7 ข้อเตรียมตัวก่อนตัดสินใจซื้อ 'รถมือสอง'
รวมการเตรียมตัวก่อนซื้อรถมือสอง ที่จะทำให้ได้ทั้งรถที่ถูกใจและไร้ปัญหาด้านการเงิน
เชื่อว่าในยุคที่เกิดวิกฤตโควิด-19 รายได้ของแต่ละครัวเรือนลดลง คนต้องวางแผนในการใช้จ่ายอย่างรัดกุม ธุรกิจซื้อ-ขายรถมือสองจึงเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะความต้องการของคนที่ต้องการจะซื้อรถสักคัน แต่ก็ไม่อยากเสียค่าใช้จ่ายเยอะ ซึ่งแหล่งขาย รถมือสอง ก็มีให้เลือกเยอะแยะมากอีกต่างหาก เราจึงต้องเลือกให้ดี เพราะถึงจะเป็นรถมือสอง แต่เราก็ต้องใช้ในการขับขี่ไปอีกหลายปีเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้เราจึงได้รวบรวมข้อมูลมาให้อ่านทั้งหมด 7 ข้อ เพื่อช่วยในการตัดสินใจซื้อรถมือสองของคุณ
1.สืบค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจ
อันดับแรกต้องไปหาข้อมูลและประเภทรถที่อยากได้ วัตถุประสงค์การใช้งาน รวมถึงเช็คราคาก่อนด้วยว่าอยู่ในงบประมาณที่กำหนดไว้รึเปล่า เช่น รถที่คุณอยากได้เป็น รถอีโคคาร์ หรือรถประเภท c-segment เป้นต้น โดยสามารถไปหาอ่านรีวิวข้อมูลของรถประเภทต่างๆตามเว็บไซต์ เฟสบุ๊คเพจ หรือเฟสบุ๊คกรุ๊ปรีวิวรถ เพื่อเปรียบเทียบกันทั้งข้อดีและข้อเสีย นอกจากนี้ยังควรมองหารถรุ่นอื่นๆ ในประเภทเดียวกันที่นอกเหนือจากรถรุ่นที่เราอยากได้ไว้เผื่อเป็นทางเลือกเพิ่มเติม
2.ติดต่อไปยังเต็นท์หรือผู้ขายรถมือสอง
เมื่อเลือกรุ่นรถที่เราอยากได้แล้ว ต่อมาก็เป็นการมองหาเต็นท์รถมือสองที่มีรถรุ่นดังกล่าว ซึ่งอาจจะปรึกษากับญาติพี่น้อง หรือคนใกล้ตัวที่มีความรู้เกี่ยวกับการซื้อขายรถมือสอง โดยส่วนมากคนเหล่านี้จะรู้แหล่งซื้อ-ขายรถมือสองที่คุณภาพดี และไว้ใจได้ จากนั้นจึงติดต่อสอบถามราคา และประวัติรถเบื้องต้น ไปยังเต๊นท์หรือผู้ขายรถเพื่อประกอบการตัดสินใจ
3.เตรียมเอกสารที่จำเป็น
การเตรียมตัวก่อนไปยังเต็นท์รถเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เช่นเดียวกับการเตรียมเอกสาร หากในกรณีที่เราบังเอิญไปเจอรถคันทีเราถูกใจและต้องการจองหรือซื้อทันที ถ้าเรามีการเตรียมการล่วงหน้า จะทำให้การดำเนินการซื้อขายรถเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเอกสารที่เราควรจะเตรียมไปด้วยมีดังนี้
- บัตรประชาชนฉบับจริงพร้อมสำเนา
- สำเนาทะเบียนบ้าน
- สลิปเงินเดือนย้อนหลัง 6 เดือน หรือ หนังสือรับรองเงินเดือน
- สมุดบัญชีธนาคาร
4.ตรวจเช็คสภาพรถ
สิ่งสำคัญเมื่อไปเจอรถครั้งแรก จะเริ่มจากการเช็คสภาพภายนอกรถยนต์ทั้งรอยขีดข่วน สีรถ และรอยบุบต่างๆ ตามด้วยการเช็คสภาพภายในตามคอนโซล หน้าปัดไมล์ ระบบปรับอากาศ และสภาพเบาะนั่ง รวมถึงกลิ่นภายในรถก็เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญ ซึ่งควรจะต้องไม่มีกลิ่นชื้นหรือกลิ่นอับ นอกจากนี้ยังควรเช็คดูเครื่องยนต์ เพราะจะส่งต่อการใช้งานและค่าซ่อมบำรุงรถในระยะยาว ซึ่งจะสามารถเช็คได้จากการลองสตาร์ทรถยนต์ หากอยู่ในสภาพปกติเครื่องยนต์จะเรียบ นิ่ง ไม่สะดุด
5.ทดลองขับ
เมื่อตรวจสอบสภาพของรถเสร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทดลองขับรถ โดยเริ่มด้วยการปรับท่านั่งให้ถูกต้องในการขับขี่ ปรับพวงมาลัยรถกับกระจกให้เหมาะสม สร้างความคุ้นเคยกับรถ และเป็นการทดสอบว่า รถนี้เหมาะกับเราแค่ไหน และระหว่างการทดลองขับก็ดูระบบเกียร์ เบรก คันเร่ง ล้อ ช่วงล่าง และการตอบสนองของรถ รวมถึงเช็คความสะดวกสบายกับความถนัดในระหว่างการขับ
6.ติดต่อไฟแนนซ์ (ในกรณีที่ต้องการผ่อนจ่าย)
โดยปกติ เต๊นท์รถมือสองจะมีคอนเนคชั่นกับบริษัทไฟแนนซ์ไว้บริการลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งจะทำให้การซื้อ-ขายเป็นไปอย่างง่ายดายมากขึ้นสำหรับคนที่ยังไม่มีเงินก้อนหรือไม่สามารถซื้อด้วยเงินสดได้ในครั้งเดียว เพราะเพียงแค่ผู้ซื้อยื่นเอกสารที่ได้ระบุตามหัวข้อข้อด้านบนไป ทางเต็นท์รถกับบริษัทไฟแนนซ์ก็จะไปดำเนินการตามขั้นตอนกันเอง ที่เหลือก็คือรอให้เอกสารผ่านการอนุมัติ และทำสัญญาซื้อ-ขาย ก็เป็นอันเสร็จสิ้น แต่การซื้อรถจากเต๊นท์รถมือสอง ที่จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด, ห้างหุ้นส่วนสามัญ และ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล ผู้ซื้อจะต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ด้วย ไม่ว่าจะซื้อสดหรือผ่อนก็ตาม เช่น รถที่คุณกำลังจะซื้อราคา 300,000 บาท จะมี VAT 7% คือ 21,000 บาท ซึ่งรวมเงินทั้งหมดที่คุณต้องจ่ายเป็น 321,000 บาท ยกเว้นกรณีที่ซื้อ “รถบ้าน” หรือก็คือการซื้อต่อมาจากบุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ใช้งานและขายต่อรถนี้ให้เราโดยตรง ก็ไม่ต้องเสีย VAT 7%
7.ทำประกันรถยนต์
การซื้อ ประกันภัยรถยนต์ เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญที่ต้องเลือกให้คุ้มค่าด้วยเช่นกัน เพราะความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุนั้นอาจมีเพิ่มมากขึ้น จากการสึกหรอตามการใช้งานที่ผ่านมาของรถยนต์ ถึงแม้ว่าจะเราเลือกซื้อรถมือสองที่มีสภาพที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับความเสี่ยงที่มากกว่ารถยนต์มือหนึ่ง ซึ่งหากคุณกำลังมองหาตัวช่วยในการประหยัดค่าเบี้ยประกันรถยนต์แล้วล่ะก็ การติดตั้งกล้องติดรถยนต์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยลดค่าเบี้ยประกันรถยนต์ของคุณลงได้ 5-10% ตามที่คปภ.กำหนด
เครดิตภาพ: กล้องติดรถยนต์ Ultimate Clear
อ่านเพิ่มเติม: 'กล้องติดรถยนต์' จำเป็นขนาดไหน แล้วทำไมถึงช่วยลดค่าเบี้ยประกันได้?