สเต็ปใหม่ในชีวิต ‘บอย ปกรณ์’
พบกับบทบาทใหม่ที่ท้าทายของพระเอกมากฝีมืออย่าง "บอย ปกรณ์" กับการเป็น "พิธีกรเดี่ยวเต็มตัว" ครั้งแรกในรายการเฟ้นหาไอดอลทางช่อง 3 ที่ชื่อ "ไอดอล พาราไดซ์"
หากพูดถึงฝีมือการแสดง ‘บอย - ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ ’ ไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็นอีกแล้ว เพราะผลงานที่ผ่านมาของเขาเป็นเครื่องการันตีความสามารถได้เป็นอย่างดี
แต่ในวันนี้เขากำลังจะก้าวเข้าไปรับหน้าที่ ‘พิธีกรเดี่ยว’ อย่างเต็มตัวเป็นครั้งแรก ในรายการเฟ้นหาวงเกิร์ลกรุ๊ปชื่อ ‘ไอดอล พาราไดซ์’ ที่กำลังจะเปิดตัวทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ ‘จุดประกาย’ จึงมาชวนคุณไปพูดคุยกับ ‘บอย ปกรณ์’ ถึงความท้าทายใหม่ของนักแสดงฝีมือฉกาจคนนี้กัน
-
การรับหน้าที่พิธีกรเดี่ยวเต็มตัวครั้งแรกมีความท้าทายอย่างไรบ้าง
สำหรับการก้าวเข้ามาเป็นพิธีกร ก่อนหน้านี้เคยมีคนหลายคนบอกผมว่าทำไมไม่ลองไปทำงานพิธีกรดู เพราะเวลาไปออกรายการในฐานะแขกรับเชิญผมจะพูดคล่อง แต่เราก็ยังไม่ได้มั่นใจในจุดนั้นเพราะผมคิดว่าตัวเองเป็นตัวตามที่ดีได้ นั่งฟังแล้วคอยฮุก คอยป้าย คอยเติม คอยแต้มสีเข้าไป แต่ถ้าให้เป็นตัวลีดเลยผมยังไม่มั่นใจ
จนวันหนึ่งมีรายการติดต่อเข้ามาคือ ‘Davinci เกมถอดรหัส’ ซึ่งผมรู้สึกว่าด้วยอายุงาน และด้วยอายุของตัวเอง มันถึงจังหวะที่ผมน่าจะลองไปทำแล้วก็ปรึกษาหลาย ๆ คน ทั้งพี่สมรักษ์ ('สมรักษ์ ณรงค์วิชัย' รองกรรมการผู้อำนวยการ สำนักผลิตรายการ ช่อง 3) ที่แนะนำให้ไปปรึกษาอาต๋อย 'ไตรภพ ลิมปพัทธ์' อีกที ซึ่งพี่เค้าบอกว่าจากที่ผมเคยไปเป็นแขกรับเชิญมา เค้าคิดว่าผมน่าจะทำได้
ผมก็ยังไม่ได้มั่นใจมาก แต่คิดว่าทุกอย่างมันต้องลอง ในเมื่อโอกาสมันเหมาะแล้ว มีคนชวนก็ลองทำ ซึ่งการเป็นพิธีกรเป็นการเปิดโลกใหม่ในการทำงานของผม ก็คลำทางไปเรื่อย ๆ เจอปัญหาก็แก้ สั่งสมประสบการณ์มาเรื่อย ๆ แต่ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพิธีกรเดี่ยว จนกระทั้งรายการ ‘ไอดอล พาราไดซ์’ ติดต่อมา
แว้บแรกก็สองจิตสองใจเหมือนเดิม อยากทำ เพราะเป็นพิธีกรอีกแบบหนึ่ง รายการคนละโทน หน้าที่ก็คนละหน้าที่ แต่อีกครึ่งหนึ่งก็คิดว่าจะทำได้รึเปล่าเพราะต้องมายืนเดี่ยว คุมรายการ ไม่ได้แข่งขันเกมโชว์เหมือนเดิม สุดท้ายก็คิดแค่ว่า ไม่ลองก็คงไม่รู้ คิดว่าวันหนึ่งก็คงต้องทำ บวกกับที่อยากทำอยู่แล้วก็เลยตกลงทำ
แต่ก่อนอื่น ผมบอกข้อมูลของตัวเองไปกับโปรดิวเซอร์รายการก่อนเลยว่า ผมมีจุดที่ทำได้กับจุดที่ยังไม่แข็งตรงไหนบ้าง เช่น ถ้าเป็นการรันซีเควนซ์ จบโชว์นี้แล้วไปต่อโชว์นี้ ผมคิดว่าทำได้ เพราะมีประสบการณ์ขึ้นเวทีทำอีเวนต์มาระดับหนึ่งอยู่แล้ว แต่การอิมโพรไวซ์ ยิงมุกสด ผมอาจจะยังไม่แข็งแรงมาก เพราะว่าเราไม่ได้เป็นคนที่มุกจ๋าขนาดนั้น แต่ผมเป็นคนที่ตามได้ดีถ้ามีคนยิงมุกก่อน
โปรดิวเซอร์ก็บอกมาว่าไม่มีปัญหา เพราะเขาอยากให้เราทำหน้าที่คุมรายการนั่นแหละ น้องๆ ที่มาประกวดอายุ 12-20 หน้าที่ของผมก็คือพี่ชายที่แสนดี นอกจากจะเป็นคนที่คอยรันรายการให้ดำเนินต่อไปแล้วยังต้องคอยให้กำลังใจ คุยกับน้องๆ ให้ไม่เกร็ง ลดความตื่นเต้นก่อนที่จะทำโชว์ ส่วนหน้าที่ๆ เหลือจะมีกรรมการ 3 ท่านอยู่แล้ว คือ 'ฮั่น อิสริยะ', 'รัดเกล้า อามระดิษ
, 'ป๊อป ปองกูล' นั่นคือโจทย์หลักที่ผมได้รับมา ซึ่งผมก็คิดว่าตัวเองน่าจะทำได้
- ความรู้สึกหลังจากได้ไปถ่ายทำรายการบางส่วนมาแล้ว
วันแรกถ่ายทีเดียว 3 เทป เตรียมใจมาอยู่แล้วว่าครั้งแรกต้องมีอะไรที่เรายังไม่เป็นธรรมชาติมาก วันนั้นถ่ายทำนานมาก เริ่มเที่ยงวันไปจบตี 4 ของอีกวัน 16 ชั่วโมง หนึ่งชั่วโมงแรกเป็นช่วงเรียนรู้กับมันว่าความรู้สึกของรายการนี้เป็นยังไง เป็นช่วงคลำทางอยู่ พยายามรันคิวให้เกิดความลื่นไหลมากที่สุด แต่พอพ้น 1 ชั่วโมง หลาย ๆ อย่างมันประกอบเข้าด้วยกัน ทั้งพิธีกร ตัวน้องๆ ที่เข้าโชว์ เรารีแลกซ์มากขึ้น จับความรู้สึกของน้องก่อนโชว์ หลังโชว์ จับความรู้สึกกรรมการ แล้วขมวดออกมา นี่แหละหน้าที่เรา
- ได้ข่าวมาว่าอินกับรายการมาก
สิ่งที่ทำให้รู้สึกอินมาก ๆ มีสองส่วนคือ ตัวน้อง ๆ เรารู้สึกมากว่าน้องๆ ทุกคนไม่มีคนไหนเลยที่แสดงให้เราเห็นว่ามาแข่งเฉย ๆ แต่รับรู้ได้ถึงแพสชั่น ความตั้งใจจริงที่อยากทำโชว์จริงๆ จับได้ถึงนิสัยของเขาว่าไนซ์หมด คาแรกเตอร์ในการพูดคุยแต่ละคนก็หลากหลาย บางคนแอคถีฟมาก มั่นใจมาก บางคนเงียบมาก อายไม่กล้าพูด แต่พอสตาร์ท ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ทุกคนทำโชว์ได้อย่างเต็มที่ตามที่ซ้อมมา อันนี้คือสิ่งที่รู้สึกว่า นี่แหละคือสิ่งที่จะทำให้รายการมันเดินไปได้
แล้วเราก็อินกับมันจริงๆ เราดีใจกับคนที่เข้ารอบจริงๆ เสียใจกับคนที่ไม่ได้ไปต่อจริงๆ เราเหว๋อ ขนลุกกับความสามารถของน้องๆ จริงๆ นั่นคือสิ่งที่เรารู้สึกในวันนั้น สิ่งที่ผมพูดนอกเหนือจากสคริปต์คือสิ่งที่ผมรู้สึกจริงๆ เราว้าวจริงๆ
ถ้าจะให้พูดก็คือ เด็กที่มาเก่งจริงๆ ตอนแรกที่รายการติดต่อมาเรารู้ว่าเป็นรายการประกวดของน้องผู้หญิงอายุ 12-20 ปี ชื่อ ‘ไอดอล พาราไดซ์’ สิ่งที่เรารู้ก็คือจะต้องมีเด็กมาเต้นมาร้อง ความสามารถต้องเก่งระดับหนึ่ง แต่พอมาเจอ สิ่งที่เราเซอร์ไพรส์มากคือ น้องๆ เก่งกว่าที่คาดไว้เท่าตัวสองเท่าตัวเลย
ความสามารถของพวกเค้ามันเกินระดับนั้น เก่งกว่าผู้ใหญ่ไปแล้ว อาจจะเพราะทางทีมคัดมาแล้ว เวิร์คชอปมาแล้ว อาจจะด้วยสังคมที่เปลี่ยนไป ตอนเราอายุเท่าน้องๆ เรายังทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ จนอายุ 20 เราก็ยังเรียนเล่นอยู่ แต่ว่าเด็กสมัยนี้ไม่ใช่แล้ว นอกจากเรียนแล้วยังมีพรสวรรค์ มีการฝึกฝน มีความตั้งใจอย่างจริงจัง แล้วออกมาเป็นโชว์ของเขาที่เขาต้องการจะหาความฝัน
ผมว่าไดร์ฟ ความเข้มข้นของรายการมันพุ่งเกินชื่อของรายการไปแล้วด้วยซ้ำ สำหรับผมคำว่า ‘ไอดอล’ มันเข้มแข็งมาก การที่เราได้ก้าวไปอยู่ในจุดที่ทุกคนอยากเป็นแบบอย่าง ไม่ว่าด้านไหนก็ตาม แต่ทุกวันนี้ภาพจำของคำว่า ไอดอล อาจจะเป็น วงไอดอล หรืออะไรก็ตามที่มันน่ารักสดใส เก่งมีความสามารถ มุ้งมิ้ง ซึ่งรายการนี้ก็มีครบหมด เด็ก ๆ มีความใสมาก ไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลย บางคนอาจจะเก่งสู้คนอื่นไม่ได้ แต่เสน่ห์ที่เค้ามีมันขึ้นมาแทนตรงนั้นได้
ปัจจุบันนี้ คำว่า ‘ไอดอล’ มันถูกใช้ง่ายกว่าแต่ก่อนไปหน่อย เช่น เน็ตไอดอล ใครๆ ก็เป็นไอดอลได้ การเป็นไอดอลอาจไม่ได้ยากเท่าความหมายจริงๆ ของมันในตอนแรก แต่ว่าผมว่ารายการนี้ มันกำลังจะก้าวเข้าสู่การเป็น ‘ไอดอล’ ที่แท้จริง เค้ากำลังจะก้าวไปสู่อนาคตในจุดที่ใคร ๆ ก็อยากเป็นของเค้า
- รูปแบบรายการ ‘ไอดอล พาราไดซ์’ เป็นอย่างไรบ้าง
รูปแบบรายการก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมอินมาก กรรมการทั้ง 3 ท่านเป็น expert (ผู้เชี่ยวชาญ) ของทุกด้าน พี่ป๊อป ปองกูล เรื่องร้อง พี่ฮั่นเรื่องเต้น พี่โต๊งเหน่งเก่งทุกอย่างทั้งร้องและเต้น นอกจากกรรมการ 3 คนจะสร้างสีสันให้สนุกสนานแล้ว การคอมเมนต์ก็เป็นการพูดที่ตรงจุด มาพร้อมกำลังใจ และก็พร้อมที่จะชี้ให้เห็นจุดที่ต้องแก้ เป็นคอมเมนต์ที่มีประโยชน์กับทุกคน
ผมเองที่ยืนฟังอยู่ไม่รู้สึกว่าเป็นคอมเมนต์ที่พูดไปตามแพทเทิร์น แต่เป็นการพูดตามโชว์ และจี้จุดของแต่ละคนจริงๆ ว่าต้องแก้ตรงไหนบ้าง ตรงไหนดีอยู่แล้ว
- จากการทำหน้าที่พิธีกรมาแล้ว 3 เทป อะไรคือสิ่งที่ทำให้ต้องดูรายการนี้
ผมเอาตัวเองตัดสินก่อน หนึ่ง เราเอ็นจอย ทั้งที่ถ่ายรายการกันถึงตี 4 ร่วม 16 ชั่วโมง แต่กลับรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็ว ถึงแม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่เป็นการทำงานที่สนุกและเอ็นจอยมาก ไม่เบื่อเลย เราดูโชว์ของทุกคนอย่างสนุก ดูการคอมเมนต์อย่างสนใจ รู้สึกมีประโยชน์ ดูความสดใดของน้องๆ แล้วยิ้มตาม
อีกอันนึ่งที่ผมคิดว่าเป็นจุดแข็งของรายการคือรูปแบบของการตัดสินนี่แหละ อย่างรอบออดิชั่นที่มีกฎ ‘10 seconds challenge’ ให้เด็ก ๆ มีโอกาสโชว์แค่คนละ 10 วินาทีนั้น ม่มีที่ไหนทำมาก่อน
คนอาจจะบอกว่า เฮ้ย เราจะมาตัดสินคนใน 10 วินาทีจริงๆ เหรอ มันก็อาจจะสั้นไป แต่เรามีลูกเล่นเพิ่มเติมคือ กรรมการแต่ละท่านจะมีคนละ 10 วินาที ให้กดเพิ่ม ถ้ากดเพิ่ม 1 คน คุณจะมีเวลาโชว์ 20 ถ้ากดครบทุกคนก็จะมีเวลาโชว์ 40 วินาที เพราะฉะนั้น โชว์นี้จะเป็นโชว์ที่ผมรู้สึกว่า มันเป็นโชว์ที่สอนเด็ก
ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ศิลปินทุกคนต้องมีคือ คุณจะสร้างแรงดึงดูดให้คนดูคุณต่อใน 10 วินาที อย่างไร ซึ่งทุกวันนี้คนมันมีทางเลือกเยอะมาก คนพร้อมที่จะเปลี่ยนช่องได้ง่ายมาก คนพร้อมจะกลับมาดูรีรันเสมอ เพราะฉะนั้น 10 วิแรก คุณต้องฮุกเข้าหน้ากรรมการให้ได้ ให้กรรมการกดดูต่อ
ผมรู้สึกว่ามันเป็นการปลูกฝังอะไรบางอย่างเข้าไปในตัวเด็ก ๆ นี่คือสิ่งที่ศิลปินต้องมี คือการดึงดูดคนดูให้ได้
- ความคาดหวังของการมาเป็นพิธีกรเดี่ยวเต็มตัว
มันเป็นอีกหนึ่งสเต็ปให้เราก้าวไปในเส้นทางตรงนี้ ด้วยอายุ ผม 36 แล้ว ทำงานแสดงมาถึงจุดที่วันหนึ่งเราต้องแตกขยายสาขาในด้านอื่นที่เราทำได้ออกไป งานพิธีกรเป็นอีกงานหนึ่งที่ผมทำแล้วรู้สึกสนุก แฮปปี้ จะดีหรือไม่ดีก็ต้องขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ต้องให้เวลา ให้การทำงานมันช่วยผม แล้วอยากก้าวไปเรื่อยๆ ได้ทำรายการนู่นนั่นนี่ไหม ก็อยาก ขึ้นอยู่กับโอกาส
- พิธีกรที่เป็น ‘ ไอดอล’ ของคุณคือใคร
หลังจากที่ผมมาทำงานพิธีกร ไม่ว่าจะดูรายการอะไรผมก็จะดูพิธีกรรายการนั้นๆ ไปด้วย ผมดูทั้งหมดไม่ว่ารุ่นเดียวกันหรือรุ่นใหญ่กว่า ใครมีจุดเด่นอะไร มีแนวทางการทำงานยังไง แต่คนที่ผมยึดอยากเป็นเหมือนก็คือ พี่หนุ่ม - กรรชัย (กรรชัย กำเนิดพลอย) ผมดูรายการ ‘โหนกระแส’ เกือบทุกเทป ผมจะเปิดตอนขับรถ
- ชอบอะไรในตัว ‘หนุ่ม กรรชัย’ ในฐานะพิธีกร
สิ่งที่ชอบคือตัวตนของเขาในการทำพิธีกร ‘โหนกระแส’ ถ้าดูจากชื่อ จากธีมเป็นรายการเครียด จริงจัง ต้องค้นหาความจริง แต่พี่หนุ่มใส่ตัวตนลงไปทำให้รายการดูจริงจังในสิ่งที่ควรต้องจริงจัง แต่มีตัวตนที่มีความสนุกของเขาลงไปทำให้รายการดูง่ายขึ้น จังหวะของเขาในการจบเรื่องนี้แล้วเปลี่ยนประเด็นไปอีกเรื่องหนึ่ง คือ การคุมรายการที่สามารถแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีก็ชอบ แต่ที่ชอบมากคือตัวตนของเค้าที่ผมรู้สึกว่าเอาตัวเข้าไปใกล้ชิดกับแขกรับเชิญมาก ทำให้รู้สึกว่าแขกรับเชิญกล้าที่จะพูดจะเล่า
- รายการ ‘ไอดอล พาราไดซ์’ ที่คุณเป็นพิธีกรเดี่ยวเต็มตัวครั้งแรกน่าดูตรงไหน
จริงๆ อยากฝากน้องๆ มากกว่า ตัวผมที่เป็นพิธีกรเป็นแค่ฟันเฟืองหนึ่งของรายการ แต่คนที่เป็นนางเอกจริงๆ คือน้องๆ ทั้ง 55 คนที่มาออดิชั่นนี่แหละ ผมอยากให้ทุกคนได้ดูความสามารถของน้องๆ เราขนลุก ผมว่าคนดูก็ต้องขนลุกกับเรา เราว้าวคนดูก็ต้องว้าวเหมือนเรา
ผมว่านี่คือเสน่ห์ที่คนได้ดูแล้วต้องชอบครับ คนอาจจะคิดว่าผมก็ต้องเชียร์รายการแหละ เพราะตัวเองเป็นพิธีกรนี่ แต่ผมทำงานอยู่ในวงการนี้มาสิบกว่าปี ผมผ่านการโชว์นู่นนี่นั่น ผมก็เห็นมาเยอะ แต่น้องๆ เหล่านี้ก็ยังทำให้ผมอึ้งกับโชว์ของพวกเค้าได้ ไม่ใช่แค่เก่งธรรมดา แต่เก่งพร้อมจะไปเป็นมืออาชีพในวันข้างหน้าได้