ส่อง ‘ทราเวล บับเบิ้ล’ สิงคโปร์ มาตรการรับนักท่องเที่ยวยุคโควิด เตรียมตัวอย่างไร ใช้เงินเท่าไรถึงจะได้ไป?
สิงคโปร์เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว ผ่านโครงการ ‘ทราเวลบับเบิ้ล’ (Travel Bubble) การกักตัวรูปแบบใหม่ที่ไม่ทรมานแต่ต้องมีเงิน หวังกลุ่มคนรวยต่างชาติช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ! ถ้าอยากไปสิงคโปร์ตอนนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่?
แวดวงการท่องเที่ยวเริ่มกลับมาครึกครื้นอีกครั้ง เมื่อล่าสุดประเทศอย่างสิงคโปร์เตรียมเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าสู่ประเทศด้วย “ทราเวลบับเบิ้ล” (Travel Bubble) โครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายในประเทศให้ดีขึ้น
ถ้าอยากไปสิงคโปร์ด้วยทางเลือกนี้ต้องใช้เงินเท่าไหร่ มีนวัตกรรมและการคิดเชิงออกแบบอะไรบ้างที่ประเทศไทยน่าเอามาปรับใช้เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตามไปดูกัน
- โครงการทราเวลบับเบิ้ลสิงคโปร์เป็นอย่างไร?
ความน่าสนใจของโครงการนี้อยู่ที่ สิงคโปร์ได้ออกแบบที่พักในช่วงเฝ้าระวังอาการ 14 วัน ที่สามารถแก้ปัญหาเรื่องการทรมานจากการกักตัว ทั้งความเครียด ความน่าเบื่อ และความอึดอัด จากการถูกจำกัดให้อยู่ในพื้นที่แคบ โดยหากเลือกเข้าโครงการนี้ จะได้สิทธิพิเศษที่จะไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับการกักตัวตามมาตรการของภาครัฐฯ
สถานที่ของโครงการนี้มีชื่อว่า “คอนเนคแอทชางงี” (Connect@Changi) ถูกสร้างขึ้นภายใต้ศูนย์ประชุมสิงคโปร์เอ็กโป (Singapore Expo) มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 1 ล้านตารางฟุต เดินทางจากสนามบินชางงีถึงในไม่เกิน 5 นาที
โครงการนี้ได้เกิดขึ้นจากความร่วมมือของบริษัทเทมาเส็ค (Temasek Holdings) ชางงีแอร์พอร์ตกรุ๊ป (Changi Airport Group) ชีแอเรียส์-เฮลท์แคร์กรุ๊ป (Sheareas Healthcare Group) และบริษัทรายใหญ่ๆ อื่นๆ ด้วย ซึ่งใช้เวลาแค่ 3 เดือนเท่านั้น (จากเดือนธันวาคม ปี 2563) ในการเปิดตัว
- ต้องใช้เงินเท่าไหร่
ในช่วงเวลาที่เข้ากักตัวแบบพิเศษกับโครงการทราเวลบับเบิ้ลนี้ ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการควรเตรียมเงินโดยประมาณ 150,000-180,000 บาท ไว้สำหรับเป็นค่าที่พัก และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่นสั่งอาหารข้างนอกเพิ่มเติมหรือใช้ห้องประชุมที่ไม่ได้รวมในแพคเกจด้วย
โดยค่าห้องพัก ตั้งต้นที่ราวแสนบาทเศษๆ 1.2 แสนบาท สำหรับห้องพักแบบ Executive ในแพคเกจที่พักรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในห้องให้ใช้ฟรี รวมถึงอาหารทุกมื้อ โทรศัพท์ออกข้างนอก ใช้บริการยิมและออกไปพักผ่อนในสวนใจกลางโครงการซึ่งมีเครื่องชงกาแฟอัตโนมัติให้บริการด้วย
ขณะเดียวกันก็มีบริการให้ใช้ห้องประชุมซึ่งไม่ได้รวมในแพ็คเกจ โดยต้องจ่ายเพิ่มต่างหากต่อครั้ง มีให้เลือกทั้งห้องเล็กและห้องใหญ่ มีค่าใช้จ่ายประมาณ 350-3,500 บาทต่อชั่วโมง
เครดิตภาพ: Business Insider
- เตรียมพร้อมอะไรบ้างเพื่อร่วมโครงการ?
ผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการต้องเข้าไปลงทะเบียนที่เว็บไซต์ Connect@Changi แล้วรอการอนุมัติ จากนั้นบริษัทจะประสานงานกับรัฐบาลสิงคโปร์เพื่อนุมัติวีซ่ากรณีพิเศษให้ (ยกเว้นประเทศอังกฤษและแอฟริกาใต้ที่สุ่มเสี่ยงมาก)
เมื่อได้รับการอนุมัติแล้ว ต้องตรวจโควิด-19 ด้วยวิธีพีซีอาร์ (PCR) ก่อนไฟลท์บิน 72 ชั่วโมง และเมื่อบินมาถึงสิงคโปร์แล้วก็ต้องตรวจอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากนั้นทางโครงการจะพาไปส่งยัง Connect@Changi ด้วยชัทเติ้ลบัส และเมื่อมาถึงแล้วยังต้องตรวจโควิดอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นต้องอยู่ในห้องพักของตนเองจนกว่าจะได้รับผลตรวจ (ไม่เกิน 6-12 ชั่วโมง) หากผลเป็นลบจะสามารถออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่ต่างๆ ของโครงการได้ แต่หากผลเป็นบวกจะต้องถูกส่งไปดูแลโดยสถานพยาบาลของสิงคโปร์ที่ควบคุมโดยกระทรวงสาธารณสุข
ทั้งนี้ระหว่างที่พักอาศัยภายใต้โครงการนี้ยังคงต้องตรวจโควิดอีก 3 ครั้ง (ในวันที่ 3, 7, และ 14)
- ลักษณะห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวก
ทางด้านห้องพัก ตอนนี้มีพร้อมเปิดให้บริการ จำนวน 150 ห้อง และอีก 660 ห้องคาดว่าจะเปิดให้บริการเดือนพฤษภาคม กลางปีนี้ ซึ่งจะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เกือบถึง 1,000 คน
เมื่อพักอยู่ที่นี่ สามารถทำทุกอย่างผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟนได้ตั้งแต่ สั่งอาหาร (ซึ่งอาหารจะมาส่งที่ลิ้นชักเล็กๆ ที่หน้าห้อง Cubbyhole) จองห้องประชุม และจองยิม เพื่อป้องกันการติดเชื้อทั้งสองฝ่าย ดังนั้นทั้งผู้พักอาศัยและสตาฟผู้ให้บริการจะไม่ต้องเผชิญหน้ากัน
เครดิตภาพ: Business Insider
ห้องพักมีด้วยกัน 3 รูปแบบ และมีค่าใช้จ่ายรวมภาษีแล้วดังนี้ 1.Executive Twin room (ประมาณ 122,810 บาท) 2. Executive King room (ประมาณ 122,810.32 บาท) และ 3. Premier King (ประมาณ 138,161 บาท) ทุกห้องมีเตียงคิงไซส์ และสามารถมองเห็นวิวทุ่งหญ้า “ลาลัง” จำลองซึ่งออกแบบมาเพื่อเป็นจุดพักสายตากับธรรมชาติ
ในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกมีจัดเตรียมไว้ให้เพียบพร้อม โทรศัพท์ในห้องพักสามารถโทรออกในพื้นที่ทั่วไปของสิงคโปร์ได้ ห้องน้ำเป็นแบบฝักบัว มีตู้เย็นขนาดจิ๋ว กาน้ำร้อน และไมโครเวฟ และที่วัดอุณหภูมิห้อง(ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญ ผู้พักควรปรับอุณหภูมิห้องตามความสบายตัว เพราะประเทศสิงคโปร์มีอากาศร้อนชื้นมาก)
ในขณะเดียวกัน ภายในห้องก็มีต้นไม้ที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีไอออไนซ์ (Ionizing) วางอยู่โต๊ะข้างเตียง ซึ่งช่วยฟอกอากาศและคลายความกังวลในห้องได้
เครดิตภาพ: Business Insider
- การจัดเตรียมอาหาร
ในส่วนอาหาร ผู้พักจะได้รับอาหารสามมื้อต่อวัน โดยสามารถเลือกเมนูอาหารได้ตามใจชอบ มีหลากหลาย ทั้งอาหารเอเชีย อาหารฝรั่ง และอาหารแบบวีแกน โดยจะบริการส่งไว้ที่ช่องเล็กๆ หน้าห้องพักแต่ละคน (ในส่วนนี้ดูแลโดย SingEx-Sphere ซึ่งบริหารศูนย์ประชุมสิงคโปร์เอ็กโป)
แต่ถ้าไม่อยากกินอาหารที่จัดบริการให้ก็สามารถสั่งอาหารร้านอื่นๆ ในสนามบินชางงีได้ ผ่านแอพฯ ของโครงการ หรือจะสั่งร้านทั่วไปด้วยการใช้แอพฯ บริการส่งอาหารอย่างแกร็บหรือฟู้ดแพนด้าเองก็ได้
- พื้นที่ธรรมชาติและชุมชนส่วนกลาง
พื้นที่ตรงใจกลางโครงการที่จำลองทุ่งหญ้าลาลัง มีชื่อว่า ซิตี้อินการ์เด้น (City in Garden) ซึ่งจำลองพื้นที่กลางแจ้งเขตร้อนของสิงคโปร์ พื้นประดับด้วยหญ้าปลอมทั้งหมด แต่ต้นไม้รอบๆ สวนพื้นที่ใจกลางประดับด้วยต้นไม้จริงทั้งหมด
นอกจากนี้ในพื้นที่ส่วนกลางใจกลางสวนยังมีพื้นที่ให้ออกมานั่งทำงานได้ที่ ศาลาโดมไม้โปร่ง ซึ่งมีอากาศไหลเวียน ออกแบบมาเพื่อให้ความรู้สึกที่ไม่เครียดในการทำงาน รวมถึงสัญญาณอินเทอร์เน็ตฟรีครอบคลุมทุกพื้นที่ ผู้พักอาศัยสามารถมาทำงานตรงนี้ รวมถึงพูดคุยกับแขกผู้พักคนอื่นๆ ได้ แต่ต้องรักษาระยะห่างอย่างน้อย 1 เมตรและใส่หน้ากากอยู่เสมอด้วย
พื้นที่ตรงนี้ออกแบบมาให้ผู้พักแต่ละคนได้สร้างคอนเนคชั่นทางธุรกิจขณะที่ใช้ชีวิตอยู่ในโครงการด้วย เช่น หากว่าคุณมาจากเยอรมัน คุณอาจได้เพื่อนร่วมงาน ร่วมโปรเจ็กต์คนใหม่ที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์ก็เป็นได้
ทั้งนี้พื้นที่นี้มีข้อกำหนดว่า สามารถใช้งานได้ไม่เกิน 30 คน เพื่อไม่ให้คนอยู่กันอย่างแน่นหนาจนเกินไป นอกจากนี้ใจกลางสนามหญ้ายังมีมุมพักผ่อน ร้านสตาร์บัคส์ที่เป็นเครื่องทำกาแฟอัตโนมัติให้บริการอีกด้วย
ไอเดียการออกแบบพื้นที่ส่วนนี้ของโครงการ มีจุดประสงค์ที่สำคัญก็เพื่อเป็นประโยชน์ควบ 2 ต่อ ทั้งการพักด้วยความเป็นอยู่ที่สะดวกสบายแล้ว ยังเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนธุรกิจ
เครดิตภาพ: Business Insider
- พื้นที่การประชุมและทำธุรกิจ
โครงการได้ออกแบบพื้นที่ในส่วนของการทำธุรกิจที่ยังคงคำนึงถึง “ความปลอดภัยและการปลอดโรค” เป็นสำคัญ สามารถนัดมาเซ็นเอกสารสำคัญ คุยกับว่าที่ผู้ร่วมงานในอนาคต หรือทำการประชุมกับคนในพื้นที่ได้ ซึ่งสอดคล้องกับส่วนหนึ่งของจุดประสงค์โครงการที่ต้องการกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศสิงคโปร์เองด้วย
สำหรับส่วนของห้องประชุม ได้มีการจัดสรรพื้นที่ห้องประชุมเป็นจำนวนกว่า 40 ห้อง คละขนาดเล็ก-ใหญ่ และกลางปีนี้จะมีเพิ่มขึ้นถึง 170 ห้องด้วย โดยห้องพวกนี้ถูกออกแบบมาไม่ให้มีหน้าต่างเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวในการทำงาน โดยสามารถจองผ่านแอพฯ ของโครงการได้ โดยที่จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ประมาณ 15-150 ดอลลาร์สิงคโปร์ ต่อชั่วโมง ตามขนาดของห้องประชุมที่ต้องการใช้
เครดิตภาพ: Business Insider
ในส่วนของห้องเล็ก แขกสามารถใช้งานได้เฉยๆ เท่านั้น แต่หากเป็นห้องประชุมใหญ่ จะสามารถพบปะแขกคนอื่นๆ ภายในประเทศได้ โดยห้องประชุมแบบใหญ่ถูกออกแบบมาด้วยนวัตกรรมกระจกกั้นกลาง (Air-tight glass) เพื่อป้องกันการสัมผัสกัน สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้ถึง 11 คน ทั้งนี้ยังมีช่องระหว่างกลางห้องประชุมที่เอาไว้ส่งเอกสารกันได้ด้วย โดยมีเทคโนโลยีแสงยูวีฆ่าเชื้อโรค (UV Sanitizing) ให้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเอกสารด้วย
นอกจากนี้ยังมีบริการเสิร์ฟอาหารให้ทานในที่ประชุมได้ด้วย ซึ่งอนุญาตให้ผู้พักในโครงการถอดหน้ากากได้เมื่อรับประทานอาหารและกลับมาสวมใส่หน้ากากเหมือนเดิมเมื่อรับประทานเสร็จแล้ว
เครดิตภาพ: Business Insider
- ยิมสำหรับออกกำลังกาย
สำหรับผู้ที่ต้องการออกกำลังกาย ทางโครงการก็ได้สร้าง ยิมพ็อด (Gym Pod) เล็กๆ ขึ้นเพื่อให้ได้ออกกำลังกายอย่างเป็นส่วนตัว โดยภายในมีเครื่องเล่นออกกำลังกายพร้อม ทั้งลู่วิ่ง เครื่องปั่นจักรยาน และเครื่องยกน้ำหนัก
สามารถใช้บริการได้ด้วยการจองผ่านแอพฯ ของโครงการ (ซึ่งสามารถใช้บริการครั้งหนึ่งได้ไม่เกิน 2 คน) และสามารถปลดล็อคประตูเข้ายิมพ็อดได้ด้วยการสแกนคิวอาร์โค้ดผ่านแอพฯเช่นกัน
เครดิตภาพ: Business Insider
- ด้านอนามัยที่โครงการให้ความสำคัญ
ในส่วนของการตรวจโควิดในระหว่างที่อยู่ในโครงการ ภายในสถานที่ได้จัดเก้าอี้เว้นระยะห่างที่ชัดเจน
เจ้าหน้าที่ที่ดูแลงานบริการภายในโครงการทุกภาคส่วนต้องสวมชุดพีพีอี (PPE) อย่างเต็มรูปแบบเพื่อป้องกันเชื้อไวรัส รวมถึงก่อนหน้านี้ทุกคนต้องได้รับการตรวจโควิดมาก่อนด้วยเช่นกัน
สำหรับคนท้องถิ่นสิงโปร์ที่เข้ามาเพื่อทำธุรกิจกับผู้ที่อาศัยอยู่ในโครงการนี้ ทางโครงการได้ออกแบบทางเข้าพิเศษจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งแยกกับทางเข้าของคนต่างประเทศที่มาอยู่ในโครงการนี้
- ความแตกต่างที่ไม่เหมือนโรงแรมและที่พักกักตัวอื่นๆ
โครงการนี้ถือเป็นโมเดลที่ปลดล็อคข้อยุ่งยาก ความไม่สะดวกสบายจากการกักตัวแบบเดิมๆ ด้วยการคำนึงถึงปัญหาสำคัญที่ผู้กักตัวทุกคนต้องเผชิญ อย่าง “ความรู้สึกไม่สบายตัวและอึดอัด” ซึ่งโดยปกติแล้วการกักตัวทั่วไปจะถูกจำกัดอิสระในการไปไหนมาไหน แต่โครงการนี้ได้ออกแบบมาเพื่อเป็นทางเลือกในการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แม้โครงการนี้อาจจะดูไม่เหมือนโรงแรมเพราะไม่มีบาร์ค็อกเทลและสระว่ายน้ำ แต่เป็นโครงการทางเลือกที่ทำให้อาจจูงใจให้คนต่างชาติตัดสินใจมายังประเทศสิงคโปร์ได้ง่าย เพราะคนที่มีความสามารถในการจ่ายเพื่ออยู่โครงการนี้ อาจเลือกที่จะตัดสินใจอยู่ในโครงการนี้ มากกว่าต้องทนกักตัวตามภาครัฐฯ โดยที่ไม่มี “สิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ และพื้นที่กว้างๆ ในการใช้ชีวิต” หรือไม่ก็ต้องทนอยู่แต่ในประเทศของตัวเอง
ในปลายปี 2564 นี้คาดว่าจะสามารถรับนักท่องเที่ยวเพิ่มได้อีกถึง 1,300 คน โดยผู้ที่สนใจเข้าร่วมโครงการที่ต้องการเดินทางมายังประเทศสิงคโปร์นี้ โครงการนี้มีราคาห้องพักเริ่มต้นปี 384 ดอลลาร์สิงคโปร์ หรือประมาณ 8,770 บาท ทั้งหมดนี้รวมที่พักอาศัย อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก และการตรวจโควิด-19 หมดแล้ว
อ้างอิง: BUSINESS INSIDER, SFGATE, Flipboard, CNBC, Connect@Changi