ตลาดหนังจีนคึกคักรับปีวัว – โรงหนังไทยเลื่อนฉายระนาว
ภูมิต้านทาน ‘โควิด-19’ สุดแข็งแกร่ง อุตสาหกรรมหนังจีนกวาดรายได้รับปีใหม่ไปกว่า 2,700 ล้านบาท เพราะคนจีนนิยมดูหนังจีน ซึ่งยังมีป้อนตลาดไม่ขาดสาย ขณะที่โรงหนังในไทยถูกพิษ ‘โควิด-19’ เล่นงานจนสัปดาห์แรกของปีนี้ไม่มีหนังใหม่เข้าฉายเลย
หลังจากที่จีนสามารถแย่งตำแหน่ง ‘ตลาดหนังที่ใหญ่ที่สุดในโลก’ จากอเมริกาเหนือ มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ด้วยตัวเลข ‘บ็อกซ์ ออฟฟิศ’ ที่พุ่งทะยานไปกว่า 20,400 ล้านหยวน (ประมาณ 94,500 ล้านบาท) ในปี 2563 ท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสติดเชื้อโคโรนา 2019 หรือ ‘โควิด-19’ ที่ทุบทำลายอุตสาหกรรมหนังจนซบเซากันไปทั่วโลก
แต่ด้วยความแข็งแกร่งของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในประเทศ ทำให้จีนมีหนังท้องถิ่นเข้าฉายทดแทนหนังฮอลลีวู้ดที่ขาดหายไปจากโปรแกรมฉาย บวกกับปัจจัยอย่างหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ‘คนจีนยังนิยมดูหนังจีน’ กันอยู่ ทำให้อุตสาหกรรมหนังแดนมังกรเริ่มต้นปีวัวกันอย่างสวยสดงดงาม ด้วยตัวเลข ‘บ็อกซ์ ออฟฟิศ’ ช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาที่พุ่งทะยานขึ้นไปถึง 600 ล้านหยวน (กว่า 2,700 ล้านบาท) ทำลายสถิติในช่วงเดียวกันของปีที่แล้วลงไปอย่างราบคาบ
โดยหนังจีนที่เข้าฉายในช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมาได้แก่ A Little Red Flower หนังดรามาเกี่ยวกับ 2 ครอบครัวที่ต้องเผชิญกับการที่มีสมาชิกในบ้านเป็นมะเร็ง เปิดตัวเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำรายได้ไปกว่า 803 ล้านหยวน (กว่า 3700 ล้านบาท) ในเวลาเพียง 5 วัน (ข้อมูลจาก China Movie Data Information Network)
หนังที่ทำรายได้เป็นอันดับ 2 ในจีนช่วงปีใหม่คือหนังแนวคอเมดี้เรื่อง Warm Hug ซึ่งเปิดตัวในวันที่ 31 ธันวาคมเช่นกัน จนถึงบัดนี้โกยรายได้ไปกว่า 550 ล้านหยวนแล้ว
อันดับ 3 คือ หนังแอ็คชันทริลเลอร์ของ ‘หลิวเต๋อหัว’ เรื่อง ‘Shock Wave 2’ ที่ทำรายได้ไป 844 ล้านหยวน นับตั้งแต่เข้าฉายเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม
- ยืนด้วยลำแข้งตนเอง
ทั้งนี้ ในช่วงที่ไวรัสโคโรนาแพร่ระบาดอย่างหนักเมื่อต้นปี 2563 ที่ผ่านมา โรงภาพยนตร์ในจีนถูกสั่งปิดทำการนานถึง 6 เดือน ก่อนจะกลับมาเปิดอีกครั้งในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม แต่ปรากฎว่าในช่วงที่ผู้ประกอบการโรงหนังหลายประเทศ รวมถึงในบ้านเรา ประสบปัญหาขาดแคลนหนังฟอร์มยักษ์ หรือหนังที่น่าสนใจมาดึงคนดูเข้าโรง เพราะก่อนหน้านี้พึ่งพาหนังจากต่างประเทศ โดยเฉพาะหนังฮอลลีวู้ด เป็นหลัก
ในทางตรงกันข้าม ประเทศจีนกลับไม่ประสบปัญหาเช่นนั้น เพราะมีหนังท้องถิ่นป้อนเข้าโรงภาพยนตร์ไม่ขาดสาย ทำให้รายชื่อหนังทำเงินสูงสุด 10 อันดับแรกในจีน ประจำปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นหนังท้องถิ่นเกือบทั้งหมด รวมถึงแชมป์หนังทำเงินสูงสุดประจำปี 2563 ก็เป็นหนังมหากาพย์สงครามจีนเรื่อง The Eight Hundred ที่กวาดรายได้ไปถึงกว่า 3,100 ล้านหยวน
ส่วนหนังจีนที่ทำรายได้ติดท็อปเท็นเมื่อปีที่แล้วก็เช่น My People My Homeland, Legend Of Deification
Li Sijia นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมบันเทิงจากบริษัทวิจัยการตลาด Analysys ได้ให้สัมภาษณ์ Sixth Tone เอาไว้ว่า ตัวเลข ‘บ็อกซ์ ออฟฟิศ’ ของจีนเป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวโดยรวมเป็นอย่างดีของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ท้องถิ่น รวมถึงการออกสตาร์ทอย่างสวยสดงดงามในช่วงปีใหม่
“เราได้เห็นพฤติกรรมการบริโภคของผู้คนที่มุ่งไปในทางดูหนังที่ผลิตกันในประเทศมากขึ้น ขณะที่คุณภาพของหนังจีนโดยรวมก็พัฒนาขึ้นเมื่อเทียบกับหลายปีก่อน แล้วตัวเลขช่วงต้นปีก็เป็นสัญญาณที่ดีมากๆ เราเชื่อว่านี่คือแนวโน้มในทางบวกสำหรับ ‘บ็อกซ์ ออฟฟิศ’ ปี 2564 ถ้าหากว่ามีการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค (ซึ่งเป็นปัจจัยภายนอกที่ใหญ่ที่สุด) เอาไว้ได้เป็นอย่างดี” Li Sijia กล่าว
- โรงหนังไทยเลื่อนโปรแกรมฉายระนาว
ข้ามมาที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์บ้านเรา การกลับมาระบาดของ ‘โควิด-19’ ทำให้อุตสาหกรรมหนังที่เริ่มจะลืมตาอ้าปากกันได้บ้างแล้วกลับไปซบเซาอีกครั้ง
โดยช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปี 2563 ที่ผ่านมา มีหนังใหม่เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ไทยเพียงเรื่องเดียวคือ Monster Hunter หนังแอ็คชั่นไซไฟจากฮอลลีวูดที่มี ‘จา พนม’ ร่วมเล่นด้วย ซึ่งก็สามารถทำรายได้ไปร่วม 11 ล้านบาทในสถานการณ์เช่นนี้
แต่พอมาสัปดาห์แรกของปี 2564 กลับไม่มีค่ายใดส่งหนังเข้าฉายเลย ทำให้เกิดสถานการณ์ไม่มีหนังใหม่เข้าโรงภาพยนตร์ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
สำหรับภาพยนตร์ที่วางโปรแกรมเอาไว้ว่าจะฉายช่วงต้นเดือนมกราคมนี้ แต่ต้องเลื่อนออกไปก่อนก็มีตั้งแต่เรื่อง ‘บอสฉัน..ขยันเชือด’ จากค่ายไทเมเจอร์ (TAI MAJOR) ที่ขอเลื่อนกำหนดฉายจากวันที่ 28 มกราคม ออกไปก่อนอย่างไม่มีกำหนด
เช่นเดียวกับหนังใหญ่ของแฟนหงส์แดงลิเวอร์พูลเรื่อง The End Of The Storm ที่ตอนแรกวางโปรแกรมฉายไว้วันที่ 14 มกราคมนี้ แต่ล่าสุดทางค่ายสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ได้ประกาศเลื่อนฉายไปเป็นวันที่ 28 มกราคมแล้ว
ส่วนหนังรักโรแมนติกจากญี่ปุ่นเรื่อง ‘Your Eyes Tell สัมผัสนั้น..ไม่มีวันลืม’ ซึ่งมีกำหนดฉายวันที่ 21 มกราคมนั้น ต้องรอดูความเคลื่อนไหวจากทาง MONO FILM ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายต่อไปว่าจะเลื่อนโปรแกรมหรือไม่
ต้องให้กำลังใจผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์ และคนในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยกันต่อไปว่าจะประคองตัว และหาทางออกจากสถานการณ์การระบาดของโควิดระลอก 2 กันอย่างไร