‘จีจี้ BNK48’ ไอดอลฮาธรรมชาติ สู่เซ็นเตอร์ ‘BNK48’ ความสามารถเหนือดวง
เปิดเส้นทางที่ต้องฟันฝ่ากว่าเด็กหญิงธรรมดาจะมาเป็นไอดอลสายฮาธรรมชาติ มือวางอันดับต้นๆ เรื่องสร้างเสียงหัวเราะของ “BNK48” ถนนแห่งรอยยิ้มอาจไม่ได้ชิลเหมือนที่ใครคิด สู่การพิชิตตำแหน่งเซ็นเตอร์เพลงหลัก ของ “จีจี้ BNK48”
ในบรรดาสมาชิกวงไอดอล BNK48 ต่างคนต่างมีคาแรคเตอร์แตกต่างกันไป แต่หนึ่งในแนวทางที่ครองใจแฟนคลับได้เหนียวแน่นคือ “สายฮา” เพราะใช่ว่าทุกคนจะทำได้ การเรียกเสียงหัวเราะและรอยยิ้มเปรียบได้ดั่งศิลปะ หากพยายามเกินไปก็ไม่เป็นธรรมชาติ หากไม่มีพรสวรรค์ก็ยากที่จะมอบความสุขให้คนอื่น แต่ถ้าขาดพรแสวงก็ไร้การพัฒนา ทว่าสิ่งที่ ณัฐกุล พิมพ์ธงชัยกุล หรือ จีจี้ BNK48 เป็น คือบทสรุปของคำว่า “สายฮา” อย่างแท้จริง
เส้นทางของ “จีจี้ BNK48” ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ถึงความสามารถในช่วงแรกยังคลุมเครือ แต่ความอดทน พยายาม ผลักดันให้เธอได้เฉิดฉายในฐานะคอเมเดี้ยนประจำวง แต่นั่นเท่ากับว่านอกจากจะต้องสู้กับตัวเองเพื่อพัฒนาให้ได้รับโอกาสเป็นตัวจริง (เซ็มบัตสึ) แล้ว ยังต้องแบกรับความคาดหวังและแรงกดดันอีกมากมาย จนถึงวันที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้มีโอกาสมากขึ้นๆ กระทั่งวันนี้ที่เธอพิชิตตำแหน่ง Janken Queen จากงานเป่ายิงฉุบสุดมันของวง และได้เป็นเซ็นเตอร์เพลงหลักของอัลบั้มที่สาม Warota People - หัวเราะเซ่
- เส้นทางสู่ BNK48 ?
ตอนแรกพี่สาวหนูเห็นการรับสมัครออดิชั่น BNK48 รุ่นที่ 2 เขาเห็นว่าเราชอบแนวทางนี้ก็เลยชวนเราไปสมัคร ตอนนั้นหนูยังไม่รู้เลยว่า BNK48 คืออะไร แต่รู้จักเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย (Koisuru Fortune Cookie) แล้วก็เพิ่งรู้ว่าเพลงนี้เป็นของ BNK48 ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับวงนี้ แต่เราก็ไปสมัคร แล้วติดเข้ามา ก็เลยได้เริ่มศึกษาข้อมูลต่างๆ เรียกว่าทำการบ้านหนักมาก ยิ่งทำให้เรารู้ว่าเป็นวงไอดอลที่ไม่เหมือนวงอื่น ยิ่งศึกษาก็ยิ่งหลงรักวงนี้ และอยากเป็นส่วนหนึ่ง เพราะไม่ใช่แค่ไอดอล แต่เป็นพลังบวกและกำลังใจให้ใครหลายคน ไม่ใช่แค่ร้องเต้นธรรมดา ก็เลยอยากเข้ามา และได้โอกาสเข้ามาเป็นเมมเบอร์จริงๆ
- การวางตัวในช่วงแรกในฐานะ BNK48 ?
ในช่วงแรกเรายังไม่รู้ว่าไอดอลควรจะเป็นอย่างไร ก็เลยไม่รู้ว่าควรจะเป็นตัวเองได้มากน้อยขนาดไหน แล้วพออยู่ไปเรื่อยๆ ก็เลยรู้ว่าเป็นตัวเองได้ แฟนคลับก็มีฟีดแบ็คกลับมาว่าชอบที่เราเป็นแบบนี้ เราก็เลยเป็นตัวเองเต็มที่ เพราะมันต้องทำงานทุกวัน แล้วถ้าเราเสียความเป็นตัวเองไปมันจะไม่สนุกกับการทำงาน ก็เป็นตัวเองไปเลยดีกว่า
- ตัวตนก็คือคนเฮฮา?
คนรอบข้างชอบบอกว่าเราเป็นคนตลก แต่หนูรู้สึกว่าในความตลกมันไม่ใช่แค่ตลกไปเรื่อย แต่เราก็มีกาลเทศะของเรา เช่น เวลาเป็นเรื่องซีเรียสหรือว่าจริงจัง เราก็ทำได้เหมือนกัน
- เป็นคนจริงจังมากขึ้นหรือเปล่า
หนูรู้สึกว่าหนูโตขึ้น ตอนแรกเข้ามาอายุประมาณ 16 ตอนนี้ก็ 19 แล้ว ก็เหมือนว่าตอนนี้มีสติมากขึ้น โตมากขึ้น เพราะเราเรียนรู้จากประสบการณ์หลายอย่าง แต่ก็ยังเป็นตัวเอง เป็นจีจี้คนเดิม
- นาทีที่ตัดสินว่าจะเป็นสายฮา สร้างเสียงหัวเราะ?
ก็ไม่ได้มีช่วงที่คิดว่าจะเป็นสายไหน แต่พอมาเรื่อยๆ แล้วรู้สึกว่าพอเป็นแบบนี้แล้วมัน Flow (ลื่นไหล) ในแบบของตัวเองมากกว่า สมมติว่าตอนที่เราจะเล่นตลก เราก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องเล่นตลกแบบนี้ แต่มันออกมาเองโดยธรรมชาติ โดยที่เราไม่ได้รู้สึกว่าจะตลก แต่คนอื่นมีปฏิกิริยากลับมาคือเสียงหัวเราะ โดยที่เราก็ไม่รู้ตัว
- จุดขายของจีจี้คือความตลกโดยไม่ตั้งใจ?
คนมักจะบอกว่าเป็นตลกธรรมชาติ
- มองย้อนกลับไป จากเด็กหญิงวัย 16 จนถึงตอนนี้ เห็นพัฒนาการตัวเองเป็นอย่างไร
รู้สึกว่าตัวเองพัฒนาหลายอย่าง ทั้งร้อง เต้น MC ด้วย เพราะตอนแรกเต้นไม่ได้เลย เต้นคือศูนย์ แล้วร้องเพลงก็ไม่ได้ เราก็เลยเข้ามาเรียนรู้จากที่นี่เลย เมื่อก่อนร้องเพลงเพี้ยนถึงขนาดว่าไม่รู้ว่าตัวเองร้องเพลงเพี้ยน ไม่รู้ว่าจะปรับอย่างไรให้ถูกคีย์ แต่เราก็ได้เรียนรู้มากขึ้น
ส่วนเรื่องการพูดก็ได้เรียนรู้ในสาย MC คือเราไม่ได้อยู่ในสายวงการบันเทิงมาก่อน เป็นแค่เด็กธรรมดา แล้วพอเข้ามาก็ได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ต้องตอบคำถามสื่อ ต้องเรียงคำพูด ต้องมีสติ มันเป็นประสบการณ์ที่ดี แล้วเราก็พัฒนามาเรื่อยๆ จนมาเป็นเราในวันนี้
- ยากไหม
ก็ยากนะคะ หนูรู้สึกว่าตอนแรกที่เข้ามากลัวไมค์ด้วย ปกติจะออกอีเวนท์พร้อมๆ เพื่อน แล้วจะอยู่ท้ายๆ เลย สมมติติดเซ็มบัตสึ 16 ก็จะอยู่หลังๆ เวลามีคนส่งไมค์มาให้เราก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ไม่กล้าตอบ
- แต่ในไลฟ์คือได้ปลดล็อกตัวเองด้านการพูด?
ใช่ค่ะ ในนั้นเหมือนเป็นอิสระ คือได้อยู่คนเดียว พูดกับกล้อง แต่พอไปออกสื่อ รายการสด เราก็จะกลัวมาก กลัวว่าจะตอบไม่ดีหรือเปล่า แต่ในไลฟ์นี่หนูเหมือนได้แจ้งเกิดจากไลฟ์เลย เพราะทางต้นสังกัดให้เราเป็นคนไลฟ์คนแรกของรุ่นสอง ตอนนั้นกลับมาจากเธียร์เตอร์ แล้วหนูก็มาไลฟ์ เป็นตำนานหน้าเหลือง เพราะเป็นการไลฟ์ครั้งแรกก็ไม่รู้จะต้องทำอย่างไร แล้วแอพพลิเคชั่นก็ล่ม หนูก็เลยต้องไปไลฟ์ในเฟซบุ๊ค ซึ่งเราก็จัดไปไม่เป็น คราวนั้นก็เลยเป็นไลฟ์หน้าเหลือง คนก็เข้ามาดูเยอะมากจนเราไม่รู้จะพูดอะไรดี กลายเป็นไลฟ์อ๊องๆ คนก็ชอบ เอาไปตัดเป็นมีมเต็มโซเชียลเลย
- ต้องฮา ต้องเอนเตอร์เทน รู้สึกว่าเป็นการแบกรับความกดดันไหม
หนูรู้สึกว่าถ้าจะกดดันคือกดดันว่าคนจะคาดหวังในทุกครั้งที่เราไปรายการ หรือมาไลฟ์ แค่ไลฟ์ตู้ปลาคนก็คาดหวังแล้วว่ามีจีจี้วันนี้ต้องฮา ต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เลยรู้สึกว่าการที่จะตลกไม่ต้องพยายาม มันจะตลกของมันเอง ยิ่งถ้าเราต้องแบบนี้ต้องแบบนั้น จะกลายเป็นไม่ธรรมชาติ แล้วจะกลายเป็นเครียด เพราะทุกครั้งที่ทำอะไรก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องตลกอะไร ก็เป็นไปตามธรรมชาติเลย
การที่คนอื่นมาคาดหวังให้เราเป็นแบบนั้นแบบนี้ ทำให้เรากดดัน แต่หนูก็มีวิธีกำจัดมันได้ หมายถึงรับฟังแต่ไม่ได้นำมาบั่นทอนหรือเป็นกำแพงให้เราต้องทำดีที่สุด โดดเด่นที่สุด ไม่ได้เป็นอย่างนั้นค่ะ
- กว่าจะมาถึงจุดที่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับความรู้สึกนั้น?
พอมองกลับไป หนูก็พบว่าหนูเป็นคนที่รับฟัง แล้วคิดได้ว่าทุกอย่างมีข้อดีและมีข้อเสีย ถ้าเราฟังมากเกินไปแล้วให้ค่ากับมันเกินไป จะทำให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง อย่างเวลาหนูอ่านคอมเมนต์หนูจะอ่านเพื่อปรับปรุงจริงๆ อย่างงาน MC ถ้าเราพูดเร็วเกินไป คนก็จะบอกว่าให้เราพูดช้ากว่านี้ ซึ่งก็จะเห็นทั้งคอมเมนต์ที่แนะนำจริงๆ ด้วยคำที่สุภาพ และก็มีประเภทต่อว่าเรา เช่น อยากดังเหรอ นี่ก็คือสิ่งที่อยากให้เราสูญเสียความเป็นตัวเอง เราก็ตัดทิ้ง เลือกที่จะเสพ เพราะทำให้เราพัฒนาขึ้นด้วย
- เราก้าวข้ามดราม่าต่างๆ ได้?
หนูเป็นคนที่กำจัดมันได้ อยู่กับมันได้ ไม่ถึงกับเอามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก็เลยรู้สึกว่าโชคดีตรงนี้ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เกิดจากครอบครัว พ่อแม่เลี้ยงหนูแบบให้คิดเอง เขาจะทำอะไรบางอย่างให้เราคิดได้เอง แต่ไม่มาจำกัดเรา
- เข้ามาเป็นไอดอล เส้นทางนี้แตกต่างจากที่คิดไว้หรือเปล่า
โอ้โห แตกต่างมาก (ลากเสียง) ก่อนที่หนูจะเข้าวง มันเป็นอะไรที่หนูจะเลือกพอดีว่าจะไปลองวงการบันเทิงอีกดีไหม คือที่ BNK48 เป็นที่สุดท้ายที่หนูมาออดิชั่น ถ้าไม่ติดตรงนี้ก็คงไปสายเรียนเลย และคงไม่มาวงการบันเทิงแล้ว ช่วงนั้น ม.ปลาย อยากเลือกแล้วว่าจะไปทางไหน ถ้าจริงจังกับเรียนก็จะไปทางวิศวกรรมไฟฟ้า เพราะถ้าเราเขวมานี่ก็จะสับสนแล้วจะไมได้สักทาง ปรากฏว่าติดพอดี ก็เลยบอกม้าว่า ม้าถ้าติด BNK48 จีจี้จะไปสายนี้นะ แต่ก็จะเรียนปกตินะ
พอเข้ามาจริงๆ ก็รู้สึกว่าโชคดี เพราะเป็นอะไรที่เหมาะกับเรา และเราทำงานกับมันแล้วมีความสุข ก็เลยโชคดีมาก
- แปลว่ามีความฝันในวงการบันเทิง?
ใช่ค่ะ แต่หนูเพิ่งรู้ตัวอีกทีว่าการที่เราชอบทางสายวิทยาศาสตร์เพราะครูคนหนึ่ง เขาสอนให้เราเก่งคณิตศาสตร์ แล้วตอนเรียนเราทำได้ ตอบได้ เลยรู้สึกว่าเราชอบสายนี้แน่ๆ แต่พอเราเลิกเรียนกับครูคนนั้นกลายเป็นทำให้ความชอบของเราลดลง ตอนนั้นก็รู้สึกไขว้เขวเหมือนกัน เหมือนเรายึดติดที่ตัวบุคคลแล้วทำให้อยากเป็นแบบเขา
- ตอนนี้ทิ้งความฝันเรื่องวิศวกรรมไฟฟ้าไปหมดแล้วหรือ
พอเข้ามาเป็น BNK48 แล้วรู้สึกว่าจริงๆ นั่นอาจไม่ใช่สิ่งที่เราชอบ หนูรู้สึกว่าคนส่วนมากอาจสับสนด้วยซ้ำ ด้วยปัจจัยหลายอย่าง เช่น เงิน และอะไรต่างๆ เราต้องเลือกในสิ่งที่ชอบจริงๆ ถึงจะอยู่ได้นานตลอดไป
- การได้มาเป็นเซ็นเตอร์ครั้งแรกในเพลง ‘Warota People - หัวเราะเซ่’ เพลงหลักของ BNK48 อัลบั้มที่สาม?
ตอนที่รู้ว่าเป็นเพลงนี้ หนูไม่รู้จักเพลงนี้ เพราะเราก็ไม่ได้ศึกษาลึกขนาดวง NMB48 วงน้องสาวของ AKB48 ก็จะรู้จักแค่ AKB48 เพราะปกติก็จะเอาเพลงมาจากวงนี้ แต่เพลงนี้เป็นเพลงจากวง NMB48 เป็นวงน้องสาวของ AKB48 อีกทีหนึ่ง เราก็ช็อคว่าเพลงนี้คืออะไร ฟังครั้งแรกก็ฟังไม่รู้เรื่อง เพราะเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่พี่เฌอ (เฌอปราง BNK48) รู้จัก แล้วก็เพิ่งรู้ว่าพี่เฌอใช้เพลงนี้หากินตลอด เขาชอบเพลงนี้มาก ตอนที่ฟังครั้งแรก็ไม่ได้รู้สึกว่าเหมาะกับเรา เพราะเรารู้สึกว่าเป็นเพลงเร็วเฉยๆ แต่ไม่ได้ตกใจส่วนจังหวะ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเขาต้องเอาเพลงเร็วให้เรา จากบุคลิก แต่พอยิ่งได้ดู ได้ศึกษา ก็รู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่ปั่นดีเนอะ ไม่คิดว่าจะมีเพลงแบบนี้ในวงไอดอล มันรู้สึกว่าแหวกแนวพอสมควร ก็แปลกใจ แต่พอได้ฟังไปเรื่อยๆ ได้ร้อง ได้เต้น ก็รู้สึกรักเพลงนี้ และขอบคุณโชคชะตาที่พาเพลงนี้มาให้เรา เป็นเพลงที่เหมาะกับคาแรคเตอร์ พอได้ยินเพลงนี้ แฟนคลับก็จะนึกถึงเราว่าเป็นเซ็นเตอร์ ผู้บริหารและทีมงานที่เลือกเพลงบอกว่าคิดกันนานว่าจะเอาเพลงอะไรให้จีจี้ดี
- ถ้าเป็นเพลงช้าอาจจะไม่เหมาะ?
หนูว่าหนูก็สามารถนะ ก็สายสวยได้นะ (หัวเราะ)
- รู้สึกได้ว่าเมื่อก่อน จากสายฮาสุดๆ เดี๋ยวนี้จีจี้มีความเป็นสายสวยเข้ามา?
หนูว่าหนูสามารถ เป็นได้หลายสาย แฟนคลับก็จะบอกว่าเวลาลงรูปแต่ละครั้งตามไม่ทันเลย เดี๋ยวมาตลกอีกแล้ว เดี๋ยวมาแต่งตัวสวยอีกแล้ว เดี๋ยวมาแนวน่ารักอีกแล้ว ไปเรื่อยๆ แล้วแต่อารมณ์
- เบื้องหลังการทำงานของเพลงนี้?
ตอนเลือกเพลงเขาชอบมาแอบถามเราว่าเราชอบเพลงอะไร ซึ่งหนูรู้สึกว่า เลือกไปเขาก็ไม่เอาตามเราอยู่แล้ว หนูก็เลยเลือกที่จะไม่เลือก เลือกที่จะไม่คาดหวังตรงนี้ เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่อยากผิดหวัง หนูก็เลยบอกว่าให้ครูเลือกเลย ไหนๆ ก็มากับดวงอยู่แล้ว ก็ไปให้สุดเลย แล้วพอรู้เพลงค่อยว่ากัน เพราะจะเป็นเรื่องโชคชะตาไม่ได้แล้ว เราต้องเป็นคนทำให้มันดี
ส่วนตอนถ่าย MV ทุกคนก็เก็บแรงกัน เพราะต้องถ่ายกันทั้งวันตั้งแต่เช้ามืดต้องแตะมือกันเข้าซีน พอเข้าซีนทุกคนก็จะใส่เต็ม หนูรู้สึกว่าเมมเบอร์วงเราเป็นเมมเบอร์ที่ตลกนะ ทุกคนเลย พอทำงานกับเพื่อนๆ ก็รู้สึกสนุก ไม่เครียด เพราะเคยคิดว่าเป็นเซ็นเตอร์จะเครียด อย่างตอนที่ติดเซ็มฯก็จะอยู่แถวหลังๆ กลางๆ ก็ยังมีคนข้างหน้าให้รู้สึกอุ่นใจ พอเป็นเซ็นเตอร์ก็กดดันนิดหน่อย กลัวเต้นผิด กลัวเพื่อนต้องเริ่มใหม่
- ท่าเต้นมาจากต้นฉบับวง NMB48 เลย?
ใช่ค่ะ และหนูรู้สึกว่าเป็นท่าเต้นที่ค่อนข้างปั่น หนูเลยสร้างกิมมิคว่าทำหน้าตายไหม อย่าง NMB48 เขายังสดใสในท่าเต้น หนูคิดว่าหน้าตายกับท่าเต้นที่มันมากๆ มันดู Contrast กันดี
- เป็นคนเสนอไอเดียนี้เองเลย?
ใช่ค่ะ ตอนเต้นรวมเขาก็ถามว่าจีจี้อยากให้เป็นหน้าแบบไหน ก็คิดว่าไอดอลเราก็ยิ้มมาเยอะแล้ว อยากฉีก แหวกแนว เอาให้หน้าตาย แต่หนูว่ายากกว่ายิ้มอีก สมมติเราเต้นไปเรื่อยๆ เราจะยิ้มเองโดยอัตโนมัติ แต่พอต้องฝืนทำหน้าตายแล้วเต้นมันๆ ก็เลยยาก แล้วตอนจบค่อยยิ้มทีหลัง คนก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะมียิ้มแบบนี้ตอนจบ แล้วไม่ได้ยิ้มธรรมดา แต่เป็นยิ้มเจื่อน
- เนื้อหาของเพลง Warota People - หัวเราะเซ่ ?
เพลงนี้เร็วมาก เป็นเพลงแร็ป (อมยิ้ม) เนื้อหาในเพลงรวมๆ คือ ไม่ว่าเราจะเจอปัญหามากมายขนาดไหน ให้เราโยนทิ้งไป ไม่เชิงหัวเราะด้วยกัน แต่เป็นประมาณมาสนุกกันดีกว่า เพราะถ้าเรายิ่งทุกข์ไปอย่างนั้นก็จะยิ่งทุกข์ไปเรื่อยๆ มาหัวเราะมาผ่อนคลายจากสถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้กันดีกว่า ควรทำชีวิตให้มีความสุข เพราะบางอย่างคือสิ่งที่เราจัดการไม่ได้ เราเองต่างหากที่ต้องเยียวยาตัวเองให้ได้ก่อน เพลงนี้จึงจะสร้างเสียงหัวเราะให้หลายๆ คน
ส่วน MV คนที่ติดเซ็มบัตสึแถวหน้า 5 คน ต้องแต่งตัวเป็นแมว ใน MV ตอนแรกจะมืดๆ แล้วพอแมวมาก็มีสีสันสดใสขึ้นมา เป็นดาวแมวอวกาศ หลายคนถามว่าทำไมต้องเป็นแมว คือหนูเป็นคนกลัวแมวมาก พอหนูถามต้นสังกัดเขาก็บอกว่าแมวก็เป็นที่นิยมดีนี่ หนูก็งง แต่หนูตีความอีกแบบหนึ่ง ปกหนูเป็นรูปแมว 9 ตัว เป็นแมวเก้าชีวิต นำโชคเข้ามา ไหนๆ ก็มากับดวงก็เป็นแมวเก้าชีวิตไปเลย ใน MV พอแมวมาสร้างสีสันก็เหมือนทำให้คนที่กำลังเครียดได้ผ่อนคลาย
- เพลงนี้มาในช่วงที่มีสถานการณ์ต่างๆ มากมาย กระทบอะไรเราบ้างไหม
ถ้าทางใจ เรารู้สึกว่าอึดอัดมากกว่าที่ไม่สามารถทำอะไรหลายๆ อย่าง เช่น เปิดตัวซิงเกิ้ล ได้เจอแฟนคลับ งานก็เลื่อนหมดเลย ทูช็อตที่เป็นของซิงเกิ้ลเราก็เลื่อนไปหมด ก็เลยเป็นแนวอึดอัดมากกว่า แต่หนูเป็นคนที่เข้าใจได้ ในสถานการณ์หลายๆ อย่าง ไม่ได้คิดมาน้อยใจขนาดนั้น ก็ต้องเดินต่อ ถึงจะไม่ได้ก็ออนไลน์เอา เราก็สร้างคอนเทนต์ต่อไปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่อย่างน้อยเมื่อเราปล่อยเพลงออกมาแล้ว ก็คาดหวังให้ดี แต่เราก็ยอมรับในปัจจัยต่างๆ รับฟังคอมเมนต์ ปรับปรุงอะไรที่ทำได้เพื่อให้มันดีที่สุด แล้วอย่างน้อยหนูก็คิดว่าการได้ปล่อยเพลงนี้ ตอบโจทย์อะไรหลายอย่างในสถานการณ์แบบนี้ คนที่ดูก็จะได้มีเสียงหัวเราะ มีรอยยิ้มจากพวกเรา BNK48 และ CGM48 ไม่มากก็น้อย
- ในแง่ความสำเร็จ เราก้าวมาถึงจุดไหนแล้ว
ตอนแรกที่เข้ามา คิดแค่ว่าได้ออกงาน ได้ทำอะไรกับเพื่อนๆ ก็คือพอแล้ว หนูก็รู้สึกว่าเป็นกำไรชีวิตมากแล้ว ในตอนแรกหนูอยู่ในเซฟโซนตัวเองมาตลอด แล้วมีคนมาเห็นเรามากขึ้น อยากรู้จักเรามากขึ้น จนถึงจุดที่ไม่ติดเซ็มฯนานมาก แล้วก็มาติดเพลง Jabaja เป็นเซ็มฯแถวหลัง แล้วก็ยังติดต่อมาอีกเรื่อยๆ ก็รู้สึกขอบคุณอะไรหลายอย่างที่เข้ามา จนถึงงานที่ใช้ดวงอย่าง Janken จนได้มาเป็นเซ็นเตอร์ ในวงนี้เราผ่านอะไรมาเยอะเหมือนกัน จากไม่ติด ติดแถวหลัง แถวกลาง แล้วมาเป็นเซ็นเตอร์ ภายในปีนี้เราก็อยากทำอะไรมากขึ้น เช่น งานแสดง โฆษณา หรืออะไรที่เราทำได้และท้าทายตัวเอง แต่ในวงก็ไม่ทิ้ง เพราะหนูเป็นคนเต็มที่กับทุกโอกาส หนูก็เลยไม่เคยรู้สึกเสียดายหรือเสียใจที่ทำอะไรได้ไม่เต็มที่
- มีอะไรที่อยากทำอีกบ้าง
อยากเล่นหนัง เล่นซีรีส์ ตั้งแต่เข้ามาก็ยังไม่เคยเลย ส่วนมากเป็นงานในวง
- ความฝันนอกจากนี้?
หนูอยากทำธุรกิจส่วนตัว อยากเปิดอะไรเป็นของตัวเอง แต่ยังไม่ได้คิดไว้ เพราะที่บ้านมีธุรกิจของที่บ้านอยู่แล้ว แต่เราอยากเปิดเอง ลงทุนเอง เป็นของเราทั้งหมด
- หากย้อนเวลากลับไปได้ มีอะไรที่อยากบอก ด.ญ.จีจี้ คนนั้นบ้าง?
อยากขอบคุณ เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้เหนื่อยใจ เหนื่อยกาย บั่นทอนจิตใจ ที่เราต้องเจอในฐานะบุคคลสาธารณะ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เข้มแข็งในระดับหนึ่ง และโชคดีที่ตัวเองไม่เคยรู้สึกแย่มากเกินไป ถึงแม้จะเจอเรื่องอะไรก็เยียวยาตัวเองได้ และขอบคุณที่สู้มาถึงขนาดนี้ เพราะถ้าวันนั้นเราไม่สู้คงมาไม่ถึงจุดนี้ คือคิดภาพตอนนั้นแล้วรู้สึกว่าเราไม่มีทางมาถึงตรงนี้ถ้าเราไม่เข้มแข็งพอ มันเหนื่อยและยากสำหรับหนูจริงๆ แต่ก็ผ่านมาได้
ขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่ทำให้หนูรู้สึกรักตัวเองในวันนี้มากๆ