พรชัย ว่องศรีอุดมพร – ‘โควิด’ สอนให้รู้ว่า ‘หนังไทย’ ต้องยืนด้วยลำแข้งตัวเอง
‘หว่อง-พรชัย ว่องศรีอุดมพร’ ผู้บริหารระดับสูงของ ‘เอ็ม พิคเจอร์ส’ ชวนคนในวงการหนังไทยมาช่วยกันสร้าง local content ที่แข็งแรง ยกระดับ ‘หนังไทย’ ให้ก้าวขึ้นมาแทนที่หนังฮอลลีวู้ด หลัง ‘อีเรียมซิ่ง’ จุดกองไฟแห่งความหวังติดท่ามกลางความมืดมิดของโควิด-19
‘จุดประกาย’ Exclusive Talk กับ พรชัย ว่องศรีอุดมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ตัวจริงเสียงจริงผู้รู้รอบทุกมิติของอุตสาหกรรมหนังไทยว่าวันนี้เราเป็นอย่างไรกันบ้างในยุคโควิดป่วนเมือง จนต้องปิดให้บริการโรงหนังไปนานถึง 3 เดือนในช่วงระหว่างเดือนมีนาคม เมษายน พฤษภาคม
แถมพอกลับมาเปิดฉายตามปรกติก็ขาดหนังดีๆ โดนๆ ที่จะมาเรียกคนที่เคยชินกับการอยู่บ้านไปแล้วให้ออกมาตีตั๋วเข้าโรงภาพยนตร์กันอีกครั้ง
- Content is king แม้แต่ในยุคโควิดก็เช่นกัน
ก่อนอื่น คุณหว่อง - พรชัย ว่องศรีอุดมพร ได้พูดถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปหลังจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ‘โควิด-19’ ที่ทำให้โรงภาพยนตร์ในประเทศไทยต้องหยุดให้บริการไปนานถึง 3 เดือนเต็มว่า ทำให้คนมีนิสัยอยู่ติดบ้าน ไม่ค่อยอยากจะออกไปไหน
ช่วงนี้กินเวลาประมาณ 2-3 เดือน พอผ่านไปได้ซักราวๆ 6 เดือน ในช่วงเดือนสิงหาคม กันยายน สถานการณ์ก็เริ่มคลี่คลาย คนออกมาใช้ชีวิตนอกบ้านกันมากขึ้น เห็นได้จากจำนวนคนตีตั๋วเข้ามาดูหนังเรื่อง Tenet และ มู่หลาน ในโรงภาพยนตร์กันอย่างคึกคัก
“ผมว่ามันเป็นการสะท้อนว่าคนรอคอนเทนต์ คนอยากดู แต่มันไม่มีคอนเทนต์ให้ดู” พรชัย ว่องศรีอุดมพร กล่าว
“แล้วบังเอิญไทยเราไปพึ่งคอนเทนต์ของฮอลลีวู้ดค่อนข้างเยอะ ช่วงที่ผ่านมาส่วนแบ่งทางการตลาด (market share) ของหนังไทยเองน้อยมาก ประมาณ 10-20% เท่านั้นเอง ทั้งที่ในอดีตประมาณ 10-15 ปีที่แล้ว มาร์เก็ตแชร์เราเคยขึ้นถึง 40% ด้วยซ้ำไป แต่วันนี้ทำไมมันถึงดาวน์ลงมาล่ะ มันก็ตอบโจทย์ได้ว่าเพราะมันไม่มีคอนเทนต์ที่มันใหญ่พอ หรือน่าสนใจพอที่จะดึงให้คนออกจากบ้านมา ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ”
คุณหว่อง – พรชัย กล่าวว่าทาง ‘เอ็ม พิคเจอร์ส’ ได้แก้ปัญหาด้วยการพยายามนำหนังเข้ามาฉายเรื่อยๆ โดยเรื่องแรกคือ ‘พจมานสว่างคาตา’ ของ ‘พชร์ อานนท์’ ซึ่งทำรายได้ไม่เลว แต่ก็ไม่ดีเท่าที่หนังของ ‘พชร์ อานนท์’ เคยทำได้ในยุคก่อนโควิด
“จริงๆ แล้วผมคิดว่ามันมีกลุ่มคนดู (ภาพยนตร์) อยู่นะ เพียงแต่ช่วงนั้นคนยังปรับตัวกันไม่ทัน”
- ‘อีเรียมซิ่ง’ ผู้กอบกู้หนังไทยยุคโควิด
แต่แล้วในช่วงปลายเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาก็มีหนังไทยเรื่องหนึ่งเข้ามาทำให้ผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ และคนทำหนังไทยพอจะยิ้มออกมาได้ นั่นคือ ภาพยนตร์เรื่อง ‘มนต์รักดอกผักบุ้ง เลิกคุยทั้งอำเภอ’ ผลงานการกำกับของ เอกชัย ศรีวิชัย นำแสดงโดยนักร้องลูกทุ่งขวัญใจคนรุ่นใหม่ เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น, ลิลลี่ เลิกคุยทั้งอำเภอ, ครูเต้ย อภิวัฒน์ ฯลฯ
‘มนต์รักดอกผักบุ้งฯ’ กวาดรายได้ไปถึง 43 ล้านบาท ในช่วงโควิด ซึ่งสำหรับปรากฎการณ์นี้ พรชัย ว่องศรีอุดมพร กล่าวว่าเป็นเพราะหนังเรื่องนี้ตอบโจทย์ของคนดูทางภาคทางใต้ โดยรายได้ประมาณ 70-80% มาจากภูมิภาคนี้ ส่วนอีก 20-30% มาจากภูมิภาคอื่น แล้วพอในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนก็มีภาพยนตร์เรื่อง ‘อีเรียมซิ่ง’ ที่ตอบโจทย์คนทั้งประเทศออกมา
“มันเป็นการบอกว่า หนังไทย ถ้าคุณทำถูกกลุ่มคนก็ออกมาดู มนต์รักดอกผักบุ้งฯ ทำรายได้ไปกว่า 40 ล้านบาททั้งประเทศ โดยหนักที่ใต้ สำหรับ ‘อีเรียมซิ่ง’ ตอนนี้ทำไปได้ 190 ล้านทั่วประเทศแล้ว (นับถึงวันที่ 10 ธันวาคม) ซึ่งเราคิดว่า 200 ล้านก็น่าจะเป็นไปได้ ถ้าเราโชคดีก็จะได้ถึง 220 ล้าน เพราะว่าช่วงนี้มีวันหยุดต่อเนื่องถึง 2 ช่วง คือ วันพ่อกับวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งรวมแล้ว 7-8 วัน ถ้าเรามองวันละ 10 ล้าน ก็คิดว่าน่าจะทำได้”
นอกจากหนังไทยแล้ว ภาพยนตร์การ์ตูนจากประเทศญี่ปุ่นที่คนไทยคุ้นเคย และรักมาตั้งแต่เวอร์ชั่นหนังสือการ์ตูน และแอนิเมชั่นก็ทำรายได้เป็นที่น่าพอใจ ไม่ว่าจะเป็น ‘โดราเอมอน ตอนไดโนเสาร์ตัวใหม่ของโนบิตะ’ ที่เข้าฉายเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน นับถึงตอนนี้กวาดรายได้ไป 15.89 ล้านบาทแล้ว
ส่วนเรื่องล่าสุดที่น่าจับตามองเป็นอย่างมากคือ ‘ดาบพิฆาตอสูร เดอะมูฟวี่ ศึกรถไฟสู่นิรันดร์’ ที่ทำรายได้ในการฉายรอบพิเศษ เฉพาะที่เปิดตัวในโรงภาพยนตร์ไอแม็กซ์ และโรงเมก้าสกรีนจำนวน 14 จอ ก็สามารถเก็บเกี่ยวรายได้ไปถึง 2 ล้านบาทแล้ว
“เรื่องนี้ตอบโจทย์ว่าเราต้องการคอนเทนต์ เรื่องไหนที่มันอิมแพ็ค คนดูก็โอเค รายได้ในไตรมาส 4 ก็โตขึ้นมาจากไตรมาส 3 มันกลับไปใกล้เคียงกับตัวเลขที่ควรจะเป็นในสถานการณ์ปรกติแล้ว ซึ่งนี่ยังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ในเรื่องของที่นั่งนะ อันนี้ที่นั่งได้ซัก 70% เท่านั้นเอง ซึ่งถ้ามันเปิดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ตัวเลขน่าจะดีกว่านี้ด้วยซ้ำ” พรชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ กล่าว
- ผนึกกำลังทำ ‘หนังไทย’ ให้แข็งแรง
ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาเปรียบเสมือนช่วงเวลาของการวัดใจคนดูว่าต้องการอะไรในยุคโควิด-19 เช่นนี้ แล้วทางค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง ‘เอ็ม พิคเจอร์ส’ บริหารจัดการคอนเทนต์อย่างไรในสถานการณ์ที่ค่อนข้างจะชัดเจนแล้วว่า หนังฟอร์มยักษ์จากฮอลลีวู้ดจะยังหายไปจากตลาดอีกระยะหนึ่ง
เรื่องนี้ พรชัย ว่องศรีอุดมพร กล่าวว่า (market) segmentation มีความสำคัญเป็นอย่างมาก
“อย่างเรื่อง ‘ดาบพิฆาตอสูร’ เราเริ่มต้นจากการเลือกคอนเทนต์ที่มีตลาดคนดู 2. เราจะขยายอย่างไรให้คนที่ไม่ใช่แฟนหลักสนใจคอนเทนต์ที่มันสนุก ซึ่งบังเอิญว่าเราโชคดีมากที่ช่วงปิดโควิด อะนิเมะซีรีส์เรื่องนี้ถูกปล่อยออกมาทาง Netflix ในภาคภาษาอังกฤษ แล้วหลังจากนั้นก็ถูกปล่อยออกมาทางไลน์ทีวีในภาคภาษาไทย
ผมเองยอมรับเลยว่ายังไม่เคยอ่านการ์ตูน หรือดูอะนิเมะมาก่อน แต่พอได้มาดูเวอร์ชั่นภาพยนตร์แล้วมันสนุกมาก นั่นทำให้ผมมั่นใจกับการทำตลาดเรื่องนี้อย่างเต็มที่”
พรชัย ว่องศรีอุดมพร ตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ประเทศที่คลายล็อกดาวน์ เปิดระบบเศรษฐกิจแล้ว ไม่ว่าจะเป็น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น โรงหนังของที่นั่นไม่มีปัญหาเลยเพราะคอนเทนต์โลคอลของทั้ง 3 ประเทศนี้แข็งแรงมากจนสามารถทดแทนหนังฮอลลีวู้ดได้เลย ซึ่งวันนี้ ‘เอ็ม พิคเจอร์ส’ ก็พยายามที่จะทำภาพนั้นให้เกิดขึ้นในประเทศไทย และขอเชิญชวนทุกคนที่อยู่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์มาทำภาพนี้ให้เกิดขึ้นให้ได้
“ผมว่าวันนี้เราเอาศักยภาพของเราที่มี จุดแข็งของแต่ละคนมารวมกันแล้วทำให้มันแข็งแรงเพิ่มขึ้นไปอีก ใครมีเรื่องมีเดีย ใครมีเรื่องของ creative, distribution channel, marketing หรือ international market ผมว่าเรามาจอยกันได้หมด หรือถ้ามีทรัพย์สินเป็นคอนเทนต์ก็มาจอยกันได้ ตรงนี้มันก็จะทำให้อุตสาหกรรมเรามีความหลากหลาย”
- ทุกอย่างมี 2 ด้าน….โควิดก็เช่นกัน
พรชัย ว่องศรีอุดมพร ผู้บริหารเอ็ม พิคเจอร์ส มองว่าการระบาดของไวรัสร้ายอย่าง ‘โควิด-19’ ก็ยังมีแง่มุมที่ดีอยู่เช่นกัน นั่นคือ
สะท้อนให้เห็นว่าการพึ่งพาคนอื่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องทั้งหมด ความไม่ประมาทก็คือการพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุดก่อน เมื่อเกิดเหตุขึ้นจะไม่เดือดร้อนมาก
ทำให้เห็นว่าสินค้าที่คนต้องการกับสินค้าที่เราต้องการมันคนละอย่างกัน ถ้าเราจะทำสินค้าที่คนต้องการเราก็ต้องแคร์ในเรื่องของคนดู ตลาด มองให้ออก ให้ขาด ให้ชัดเจน
distribution period และการทำมาร์เก็ตติ้งเป็นสิ่งที่สำคัญเนื่องจากโควิดทำให้หนังบางส่วนถูกเลื่อนฉาย แล้วพอนำกลับมาฉายก็ต้องมีการ repackaging กันใหม่ว่าจะโปรโมทอย่างไรให้ใหม่กว่าเดิม และยังมีความน่าสนใจอยู่ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์ที่ดี
ข้อสุดท้ายที่เขามองว่าเป็นข้อที่สำคัญที่สุดคือ การทำให้คนไม่สิ้นหวัง
“ผมว่าเรื่องนี้ (การระบาดของโควิด) ทำให้คนไม่สิ้นหวังเพราะเห็นว่ามีไฟกองหนึ่งถูกจุดในความมืดขึ้นมาแล้ว ทั้ง ๆ ที่มีคนบอกว่ามันจุดไม่ติดหรอก แต่มันจุดติดขึ้นมาแล้ว แล้วมันจุดติดด้วยกองไฟของหนังไทยด้วย ไม่ใช่หนังฮอลลีวูด นี่คือสิ่งที่สำคัญ”
2564 ปูพรมสร้างหนังไทยกว่า 20 เรื่อง
ในเมื่อหนังไทยแสดงศักยภาพให้เห็นแล้วว่าสามารถเป็น ‘พระเอก’ ที่เข้ามาจุดกองไฟแห่งความหวังของคนในวงการให้ติดขึ้นมาได้แล้ว ทางเอ็ม พิคเจอร์สวางแผนการอะไรเอาไว้สำหรับปี 2564 ที่กำลังจะมาถึง?
พรชัย ว่องศรีอุดมพร เปิดเผยกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่าทางเอ็ม พิคเจอร์สได้วางแผนเอาไว้ว่าจะทำหนังไทยออกสู่ตลาดอย่างน้อย 20 เรื่อง (ในจำนวนนี้ร่วมถึงหนังที่สร้างร่วมกับพาร์ทเนอร์ด้วย) ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซนต์ในเรื่องของปริมาณ
ที่สำคัญ ไม่ใช่แค่เรื่องของจำนวนเท่านั้น แต่หนังไทยที่ทางค่ายจะนำออกฉายในปีหน้ายังมีความหลากหลาย เช่น ‘ส้มป่อย’ หนังภาษาเหนือเรื่องแรกของเอ็ม พิคเจอร์ส ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มทำหนังภูมิภาคจากเรื่อง ‘ส่ม ภัค เสี่ยน’ หนังภาษาอีสานเรื่องแรกที่ทำรายได้ไป 200 กว่าล้าน ก่อนจะมาทำเรื่อง ‘โนราห์’ เป็นหนังภาษาใต้ ตามด้วย ‘ส้มป่อย’ ซึ่งถือเป็นหนังเรื่องที่ 3 ของค่ายที่ไม่ใช่ภาษากลาง
นอกจากนี้ยังมี ‘ดีพ’ จาก ‘ทรานส์ฟอร์เมชั่น ฟิล์ม’ ที่จะเข้าช่วงต้นเดือนมกราคม, ‘แดงพระโขนง’ จากที่ทุกคนเคยดูเคยเห็นหนังของแม่ และหนังของพ่อแล้ว คราวนี้จะชวนมาดูหนังของลูกแม่นากกันดูบ้าง, Cracked หนังจาก CJ MAJOR Entertainment ที่ได้ศิลปินไทยที่ไปดังในเกาหลีอย่าง นิชคุณ หรเวชกุล มานำแสดง
ค่ายหนังในเครืออย่าง M39 มีหนังเตรียมเอาไว้ 3 เรื่องคือ เรื่อง ผี เล่า, รักนี้วัวชน และ ส้มปลาน้อย ในขณะที่ผู้กำกับหนังแนวคอมเมดี้คนดัง ‘ยอร์ช - ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์’ ก็จะมีหนังเรื่อง ‘อาตมาฟ้าผ่า’ ออกมาให้ดูกัน รวมไปถึงหนังผีเรื่อง SLR, จ๊วด กะเทยบั้งไฟ ของทางเอ็ม พิคเจอร์ส เอง
นอกจากนี้ยังมี 'บอสฉัน...ขยันเชือด' หรือ MY BOSS IS A SERIAL KILLER หนังเรื่องแรกของบริษัท ไท เมเจอร์ จำกัด ที่เกิดจากการจับมือกันของ 2 ผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการหนังไทย วิสูตร พูลวรลักษณ์ แห่งไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ กับ วิชา พูลวรลักษณ์ แห่งเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ นำแสดงโดย ‘ก้อง’ สหรัถ สังคปรีชา, ‘ไอซ์’ ปรีชญา และนางเอกสาวที่กำลังฮอตจากช่อง 7HD อย่าง ‘มุก’ มุกดา นรินทร์รักษ์
ในส่วนของหนังต่างประเทศก็คึกคัก และดูมีความหวังไม่แพ้กัน เพราะนอกจากหนังฮอลลีวู้ดแล้วก็ยังมีหนังจากพาร์ทเนอร์ฝั่งญี่ปุ่น เช่น โคนัน ที่ทางเอ็ม พิคเจอร์สจะเข้ามาจัดจำหน่ายเป็นปีแรก, Stand by Me Doraemon 2 ที่คาดว่าจะทำให้คนไทยหัวเราะทั้งน้ำตาได้อีกครั้งนึง
Hitman’s Bodyguard 2 ภาคต่อหนังสายลับของ ไรอัน เรย์โนลด์ และ ซามูเอล แอล แจ็คสัน ถูกวางเอาไว้เป็นหนังฟอร์มใหญ่ของทางค่ายในปีหน้า แล้วยังมี Shadow in the Cloud, Jiu Jitsu ที่จา พนม เล่นประกบคู่กับ นิโคลาส เคจ
ส่วนหนังจีนนั้น เอ็ม พิคเจอร์ส กำลังคุยกับพาร์ทเนอร์อยู่คือเรื่อง Detective China Town 3 ที่มี จา พนม เล่น
- ‘หนังไทย’ ส่งออกแทนที่ ‘หนังฮอลลีวูด’
สำหรับผลประกอบการของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยในปี 2563 นี้ ถึงแม้ว่าภาพรวมของตลาดหนังจะตกลงมากถึง 80-90% แต่ว่าในส่วนของหนังไทยซึ่งนอกจาก ‘อีเรียมซิ่ง’ ของเอ็ม พิคเจอร์สที่กวาดรายได้ไป 190 ล้านบาทแล้วก็ยังมีภาพยนตร์เรื่อง ‘อ้าย...คนหล่อลวง’ ของค่าย ‘จีดีเอช’ กำลังกวาดรายได้ไปกว่า 28 ล้านบาทเช่นกัน ซึ่งเรื่องนี้ทำให้ พรชัย ว่องศรีอุดมพร คาดการณ์ว่ารายได้ของหนังไทยจะตกลงแค่ 40% สวนทางกับตลาดที่ตกลงไปเยอะกว่ามาก
“เฉพาะของเอ็ม พิคเจอร์สเองทั้งกลุ่ม ปีนี้เราตกแค่ 27% ซึ่งมันก็โอเคในช่วง 3 เดือนที่หายไปเพราะโควิด ผมว่าเป็นปีที่เราทำได้ไม่เลวเลย ถ้าเราโชคดีกว่านั้นอีก ‘อีเรียมซิ่ง’ ทำได้เกินเป้า ปีนี้เราอาจจะตีคู่กับปีที่แล้วเลย ซึ่งปีนี้ยังไม่หมดปีเลยผมว่าเรายังมีโอกาสอยู่ ถ้าดูจากตัวเลขปัจจุบันมันบอกแบบนั้น
สำหรับในปี 2564 ผมเชื่อว่าเรารอดแน่นอน ปีหน้า ‘จีดีเอช’ ก็จะผลิตหนังมากขึ้น ของเราก็มากขึ้น มันไม่มีใครทำน้อยลงเลยครับ มันไม่มีธุรกิจไหนที่คนทำมากขึ้นเพราะมันขาดทุน แต่ทำเพราะคิดว่ามันจะกำไรแน่นอนผมค่อนข้างมั่นใจ
แล้วมันมีความโชคดีอีกอย่างหนึ่งที่คนไทยได้ คือ บังเอิญคอนเทนต์ฮอลลีวู้ดมันมีน้อย หนังไทยเราเลยส่งออกได้มากขึ้นในประเทศที่โรงหนังเปิดให้บริการแล้ว อันนี้เป็นจุดหนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนมอง สล็อตหนังมันเข้าปุ๊บฉาย เข้าปุ๊บฉาย ปรกติกว่าหนังไทยจะไปฉายที่เวียดนามต้องรอเดือนสองเดือน แต่ตอนนี้อาจจะ 2 อาทิตย์ก็ได้ฉายเลย แล้วในส่วนของ non theatrical อย่างสตรีมมิง ก็เติบโตหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ในยุคโควิดนี้”
ติเพื่อก่อ...ไม่ใช่เพื่อทำลาย ‘หนังไทย’
ในฐานะที่เป็นผู้สร้างหนังไทย อยากฝากอะไรถึงคนดูหนังไทยบ้าง?
“คอนเทนต์ไทยมันเป็นการส่งออกวัฒนธรรมอันหนึ่งที่เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้ด้วยการทำคอนเทนต์เหมือนทางเกาหลี ญี่ปุ่นที่เค้ามีภาพลักษณ์ที่ดีผ่านตัว Soft Power ตรงนี้แหละถ้าเราสามารถที่จะส่งเสริมให้มันแข็งแรง เป็นปากเสียงของไทยที่ส่งออกไปข้างนอกได้ ผมว่ามันไม่มีสินค้าไหนที่จะเป็นแบบนี้ได้อีกแล้ว
หนังเป็นอีเวนต์ที่สามารถดึงคนออกมาได้เป็นล้าน ๆ คนได้ภายในวันสองวัน มันไม่มีอีเวนต์ไหนที่ทำได้แบบนี้ ก็อยากฝากให้ภาครัฐช่วยดูตรงนี้ด้วยว่าเราจะนำซอฟท์พาวเวอร์มาขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างไร อยากให้ทำจริงๆ จัง ๆ เพราะมันมีตัวอย่างระดับโลกที่มันสำเร็จแล้ว ส่วนของไทยเรามันเริ่มไม่สำเร็จซักครั้ง ก็อยากให้สำเร็จจริงๆ จังๆ ซักที
ส่วนคนดูหนัง ขอบคุณสำหรับคนที่ยังรักและยังเชียร์หนังไทยอยู่ มีอะไรก็เขียนคอมเมนต์เข้ามาได้ เรายินดีที่จะรับฟัง เราอยากได้ความเห็น และแรงเชียร์จากคนดู เราติกันเพื่อก่อ ไม่ใช่ติเพื่อทำลาย ผมว่าตรงนี้มันจะสร้างให้สังคมมันดีขึ้น คนไทยเป็นคนเอื้อเฟื้อเมตตาอยู่แล้ว อยากให้ทุกคนเอาตรงนี้มาเอื้อประโยชน์ให้ต่อการสร้างงานที่ดีต่อไป”
คำถามสุดท้ายที่เรามีต่อบุคคลที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการหนังไทยและธุรกิจโรงภาพยนตร์อย่าง ‘พรชัย ว่องศรีอุดมพร’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายภาพยนตร์ไทยและต่างประเทศ บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ก็คือคำถามที่ว่า เสน่ห์ของ ‘หนังโรง’ ในมุมมองของเขาคืออะไร แล้วการดูหนังในโรงภาพยนตร์จะยั่งยืนต่อไปแค่ไหนในยุคโซเชียลมีเดียเบ่งบานเช่นนี้
“ผมว่ามันมั่นคง ตราบใดที่โลกนี้ยังมีความรัก ผมว่ายังไงคนก็ยังอยากอยู่กับคนรัก 2-3 ชั่วโมงในโรงภาพยนตร์ รวมถึงความรักของคนในครอบครัวด้วย
มันอาจจะเป็นประสบการณ์แรก อย่างผมก็มีความทรงจำที่คุณย่าพาผมเข้าโรงครั้งแรก ตอนนั้นผมตื่นเต้นจังเลย ได้ดูหนังเรื่องซูเปอร์แมนครั้งแรกในโรง นี่คือความทรงจำของผม
ผมว่ามันจะเป็นความทรงจำของหลาย ๆ คนในการเข้าโรงหนังครั้งแรกแล้วมีความสุข แล้วยังเป็นความสุขที่ส่งต่อได้ ไม่จำเป็นต้องสนุกกันเอง มันมีเพื่อน ๆ เต็มไปหมดเลย เวลาที่เราดูหนังแล้วเรากลัวไปด้วยกัน หัวเราะไปด้วยกัน ร้องไห้ไปด้วยกัน นี่คือความสนุกของบรรยากาศการดูหนังในโรงภาพยนตร์ครับ”