ทำไมต้องประดับไฟต้นคริสต์มาส
‘เทศกาลคริสต์มาส’ มาถึง พร้อมต้นสนประดับไฟสว่างไสวสวยงาม กล่องของขวัญ กระดิ่งสีทอง กิ่งต้นมิสเซิลโท ผลไม้สีแดง ถุงเท้า และดวงดาว ตกแต่งอย่างหรูหราพาฝัน สมกับเป็นเทศกาลแห่งความสนุกสนาน รื่นเริง
ประเพณีประดับไฟและตกแต่งต้นคริสต์มาสของชาวคริสต์มีมานานนับหลายร้อยปี ต้นคริสต์มาสที่จริงคือต้นสน ที่ได้ชื่อว่าเป็น Evergreen เพราะต้นสนส่วนใหญ่เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ไม่เหมือนต้นไม้ทั่วไปในซีกโลกเหนือ ซึ่งมักจะผลัดใบ เปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองหรือสีแดงแล้วร่วงหล่นไปในฤดูหนาว แต่ต้นสนยังตระหง่านยืนกิ่งก้านสีเขียวสด ไม่ว่าจะร้อน ฝน หนาว จะมีก็แต่สายหิมะสีขาวที่เกาะจับอยู่ตามกิ่งก้าน ต้นสนยังเป็นต้นไม้หาง่าย มีหลายขนาด สนที่นิยมใช้ได้แก่ สนไพน์ (Pine) สนสปรูซ (Spruce) และสนเฟอร์ (Fur) ให้ชาวคริสต์นำไปตกแต่งภายในบ้าน หรือบริเวณสวนหน้าบ้าน แสดงถึงการมาเยือนของเทศกาลคริสต์มาส
ต้นสนยังมีรูปทรงสามเหลี่ยม แผ่กิ่งก้านสวยงาม เหมาะแก่การตกแต่งด้วยกล่องของขวัญจิ๋ว ดวงดาว ลูกสน แอปเปิ้ล กระดิ่งหรือระฆังทอง ซึ่งชาวคริสต์มักนำต้นสนประดับไฟแวววาวและของขวัญน่ารัก ๆ วางไว้ใต้เตาผิง รอคอยซานต้าที่ปีนขึ้นหลังคาแล้วลงมาทางปล่องไฟนำของขวัญใส่ถุงเท้ามามอบให้เด็ก ๆ ซึ่งประเพณีที่ว่านี้ยังคงสืบเนื่องต่อมาจนถึงปัจจุบัน
ต้นสนประดับไฟคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลคริสต์มาส ต้นสนเล็กอยู่ในบ้าน ต้นสนใหญ่หรือต้นสนจำลอง ตระหง่านตามสวนสาธารณะ จัตุรัสใจกลางเมือง หรือแลนด์มาร์กสำคัญของหลายเมืองในทวีปยุโรปและอเมริกา ชาวคริสต์จะฝ่าลมหนาวออกมาชมต้นคริสต์มาสประดับไฟสวยงาม ตั้งแต่ถนนช็องเอลิเซ่ที่เรียงรายด้วยต้นไม้ประดับไฟไปจนถึงหน้าประตูชัย ในเบลเยี่ยมที่กรุงบรัสเซลส์ จัดเทศกาลประดับไฟต้นสนตั้งแต่เดือนธันวาคมไปจนถึงต้นเดือนมกราคม ในหลายเมืองในเยอรมนีจัดพาเหรดซานต้า-ซานตี้ แต่งแฟนซีสวยงาม เดินไปตามท้องถนนที่ประดับไฟคริสต์มาส ในลอนดอนที่สวนพฤกษศาสตร์คิว ล้วนตกแต่งประดับไฟวิบวับตระการตา กระทั่งในประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และประเทศไทย ล้วนตกแต่งสถานที่ด้วยต้นสนจำลองประดับไฟ งดงามตระการตา
แม้ปีนี้ทั่วโลกเผชิญสถานการณ์โควิด-19 ทว่าต้นคริสต์มาสหรือต้นสนประดับไฟก็ยังยืนตระหง่านอวดแสงสีแวววาวท่ามกลางลมหนาว หากก่อนหน้าที่จะมีหลอดไฟวิทยาศาสตร์ ธรรมเนียมตกแต่งต้นคริสต์มาสมาจากความเชื่อว่า ความเขียวขจีของต้นสนและของตกแต่งแสดงถึงความหวัง ความสุข ยังมีกิ่งไม้และผลไม้ที่จะช่วยปกป้องคุ้มภัยจากภูตผีปีศาล แม่มด และป้องกันโรคภัย โดยเฉพาะในฤดูหนาว ในวันที่อากาศหนาวเย็นและเวลากลางคืนยาวกว่ากลางวัน ในวันที่ 21-22 ธันวาคม ที่เรียกว่า “วันเหมายัน” คนโบราณเชื่อว่าเป็นวันที่เทพเจ้าอ่อนแอและมักเจ็บป่วย ความเขียวชอุ่มของต้นสนจะช่วยเยียวยาให้เทพเจ้าแข็งแรงขึ้น และเป็นเครื่องหมายของความหวังว่าอีกไม่นานฤดูหนาวอันเยือกเย็นจะจากไป
ในยุโรปเหนือ ชาวดรูอิด (นักบวช) จากชนเผ่าเคลท์โบราณ เมื่อถึงคริสต์มาสพวกเขาจะตกแต่งโบสถ์ด้วยสีเขียว กระทั่งชาวไวกิ้งในสแกนดิเนเวียก็ยังนำต้นไม้สีเขียวมาตกแต่งภายในบ้าน แต่ธรรมเนียมการตกแต่งต้นคริสต์มาสไว้ในบ้านเริ่มมาจากชาวเยอรมัน เมื่อราวศตวรรษที่ 16 โดยผู้นำศาสนาชื่อ Martin Luther ที่ตัดต้นสนขนาดย่อมนำมาตกแต่งเป็นต้นคริสต์มาสภายในบ้าน ประดับแสงเทียนและดวงดาว เล่ากันว่าระหว่างเดินกลับบ้าน เขามองเห็นแสงจันทร์ส่องผ่านกิ่งของต้นสนยามค่ำคืน เขาจึงนำภาพจำนี้มาตกแต่งเป็นต้นคริสต์มาส ธรรมเนียมนี้แพร่สู่ประเทศอังกฤษและอีกหลายประเทศในทวีปยุโรป ซึ่งให้นิยามว่า สีเขียวหมายถึงพระเยซูที่เสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต เขียวสดเสมอในทุกฤดูกาล
เวลาต่อมาราวศตวรรษที่ 18 ในฮอลแลนด์ เด็ก ๆ ชวนกันแขวนรองเท้า clog shoes (รองเท้าเปิดส้นคลุมหน้าเท้า) ไว้ข้างเตาผิง รอซานต้านำของขวัญมาให้ ต่อมาเปลี่ยนเป็นถุงเท้า ธรรมเนียมแขวนถุงเท้าก็มีเรื่องเล่าเก่าแก่มากว่า ชาวคริสต์ยุคโบราณจะวางหญ้าแห้งไว้ในรองเท้า เมื่อนักบุญนิโคลัสเดินทางผ่านมา หญ้าแห้งนั้นจะเป็นอาหารของลา เมื่อนักบุญจากไปเขาจะนำเหรียญเงินไว้ในรองเท้าเป็นการตอบแทน
เมื่อธรรมเนียมการตกแต่งต้นคริสต์มาสแพร่สู่อังกฤษและอเมริกา ชาวเยอรมันผู้ริเริ่มตกแต่งต้นสนได้ไปตั้งถิ่นฐานอยู่ในรัฐเพนซิลวาเนีย จึงเกิดเป็นประเพณีตกแต่งต้นสนไปทั่วทุกรัฐ แม้แต่ควีนวิคทอเรียแห่งอังกฤษ ซึ่งพระสวามีเจ้าชายอัลเบิร์ต เป็นชาวเยอรมัน ได้นำประเพณีตกแต่งต้นสนแพร่สู่ราชวงศ์จนกลายเป็นแฟชั่นทั่วยุโรปและอเมริกา แต่ก็มีข้อตกแต่งระหว่างคนสองทวีปนี้อยู่บ้างคือ ชาวยุโรปนิยมต้นสนขนาดพอดี สูงประมาณ 4 ฟุต (และขนเข้าบ้านได้) ในขณะที่ชาวอเมริกันนิยมต้นสนไซส์ใหญ่ ต้องสูงจากพื้นจรดเพดาน
ต้นศตวรรษที่ 20 ชาวอเมริกันเริ่มตกแต่งต้นคริสต์มาสอย่างฟุ่มเฟือย เริ่มโดยนักประดิษฐ์ เอดเวิร์ด จอห์นสัน เพื่อนและหุ้นส่วนของ ธอมัส เอดิสัน ผู้ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าคนแรก ริเริ่มนำหลอดไฟฟ้ามาตกแต่งต้นคริสต์มาส เมื่อปี 1882 ชาวอเมริกันผู้มีนิสัยชอบทำอะไรใหญ่ ๆ ได้นำสิ่งของสารพันมาตกแต่งต้นคริสต์มาส ตั้งแต่แอปเปิ้ลสีแดง ลูกนัท ลูกเบอร์รี่ คุกกี้มาร์ซิแดน ป๊อปคอร์นก็มี ไม่นับกล่องของขวัญเล็ก ๆ ถุงเท้า รูปซานต้า ดวงดาวและระฆังสีทอง และเมื่อกิจการไฟฟ้าเติบโต ต้นคริสต์มาสในบ้านก็เติบโตจากบ้านคนสู่ท้องถนน ซึ่งผู้นำต้นคริสต์มาสสูงใหญ่ตระการตา ตกแต่งด้วยหลอดไฟวิบวับ คืออดีตประธานาธิบดี Grover Cleveland ที่นำต้นคริสต์มาสตกแต่งแสงไฟมาประดับไว้ในทำเนียบขาว เมื่อปี 1895
มีอะไรในต้นคริสต์มาส ? ไม่ว่าจะใช้ต้นสนไซส์ไหน ของตกแต่งก็ต้องมีครบ ได้แก่ ถุงเท้ายาว ห้อยไว้หน้าเตาผิงหรือตกแต่งต้นคริสต์มาส ดวงดาว ระฆังหรือกระดิ่งสีทอง เสียงเพื่อขับไล่สิ่งชั่วร้าย สีทองหมายถึงแสงอาทิตย์อันสว่างไสว ลูกกวาดรูปไม้เท้า สีแดงสลับขาว สีขาวหมายถึงพระเยซู สีแดงคือพระโลหิตของพระเยซูที่ชำระบาปให้แก่มวลมนุษย์ ปลายโค้งเหมือนไม้เท้าคนเลี้ยงแกะ เมื่อกลับหัวจะกลายเป็นตัว J หมายถึง Jesus
ใบ ต้นมิสเซิลโท (Mistletoe) ไม้กาฝากที่ชอบขึ้นอยู่ตามต้นโอ๊คและต้นแอปเปิ้ล ชาวยุโรปโบราณเชื่อว่าเป็นสมุนไพรช่วยแก้พิษ ในทางวิทยาศาสตร์บอกว่าลูกสีขาวหรือสีแดงมีพิษ ไม่ควรให้เด็ก ๆ เข้าใกล้ ใบสีเขียวและผลสีขาวของมิสเซิลโท ใช้ตกแต่งต้นคริสต์มาส บ้างนำมาร้อยเป็นพวงทรงกลม หมายถึงความไม่สิ้นสุด แล้วนำไปแขวนหน้าประตูบ้าน เรียกว่า Christmas Wreath ยังมีธรรมเนียมของชาวอังกฤษบอกว่า ชายใดได้จุมพิตหญิงที่ปรารถนาใต้ต้นมิสเซลโท จะได้ความรักนิรันดร์ แต่ถ้าผู้หญิงบอกไม่เอาด้วย ชายคนนั้นก็จะได้กินแห้ว (กับผู้หญิงคนนั้น) ไปตลอดชีวิต จึงมีประเพณีจูบกันใต้ต้นมิสเซลโท เพื่อบอกถึงรักแท้
แอปเปิ้ลหรือผลไม้สีแดง สื่อถึงแอปเปิ้ลในสวนอีเดน ต้นฮอลลี่ สีเขียวใบหยิกกับผลทรงกลมเล็ก ๆ สีแดง ฮอลลี่เป็นไม้พุ่ม สีเขียวสดของใบแสดงถึงความยั่งยืน สีแดงหมายถึงหยดเลือดของพระเยซู ยังมี ต้น Poinsettia หรือ พอยน์เซทเทีย คนไทยเรียกว่าดอกคริสต์มาส ที่จริงเป็นใบไม้เสียวที่จะเปลี่ยนเป็นสีแดงในช่วงเดือนตุลาคมถึงมกราคม เป็นต้นไม้ประจำถิ่นทวีปอเมริกาใต้ ตอนนี้กลายเป็นต้นไม้ประดับประจำเทศกาลคริสต์มาส
ยังมีตุ๊กตาสโนว์แมน ซานต้า เกล็ดหิมะ ลูกบอลสีแดงสีทองตกแต่งเลื่อมพราว เทียนไขและคำปรารถนา... ขอให้พระเจ้าอำนวยพร และขอให้ทุกสิ่งสมหวังในเทศกาลคริสต์มาส