"ไล่ผมเถิดครับ ถ้ายังไม่มีคุณภาพแห่งการทำงานพอ" เปิดใจ 'ผู้ว่าฯสมุทรสาคร' ก่อนติดเชื้อโควิด
ย้อนคำเปิดใจ "วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผู้นำทัพต้านโควิด-19 การระบาดระลอกใหม่
..คงไม่มีใครอยากเกษียณ พร้อมกับปัญหาคาราคาซังอยู่ ความมุ่งมั่นเดียว ณ ตอนนี้คือ ทำอย่างไรให้มหาชัย สมุทรสาคร กลับมามีรอยยิ้มเหมือนเดิม มีคนถามว่า ช่วงนี้ให้สัมภาษณ์บ่อย แต่ทุกครั้งที่สัมภาษณ์ มักยิ้ม หรือหัวเราะ..
“ออกรบทัพจับศึก จะร้องไห้ให้ไพร่พลเห็นได้อย่างไร แม้หัวใจจะร้องไห้ ด้วยความสงสารคนสมุทรสาครมาหลายครั้งหลายหน มีเรื่องราวอีกมากมายที่อยากพูดแต่ไม่ได้พูด โดยเฉพาะคนที่ปล่อยให้ COVID-19 เข้ามาในใจกลางเมืองสมุทรสาคร”
ยิ้ม หรือหัวเราะ ไม่ได้หมายถึงมีความสุข บนความทุกข์ของคนอื่น
ยิ้ม หรือหัวเราะ ไม่ได้หมายถึง ไม่ยี่หระ ไม่สนใจ เก้าอี้ตัวนี้มั่นคงแข็งแรง
ไล่ผมเถิดครับ ถ้ายังไม่มีคุณภาพแห่งการทำงานพอ
--------------------------------
หนึ่งในคำเปิดใจของ "วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ที่เคยโพสต์ไว้บนเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ก่อนที่จะมีข่าวติดเชื้อโควิด-19 ในวันนี้(28 ธ.ค.)
"วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ที่เหลือเวลาอีก 2 ปี จะเกษียณอายุราชการ ซึ่งในช่วงเวลานี้หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตากันอย่างดี ในฐานะผู้นำทัพต้านการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธ์ใหม่ 2019 หรือโรคโควิด-19
"กรุงเทพธุรกิจออนไลน์" ชวนดูความในใจ "วีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี" ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ผ่านรายการ “ไม่แพ้ แน่นอน เราจะผ่านไปด้วยกัน” เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2563 ผ่านเพจเฟซบุ๊ค COVID-19 สมุทรสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาครเริ่มเล่าว่า ณ วันนี้ต้องยอมรับว่าสิ่งที่เราเคยปรึกษาหารือกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะคนเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด อยากจะประชาสัมพันธ์ให้คนรู้จักสมุทรสาครมากยิ่งขึ้น คนเอ่ยถึงจังหวัดสมุทรสาครมากยิ่งขึ้น วันนี้ไม่ต้องใช้อะไรเป็นแม่เหล็กดึงดูดแล้ว เพราะคนรู้จักสมุทรสาครกันทั้งประเทศเลย
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เกิดเหตุขึ้นมายังไม่ได้ไปไหน เพียงแต่มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจว่าทำไมคนบูลลี่สมุทรสาครจังเลย สมุทรสาครกลายเป็นดินแดนมิคสัญญี ดินแดนซอมบี้ ถ้าใครเข้ามาจะกลายเป็นผีดิบหรืออันตราย ไม่รู้จะพูดยังไง ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายร่วมกัน
ขณะเดียวกันชาวเมียนมาที่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดสถานการณ์โควิด-19 แพร่กระจายมากยิ่งขึ้น ก็โดนหลายๆ คนพูดถึงเหมือนกันว่า เพราะเธอเป็นคนทำให้เกิดโรคนี้ เพราะเธอเป็นคนทำให้โรคนี้ลุกลาม ผมว่าอันนี้น่าเป็นห่วง มันรู้สึกเหมือนกับที่สมุทรสาครโดนคนอื่นต่อว่า
เพราะจริงๆ แล้วต้องยอมรับว่าคนเมียนมากับคนสมุทรสาครเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกัน ยามที่เศรษฐกิจของเราคึกคักก็ได้อาศัยพละกำลังของคนเมียนมา ช่วยกันก่อร่างสร้างฐานขึ้นไป ทำให้เศรษฐกิจของเรามั่นคงแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
วันที่เพื่อนบ้านของเราหรือกัลยาณมิตรของเรา ซึ่งเป็นคนเมียนมา ไม่ว่าจะเข้ามาโดยถูกกฎหมายหรือไม่ถูกกฎหมายก็ตาม สถานภาพของผู้คน สถานภาพของการดำเนินงานในภาพรวมของสมุทรสาครได้รับความไว้เนื้อเชื่อใจของผู้คน
ดังนั้นหมดเวลาที่จะไปดูถูกคนสมุทรสาคร หมดเวลาที่จะไปดูถูกคนเมียนมา เพราะคนสมุทรสาครและคนเมียนมาก็มีหัวใจ แล้วเป็นหัวใจที่เป็นเหมือนเป็นเพื่อนมนุษยชาติเหมือนกัน และเป็นหัวใจที่เป็นดวงเดียวกัน อยากเห็นความก้าวหน้าเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต
ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ที่อยากให้ทุกฝ่ายพึงตระหนักไว้ให้อย่างดีเลย เพราะเป็นตัวบ่งบอกของพวกเรา ว่าเรามีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันและกัน เรามีน้ำใจไมตรีต่อกัน ปัญหามันมีแน่ แต่ว่าตอนนี้พักเรื่องปัญหาต่างๆ ไว้ก่อนเอาเรื่องโควิดให้เรียบร้อยก่อน แล้วปัญหาต่างๆ ค่อยเอามาแบบนโต๊ะกันหลังจากเสร็จศึก เอามาดูกันว่าจะช่วยเหลือคนเมียนมาให้ก้าวมาเดินสู่วิถีทางที่ถูกต้องได้อย่างไรบ้าง
อย่าไปโทษใครคนใดคนหนึ่ง เพราะเป็นความผิดของพวกเราทุกคน สถานการณ์ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่ประเทศไทย ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะที่สมุทรสาครที่เดียว
ดูกันง่ายๆ อย่างตอนนี้ทั่วโลกผู้ที่ติดเชื้อโควิด-19 มี 80 ล้านคนแล้ว ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 144 มีผู้ติดเชื้อ 6,020 คน
สำหรับประเด็นของการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้กับแรงงานชาวเมียนมา ซึ่งมีบางคนถามว่า ทำไมตรวจเฉพาะแรงงานต่างด้าวบ่อยและไม่ได้เสียค่าใช้จ่าย ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร บอกว่า
1.เนื่องจากประเทศเมียนมาติดเชื้อมาก จะให้ไม่ตรวจได้อย่างไร เราต้องยิ่งรีบหาต้นตอของโรคให้เจอ เพื่อนำมาในพื้นที่ควบคุมให้ได้
2.คนไทยก็สามารถไปตรวจฟรีได้ที่โรงพยาบาลได้อยู่แล้วทุกโรงพยาบาล แต่ตรวจฟรีนี้ไปปุ๊บต้องสอบสวนโรคก่อนว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือเปล่า เป็นโรคมาหรือเปล่า หรืออยู่ในสถานภาพที่เป็นกลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังอันตราย
แต่เพื่อความไม่ประมาท ได้ขอร้องทางทีมงานสาธารณสุขเริ่มต้นไปตรวจในพื้นที่ต่างๆ คือที่ตลาดมหาชัยแม่พ่วง ซอยศรีเมือง วังบางปิ้ง ชุมชนพันธุวงษ์อบต.บ้านเกาะ ไปบริการตรวจเน้นหนักคนไทยเป็นหลัก เพราะฉะนั้นพูดกันตรงๆ ถ้าระมัดระวังตัว ถ้าดูแลตัวเองดี และไม่เคยเกี่ยวข้องกับผู้ติดเชื้อหรือเกี่ยวข้องกับกลุ่มเสี่ยงเลย ก็ไม่จำเป็น
ตอนนี้เราต้องทำงานแข่งกับเวลา อย่าให้ไปพะวักพะวงกับเรื่องสถานที่ควบคุมตัวก็ดี หรือว่าเรื่องเกี่ยวกับการส่งน้ำ ส่งอาหาร เพราะฉะนั้นต้องช่วยกันดู ตอนนี้ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ทุกฝ่ายต้องช่วยกัน ไม่ใช่ผลักภาระให้คนใดคนหนึ่ง ผมได้คุยกับหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง วันนี้ถือโอกาส เพราะว่าทางสาธารณสุขตั้งเป้าว่าปีใหม่จะเริ่มมีคนมีแอนตี้บอดี้ คือมีสารภูมิคุ้มกันในเลือดในตลาดกุ้งที่เป็นพื้นที่ควบคุมเด็ดขาดเดือบๆ 3,000 คน ว่าจะมีแอนตี้บอดี้กว่าพันคน แต่ข้อเท็จจริงยังไงต้องไปตามดู
ขณะเดียวกันก็ถือโอกาสในการปรับปรุงสภาพความเป็นอยู่ของเพื่อนบ้านของเราที่ทำงานในตลาดกุ้ง คงไม่ใช่เฉพาะคนเมียนมาอย่างเดียว เพราะว่าที่นั่นมีคนไทยทำงานอยู่หลายคนเช่นกัน ทำยังไงจะปรับปรุงอย่างไรให้ไม่แออัด เช่นที่อยู่ปัจจุบันเกือบ 3 พันคน เป็นไปได้ไหมจะลดลงครึ่งหนึ่งหรือพันกว่าคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำไปเพราะอนาคตถ้าเกิดมีโรคอะไรขึ้นมาใหม่ ถ้าไม่มีการจัดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมให้ถูกสุขลักษณะ เดียวก็มีเกิดขึ้นมาอีก ทำให้กระบวนการในการติดต่อโรคเป็นไปได้ง่าย ต้องนำวิกฤติครั้งนี้ให้เป็นโอกาส
ส่วนกรณีที่มีข่าวออกไปว่าประชาชนไม่ให้ตั้งโรงพยาบาลสนาม ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร อธิบายว่า วันนี้เรากำลังกู้ภาพลักษณ์ คนไม่อยากมาสมุทรสาคร คนไม่อยากกินอาหารทะเล คนไม่เชื่อถือในอาหารในอุตสาหกรรมหรือสินค้าที่ออกจากสมุทรสาคร
วันนี้เรากำลังช่วยกัน แต่ฝ่ายหนึ่งบอกว่าอันนี้ก็ตั้งไม่ได้ อันนั้นก็ตั้งไม่ได้ เรายังกลัว แล้วคนอื่นจะกล้าได้อย่างไร คนอื่นก็กลัวด้วย ถ้าวันนี้เรายังกลัวอยู่ ไปชักชวนให้คนมาเที่ยวสมุทรสาคร ไม่มีใครมาเที่ยว ไม่มีใครมากินอาหารทะเล เพราะวันนี้คนสมุทรสาครยังกลัวเลย
เพราะฉะนั้นความกลัวต้องเปลี่ยนเป็นความกล้า ไม่ได้กล้าในเรื่องอันตรายหรือเสี่ยงเลย เพราะว่าอันนี้เป็นหลักวิชาการทางการแพทย์ที่ควบคุมได้ 100% แล้วอย่างการมาตั้งที่หน้าจวนผู้ว่าฯ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นมา ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นมา ผู้ว่าราชการจังหวัดรับก่อน เป็นก่อน