แม้ท่ามกลางบริบทในการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" พาไปคุยกับ เจ๊เล้ง อัพเดทธุรกิจของเจ๊ พร้อมทริคเริ่มต้นธุรกิจ และสร้างตัว โดยเฉพาะคนที่กำลังเริ่มต้นสร้างฐานะท่ามกลางพายุวิกฤติปี 2020 นี้ ก่อนการสัมภาษณ์เจ๊เล้งขอทำงานพรางให้สัมภาษณ์ไปด้วย โดยให้เหตุผลว่าการขายของ ได้เจอลูกค้าคือความสุขของเจ๊
"ไม่รวยก็ให้มันรู้ไป ขยันขนาดนี้!" เจ๊เล้งพูดและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ พร้อมเล่าให้ทีมงานกรุงเทพธุรกิจออนไลน์ฟังว่า แม้จะทำงานมาตั้งแต่อายุ 14 ปี และตอนนี้อายุ 74 ปีแล้ว แต่ไม่คิดจะรีไทร์ตัวเอง เพราะรู้สึกว่าการทำงานได้คุยกับลูกค้าของเจ๊ก็มีความสุขแล้ว ไม่เหงา ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ต้องหาสามีใหม่มาคลายคลายเหงา และไม่เคยรู้สึกน้อยใจที่ตัวเองต้องทำงานเลยสักครั้ง
การทำงานได้คุยกับลูกค้าของเจ๊ก็มีความสุขแล้ว ไม่เหงา ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่ต้องหาสามีใหม่มาคลายคลายเหงา และไม่เคยรู้สึกน้อยใจที่ตัวเองต้องทำงานเลยสักครั้ง
เจ๊เล้ง พูดติดตลกถึงเบื้องหลังการเป็นเวิร์กกิ้ง วูแมนของตัวเองว่า "มันต้องทำ ผัวไม่เลี้ยง ก็ต้องเลี้ยงตัวเอง" สิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้วิถีเวิร์กกิ้ง วูแมน ของเจ๊เล้งคือการบริหารธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องแม้ยุคสมัย พฤติกรรมผู้บริโภค และเทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกวัน
- เคล็ดลับธุรกิจรุ่ง ข้ามยุคสมัย สไตล์เจ๊เล้ง
1. ดูแลลูกค้าอย่างจริงใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ๊เล้งประสบความสำเร็จในการขายสินค้าในยุคที่มีการแข่งขันสูงแบบนี้ได้ คือ "ตัวของเจ๊เล้ง" ที่มีคนเดียวในโลก
"ของที่เจ๊เล้งขาย คือของที่เจ๊เล้งกินและใช้ แล้วมันดี ทำให้เจ๊เล้งรู้จริง ตอบได้ทุกคำถาม ตอบได้ทันที"
สิ่งที่สนับสนุนบทสัมภาษณ์ที่เจ๊งเล้งเล่ามา คือ บรรยากาศระหว่างที่ทีมงานกำลังสัมภาษณ์ ค่อนข้างจะวุ่นวาย เพราะมีลูกค้าเดินเข้ามาสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลสินค้าตลอดเวลา แล้วเจ๊เล้งก็สามารถตอบทุกคำถามของลูกค้าอัตโนมัติแบบไม่ต้องหันถามลูกน้องเลย
บางคนพูดชื่นชมเจ๊เล้งในฐานะของนักธุรกิจหญิงแกร่ง และชื่นชอบตัวเจ๊เล้งในมิติต่างๆ กันไม่ขาดสาย สะท้อนว่าตัวตนของเจ๊เล้งคือ "จุดขาย" ที่ร้านไหนๆ ก็เลียนแบบไม่ได้
2. สินค้าหลากหลาย และแตกต่าง
อีกหนึ่งจุดเด่นของร้านเจ๊เล้ง คือสินค้าที่แตกต่าง หลากหลาย มีของที่คนอื่นไม่มี และมีสินค้าที่ร้านอื่นอาจจะไม่กล้าลงทุน เพราะเจ๊เล้งเป็นคนกล้าลงทุน และนำเข้าสินค้าเองบางส่วน ทำให้ของที่ขายในร้านเป็นสินค้าคุณภาพ มีประโยชน์อย่างที่เจ๊เล้งต้องการ เช่น ผงโรยขนมปังรสเมลอน แปรงสีฟันสารพัดขนาดจากประเทศญี่ปุ่นที่หากได้ยากในร้านค้าอื่นๆ ฯลฯ
3. ไม่หยุดนิ่ง ปรับตัวตลอดเวลา รู้จักมองหาโอกาส แม้ในวิกฤติ
"บอกขายอาหารไม่ดีก็คุณขายแพงอะ แถมไม่อร่อยไม่ปรับปรุงตัวเอง ร้านก็สกปรก ใครเขาจะกินล่ะ ก็คุณจะเอาแต่กำไร" เจ๊เล้งเล่าว่า ไม่ว่าจะยุคสมัยก็ขายดีได้ ถ้ารู้จักปรับตัว
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ลูกค้าเจ๊เล้งสามารถซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้สะดวกรวดเร็วไม่แพ้แพลตฟอร์มใหญ่ๆ แถมเจ๊เล้ง ยังมีแฟนๆ ที่ชอบดูเจ๊ไลฟ์ขายของผ่านเฟซบุ๊ค ที่เจ๊เล้งรับหน้าที่ "แม่ค้าไลฟ์สด" ไลฟ์ขายของผ่านเพจเจ๊เล้งด้วยตัวเองให้เห็นอยู่บ่อยๆ ทั้งไลฟ์ครีเอทเมนูอาหารจากสินค้าในร้าน สาธิตใช้อุปกรณ์ความงามต่างๆ ที่มีในร้าน ที่เน้นการนำเสนอสไตล์เจ๊เล้ง พูดตรง จริงใจ ใส่อารมณ์ ที่กระตุ้นความยากได้ของคนที่ผ่านมาเห็นไม่น้อย
เบื้องหลังการไลฟ์ของเจ๊เล้ง คือทีมครีเอทีฟ 3 คนซึ่งเป็นสมาชิกในครอบครัว พร้อมทีมดูแลเรื่องการไลฟ์โดยเฉพาะ มีพนักงานตัดต่อ ทำอย่างเป็นระบบช่วยให้ผลลัพธ์ออกมาดี น่าสนใจ และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี
การที่เจ๊เล้งขยายช่องทางในการทำการตลาดไปอยู่ใน "โลกออนไลน์" คือการ "ปรับตัว" ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจยุคใหม่ ที่ต้องเลือกว่า จะปรับหรือจะตายไปกับโลกธุรกิจแบบเดิม
4. ขยัน ทุ่มเท และใส่ใจ
นอกจากตัวเจ๊เล้งเองจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าต่างๆ ในร้านได้อย่างคล่องปากแล้ว หน้าชั้นวางของ ของสินค้าแทบทุกชั้น จะมีป้ายที่แตกต่างไปจากร้านค้าปลีกทั่วไป หนึ่งในนั้นคือ ป้าย "เจ๊เล้งแนะนำ" ที่ อธิบายถึงรสสัมผัสของสินค้า เคล็ดลับการใช้หรือการปรุงให้อร่อย ที่การันตีว่าเจ๊เล้งเคยลองชิมสินค้านี้มาแล้ว
หากมองในมิติของธุรกิจ นี่คือกลยุทธ์หนึ่งที่ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลของสินค้าแต่ละประเภทได้แบบไม่ต้องรอถามพนักงานที่รู้ข้อมูลสินค้าไม่ตรงกัน
"ฉันเป็นยิ่งกว่าบล็อกเกอร์ เป็นเจ้าของบริษัทตัวจริง ฉันรู้ว่าของพวกนี้ดีหรือไม่ดี ฉันไม่ได้นั่งเทียน เช่น เขาจ้างมา 500,000 แล้วพูด มีคนมาจ้างเยอะแต่รับจ้าง แต่สิ่งที่เราพูด คือสิ่งที่เราต้องเรียนรู้จากตัวเราก่อน เราถึงจะกล้าพูดได้" เจ๊เล้ง กล่าว
แน่นอนว่าคนที่ทำธุรกิจเก่ง ไม่ได้หมายความว่าจะร่ำรวยเสมอไปหากไม่สามารถบริหารจัดการเงินที่ดีได้ในระยะยาว เมื่อทีมงานกรุงเทพธุรกิจลองสอบถามไปถึงเทคนิคการบริหารจัดการเงินของเจ๊เล้ง ก็ได้คำตอบที่สรุปออกมาเป็น 3 ทริคใหญ่ๆ ได้ดังนี้
- 3 ทริค ใช้เงินแบบเจ๊เล้ง ไม่เจ๊งแน่!
1. ไม่ใช้เงินฟุ้งเฟ้อ ไม่เหลิงกับรายได้ที่เข้ามา
เจ๊เล้งเล่าว่าใช้จ่ายเงินสำหรับตัวเองแค่ 1-2% ของเงินที่หาได้เท่านั้น โดยมองว่าชีวิตไม่ใช่การวิ่งตามคนอื่น ต้องอยู่ให้เป็นและพอเพียง
“เขามีเราก็มีบ้างตามกำลัง แต่อย่าไปคิดว่าต้องมีแข่งกับเขา สุดท้ายคนที่ทำตัวแบบนั้นจนกว่าคนอื่น อย่าเพิ่งไปทำอะไรที่ตัวเองยังไม่มี มีแล้วค่อยคิด อย่างเจ๊เล้งมีแล้วค่อยคิด!”
2. ใช้เงินให้มีมูลค่าเพิ่ม รู้จักต่อยอดเงินที่มีอยู่
เจ๊เล้งมีการลงทุนต่อยอดเงินของตัวเอง แต่เน้นต่อยอดเงินของตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ตอนนี้เจ๊เล้งกำลังซุ่มทำสวนให้คนมาพักได้ หรือให้คนแก่มาพัก คล้ายๆ บ้านพักคนชรา โดยคนที่มาพักที่นั่นจะสามารถปลูกผัก ปลูกข้าว กินเองได้ เป็นโปรเจคที่กำลังทำอยู่ในพื้นที่ 89 ไร่ที่ลาดกระบัง ที่หวังว่าจะเป็นประโยชน์นกับคนอื่นๆ ด้วย
นอกจากนี้เจ๊ยังแชร์ทริคใช้เงินให้คุ้มค่าที่ว่า "เจ๊จะใช้เงินอย่างมีวิจารณญาณ ทุกครั้งที่เจ๊เล้งใช้เงิน ต้องคิดว่ามันจะขาดทุนหรือมีมูลค่าเพิ่ม คำว่ามีมูลค่าเพิ่ม ไม่ได้หมายความว่ามีกำไร แต่การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพตัวเองทำให้เรามีสุขภาพดีขึ้น เขาก็เรียกว่ามีมูลค่าเพิ่ม"
3. ใช้สอยเพื่อความสุขพอประมาณ
ความสุขของเจ๊เล้งคือการทำบุญ เจ๊เล้งทำบุญราว 10-20% ของเงินที่หาได้ เช่น บริจาคเครื่องช่วยหายใจ บริจาครถเข็นผู้ป่วย ฯลฯ เรียกง่ายๆ ก็คือนอกจากเจ๊จะเป็นคนที่ค่อนข้างใช้เงินอย่างประหยัดและสมเหตุสมผลแล้วยังนำเงินที่มีอยู่ไปต่อยอดทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ ซึ่งสามารถสร้างการเติบโตของเงินและความสุขของตัวเองไปได้ในเวลาเดียวกัน
- วัยรุ่นสร้างตัว อยากแตะเงินล้านแบบเจ๊เล้ง ต้องทำยังไง?
เจ๊เล้งบอกว่า กว่าจะแตะเงินล้านแรก อาจจะเป็นเรื่องยากสำหรับใครหลายคน ตราบใดที่ยังใช้เงินอนาคตกันอยู่ เจ๊เล้งขยายความว่า "ถ้ากินก๋วยเตี๋ยวชามละ 650 บาทก็จะยากแบบนั้น เจ๊เล้งกินก๋วยเตี๋ยวชามละ 15 บาท 3 ชาม ก็อิ่มเหมือนกัน กว่าจะมีวันนี้ เจ๊เล้งหาเงินตลอด จนอายุจะ 60 ถึงหัดใช้เงิน หาอย่างเดียว ไม่ใช้เลย เจ๊เล้งเก็บสะสมตลอดเวลา ไม่ใช้ฟุ้งเฟ้อ"
นอกจากนี้เจ๊เล้งยังให้เคล็ดไม่ลับสำหรับ คนรุ่นใหม่ที่กำลังทำธุรกิจของตัวเองว่า
"ทุกอย่างต้องอดทน กว่าเจ๊เล้งจะมีวันนี้ทำธุรกิจตั้งแต่อายุ 14 สิ่งที่สำคัญคือเวลาทำแล้วอย่าเหลิง ไม่ใช่มีเงินนิดนึงแล้วอวด การทำธุรกิจต้องเริ่มทีละสเต็ป ทำ 1 2 3 4 5 ทีละสเต็ป ไม่ใช่พอมีตังค์หน่อยดาวน์บ้าน ซื้อรถ ไม่ใช่นะคะ อย่างนั้นเจ๊งทุกคน"