'เลือดสีน้ำเงิน' จากความผิดปกติสู่ความพิเศษ ที่อาจไร้ประโยชน์ในปัจจุบัน?

'เลือดสีน้ำเงิน' จากความผิดปกติสู่ความพิเศษ ที่อาจไร้ประโยชน์ในปัจจุบัน?

ไขความหมายของ "เลือดสีน้ำเงิน" ในมิติต่างๆ ว่าหมายถึงอะไรได้บ้าง? แล้วทำไมสีน้ำเงินจึงถูกเปรียบเทียบกับกษัตริย์หรือชนชั้นสูง รวมถึงในทางการแพทย์เลือดสีน้ำเงินมีประโยชน์อย่างไร?

"เลือดสีน้ำเงิน" วลีแทนชนชั้นกษัตริย์ เช่นเดียวกับคำว่า เลือดบริสุทธิ์ ชนชั้นมังกรฟ้า 

พจนานุกรมฉบับเคมบริดจ์ ให้ความหมายของ blue blood คือ

the fact of someone having been born into a family that belongs to the highest social class

ไม่ต่างจากความหมายจากเว็บไซต์ vocabulary.com ให้ความหมายไว้คือ

A blue blood is an aristocrat. Blue bloods come from privileged, noble families that are wealthy and powerful

สรุปได้ว่า blue blood หรือเลือดสีน้ำเงิน ถูกตีความหมายว่า กลุ่มคนที่เกิดในชนชั้นสูง หรือกลุ่มคนที่อยู่ในสถาบันกษัตริย์

  • กษัตริย์เกี่ยวอะไรกับ "เลือดสีน้ำเงิน" ?

คำว่า “blue bloods” เป็นคำศัพท์ที่เกิดขึ้นครั้งแรกในประเทศสเปน ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 โดยแปลมาจากภาษาสเปน คือ Sangre azul เพราะสันนิษฐานว่าเป็นสำนวนที่ใช้เรียกราชวงศ์ชั้นสูงในยุคกลางของสเปน ที่มีผิวขาวบอบบางทำให้เห็นเส้นเลือดดำได้ชัดเจน (สะท้อนผ่านผิวหนังทำให้เส้นเลือดดูคล้ายสีน้ำเงิน) และอ้างตนเหนือเชื้อชาติผสมระหว่างแอฟริกาและอาหรับที่มีผิวสีเข้มจึงนำมาเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูงสืบต่อมายังยุโรป

สิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษในปี 1811 ระบุว่าชนชั้นสูงของบาเลนเซีย (ชาวสเปน) แบ่งออกเป็นสามชนชั้น ได้แก่เลือดสีน้ำเงินเลือดสีแดงเลือดสีเหลือง

โดยกลุ่มแรก "จำกัดเฉพาะครอบครัวที่ถูกทำให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น" ในศตวรรษที่ 9 มีรายงานว่าขุนนางทหารชาวสเปนได้พิสูจน์สายเลือดด้วยการแสดงเส้นเลือดที่มองเห็นได้เพื่อแยกแยะตัวเองจากศัตรูชาวมัวร์ที่มีผิวสีเข้ม ตั้งแต่นั้นมาทั่วทั้งยุโรปมีการแสดงความแตกต่างระหว่างชนชั้นสูงและชนชั้นล่างด้วยการดูเส้นเลือด

160933682726

นอกจากนี้คำว่าเลือดสีน้ำเงิน ยังนำมาใช้เรียกชื่อโรคเลือดไหลไม่หยุด (Hemophilia) เพราะโรคนี้มักพบในราชวงศ์ชั้นสูงของยุโรป ที่นิยมแต่งงานในวงศ์เครือญาติที่มีความใกล้ชิดกัน ทำให้ถ่ายทอดโรคผ่านทางพันธุกรรม

  • "เลือดน้ำเงิน" ในโลกวิทยาศาสตร์

นอกเหนือจากเรื่องชนชั้นวรรณะแล้ว เลือดสีน้ำเงินในโลกวิทยาศาสตร์ นับว่าเป็นความพิเศษที่มีประโยชน์ แต่เป็นเลือดน้ำเงินที่ไม่ได้มาจากคน แค่มาจากสัตว์  ตัวอย่างเช่น 

เลือดสีน้ำเงินจาก แมงดาทะเล สัตว์จำพวกมีเปลือกแข็งหุ้มและอยู่ในไฟลัมอาร์โทรพอด (Artropod) มีถิ่นอาศัยบริเวณชายฝั่งอเมริกาเหนือและเอเชีย ถูกใช้ในการผลิตยาและเครื่องมือทางการแพทย์มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970

ส่วนสาเหตุที่แมงดาทะเลมีเลือดเป็นสีน้ำเงิน (hemocyanin) เนื่องจากมีทองแดงผสมอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งถูกนำมาใช้ประโยชน์ในวงการแพทย์ โดยการใช้เลือดแมงดาทะเลไปสกัดเป็นสารที่เรียกว่า Limulus amoebocyte lysate (LAL) ในการตรวจหาเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตรายที่อาจจะปนเปื้อนในวัคซีน หรือในอุปกรณ์การแพทย์ต่างๆ

ซึ่งหากใช้เลือดแมงดาทะเล หรือตัวทำปฏิกิริยานี้ฉีดเข้าไป แล้วสารเหล่านั้นมีการเปลี่ยนสี หรือแข็งตัว ก็แปลว่า มีไวรัส เลือดของแมงดาจึงมีความสำคัญมาก เพราะมีคุณสมบัตินี้ มันก็เลยถูกจับมาใช้ในวงการทางการแพทย์เพื่อทดลอง และในปัจจุบันพบว่ามีการนำเลือดแมงดาทะเลไปผสมลงในวัคซีนเพื่อนำไปสู่กระบวนการการให้วัคซีนแก่ผู้ป่วย

160933688561

นิตยสาร The Atlantic รายงานว่า ปริมาณเลือดแมงดาทะเลเพียง 1 ควอร์ต สนนราคาอยู่ที่ 15,000 เหรียญ ส่วนชุดทดสอบ LAL 1 แพ็คเกจ ราคา 1,000 เหรียญ ในหนึ่งปีจะมีการตรวจหา Endotoxin ในผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ต่างๆ ถึง 70 ล้านการทดสอบ ส่งผลให้ธุรกิจ “รีดเลือด” ฟันกำไรปีละหลายร้อยล้านเหรียญ

นปี 2016 มาตรฐานตำรายาแห่งสหภาพยุโรป ได้กำหนดให้ใช้เลือดสังเคราะห์ในการทดสอบหาแบคทีเรียในอุตสาหกรรมการผลิตยาทั่วโลก เนื่องจากมีการเรียกร้องในข้อหาการทารุณกรรมสัตว์อยู่ตลอดเวลา

ปัจจุบันมีบริษัทยาหลายแห่งหันมาใช้เลือดสังเคราะห์แทนเลือดแมงดาทะเลแล้ว อาจจะกล่าวได้ว่าความพิเศษของเลือดสีน้ำเงินกำลังจะถูกลดความสำคัญลงไปเรื่อยๆ

อ้างอิง : 

home.maefahluang ,  historyextra.com ,  theuijunkie.com ,  vocabulary.com ,  dictionary.cambridge.org