ใบสั่งลูกค้า... จุดกำเนิดค็อกเทลกาแฟ ‘Espresso Martini’
“ค็อกเทลกาแฟ” ถูกคิดค้นขึ้นเป็นครั้งแรกจากบาร์อังกฤษในทศวรรษ 1980 ตามใบสั่งของลูกค้าระดับวีไอพีในค่ำคืนหนึ่ง ก่อนได้รับความนิยมสูงสุดในศตวรรษที่ 21 จนกลายเป็นหนึ่งในค็อกเทลกาแฟที่โด่งดังรวดเร็วที่สุดตัวหนึ่งของโลก
มาเจาะลึกทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเครื่องดื่มที่ชื่อว่า เอสเพรสโซ มาร์ตินี่ (Espresso Martini) กัน
“เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” เป็นเครื่องดื่มค็อกเทลที่มีส่วนผสมหลักประกอบไปด้วยกาแฟเอสเพรสโซ, เหล้าว็อดก้า และเหล้าหวานกลิ่นรสกาแฟ (coffee liqueur) ในระยะหลังๆ มีการเติมน้ำเชื่อมไซรัปกลิ่นรสหลากหลายเข้าไปเพิ่มความหวาน สร้างสรรค์เป็น “ค็อกเทลกาแฟ” ที่ให้รสหวานละมุนชวนดื่ม กับความหอมนุ่มชวนหลงใหลของฟองครีม่ากาแฟ แต่ก็ซ่อนไว้ด้วยความเข้มข้นในระดับที่มากกว่า 40 ดีกรีของสุรากลั่นไร้สี!
สูตรค็อกเทลกาแฟชื่อดัง “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อประมาณเกือบ 40 ปีมาแล้ว เสิร์ฟใน "แก้วมาร์ตินี่" ทรงสามเหลี่ยม เหมาะที่จะเป็นเป็นเมนูเครื่องดื่มประจำวันหยุดสุดสัปดาห์ และงานเลี้ยงสังสรรค์ต่างๆ นานาที่ไม่ต้องการเครื่องดื่มที่หนักหน่วงมากเกินไป แค่อยากได้เครื่องดื่มเบาๆ ที่ช่วยเรียกความสดชื่นสำหรับสนทนาอย่างสรวลเสเฮฮากับมวลหมู่มิตรสหาย
หรือเป็นเครื่องดื่มหลังอาหารมื้อเย็นสำหรับคนที่กรำงานหนักมาทั้งวัน ได้ “ค็อกเทลกาแฟ” ที่มีเรื่องราวเล่าขานซึ่งเต็มไปด้วย "สีสัน" อย่าง “เอสเพรสโซ มาร์ตินี” สักแก้ว ช่วยปลุกให้ "ตื่น" จากอาการเหนื่อยล้าได้ไม่น้อยทีเดียว...
หลายๆ คนอาจไม่เชื่อว่า “เอสเพรสโซ” กับ “ว็อดก้า” จะไปด้วยกันได้ดีในฐานะของเครื่องดื่ม แต่ก็เป็นไปแล้ว ถึงกับจัดเป็นหนึ่งใน “ค็อกเทลกาแฟ” ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปและออสเตรเลีย
ตามร้านรวงที่เสิร์ฟ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” นิยมใช้เมล็ดกาแฟคั่ว 3 เมล็ดวางตกแต่งลงบนฟองครีมาของค็อกเทล เมื่อทำตรงนี้จบเรียบร้อย จึงจะถือว่าเสร็จสิ้นการทำค็อกเทล พร้อมนำไปเสิร์ฟให้ลูกค้าได้ทันที ซึ่งก็เป็นตามความเชื่อดั้งเดิมในแบบฉบับของ ชาวเมืองซัมบูก้า ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี เนื่องจากเมล็ดกาแฟ 3 เมล็ด เป็นตัวแทนของความหมาย 3 ประการ ได้แก่ ความแข็งแรง, ความร่ำรวย และความสุข
เรียกว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี” เห็นปุ๊บรู้ปั๊บเลยว่าคือ “ค็อกเทลกาแฟ” สูตรนี้ ไม่ต้องเสียเวลาเทสกันให้มาก
ความจริงแล้ว “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับ "ค็อกเทลมาร์ตินี่" เลย ไม่มีทั้งส่วนผสมหลักของมาร์ตินี่อย่างยินและเวอร์มุธ และก็ไม่ได้ตกแต่งด้วยมะกอกแต่อย่างใด แต่ก็ไม่น่าแปลกใจ ค็อกเทลหลายๆ สูตรก็ยืมคำมาร์ตินี่มาใช้ เพราะมาร์ตินี่เป็นคำฮิตตลอดกาลของวงการค็อกเทลอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นเมนูสุดโปรดของ "เจมส์ บอนด์" พยัคฆ์ร้าย 007 ที่เห็นสั่งมาจิบเป็นประจำในจอภาพยนตร์
ในกรณีของ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” นั้น เข้าใจว่าผู้คิดค้นคนแรกมีความปรารถนาที่จะปั้นสูตรให้กลายเป็นมาร์ตินี่ประดับ “วงการกาแฟ” หลังจากเปลี่ยนมาแล้วหลายชื่อด้วยกัน ด้วยเดิมทีนั้นก็ใช้ว่า "ว็อดก้า เอสเพรสโซ"
ไม่ต่างไปจาก “สูตรกาแฟ” ที่โด่งดังขึ้นมาในระยะหลังๆ เรื่องราวของผู้เบื้องหลังมักมีข้อมูลหลายชุดและหลายมุมมอง แต่เรื่องที่ดูเหมือนมีน้ำหนักมากที่สุดและได้รับความเชื่อถือมากที่สุด ก็คือ การยกเครดิตผู้คิดค้น “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” ให้แก่ ดิค แบรดเซลล์ บาร์เทนเดอร์ชาวอังกฤษ ผู้มีชื่อเสียงแห่งย่านโซโหของกรุงลอนดอน ในประเทศอังกฤษ ที่ว่ากันว่าเป็นผู้สรรค์สร้างเมนูนี้ขึ้นมาเมื่อ 38 ปีที่แล้วมา ขณะทำงานที่บาร์ชื่อ โซโห บราสเซอรี่ส์
จุดกำเนิดของ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” ได้รับการกล่าวขวัญถึงตามเว็บไซต์อาหารและเครื่องดื่มจำนวนมาก ตัวแบรดเซลล์เองก็ให้สัมภาษณ์ถึงต้นสายปลายเหตุไว้อย่างชัดแจ้งตามสื่อต่างๆ รวมไปถึงคลิปวิดีโอในแพล็ตฟอร์มชื่อดังด้วย ..เรื่องมีอยู่ว่า ค่ำคืนวันหนึ่งของปีค.ศ. 1983 แบรดเซลล์ในฐานะบาร์เทนเดอร์ เขาได้รับคำขอจากหญิงสาวผู้โด่งดังระดับซูเปอร์โมเดลในวงการแฟชั่น ให้ช่วยหาเครื่องดื่มอะไรก็ได้ที่ทำให้ "ดื่ม" แล้ว "ตื่น" หน่อยเถอะ...โดนแบบนี้จะเรียกว่าเจอใบสั่งเข้าให้แล้วก็คงไม่ผิดนัก
...ที่จริงมีประโยคต่อมาด้วย แต่ผู้เขียนขอเว้นวรรคเอาไว้ เพราะหากเขียนลงไปตรงๆ ดูจะไม่เหมาะสมเท่าใดนัก เอาเป็นว่าขออนุญาตให้ท่านผู้อ่านไปค้นหากันเอาเองก็แล้วกันครับ
แบรดเซลล์เล่าถึงแรงบันดาลใจเมื่อได้รับใบสั่งจากวีไอพีให้ทำเครื่องดื่มในค่ำคืนนั้นว่า ตอนนั้นมีเครื่องชงกาแฟอยู่ใกล้ๆ กับจุดที่เขาทำเครื่องดื่มเป็นประจำ ส่วนว็อดก้าก็เป็นเหล้าที่ดื่มกันได้ทั่วไป เลยนึกว่าควรจะใช้กาแฟเอสเพรสโซกับว็อดก้าเป็นส่วนประกอบหลัก แล้วตัดสินใจใช้ กระบอกเช็คเกอร์ เป็นอุปกรณ์ช่วยคนให้ส่วนผสมเข้าด้วยกัน ใส่ก้อนน้ำแข็งลงไปในเช็คเกอร์ด้วยเพื่อให้เป็นเครื่องดื่มเย็น จากนั้นก็เขย่าตามสไตล์ของการทำค็อกเทล แต่แนะนำให้เขย่าแรงๆ สัก 30 วินาที ฟองครีมาของกาแฟจะออกมานุ่มและละเอียดทีเดียว
ในเป้าหมายของแบรดเซลล์นั้น ต้องการให้เกิดรสชาติค็อกเทลที่ผสมผสานกันระหว่าง "ขมอมหวาน" (bittersweet ) ...เมื่อดื่มแล้วร่างกายจะตื่น หายจากอาการงัวเงีย ตามแรงปรารถนาของหญิงสาวผู้สั่งเครื่องดื่มรายนั้น
พร้อมกันนั้น บาร์เทนเดอร์ซึ่งในเวลาต่อมากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในระดับตำนานเลยทีเดียว ได้ใช้แก้วค็อกเทลมาทำหน้าที่เสิร์ฟเครื่องดื่มสูตรใหม่ที่บังเอิญคิดค้นขึ้น ซึ่งตอนนั้นค็อกเทลทุกประเภทมักเสิร์ฟในแก้วทรงสามเหลี่ยมหรือรูปตัววีที่เรียกกันว่าแก้วมาร์ตินี่
อย่างไรก็ดี พอเห็นส่วนผสมตั้งต้น 2 ใน 3 ของค็อกเทลกาแฟตัวนี้ ผู้เขียนเองก็นึกขึ้นได้ว่า คลับคล้ายกับสูตรค็อกเทลของรัสเซีย นั่นคือ แบล็ค รัสเซี่ยน (Black Russian) ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปีค.ศ. 1949 ประกอบด้วยว็อดก้าและเหล้าหวานรสกาแฟ ไม่แน่ใจว่า บาร์เทนเดอร์ชาวอังกฤษได้ไอเดียมาจากค็อกเทลตัวนี้หรือไม่
อ้อ..เกือบลืม แบรดเซลล์ไม่เคยเปิดเผยแม้แต่ครั้งเดียวว่าซูเปอร์โมเดลคนนี้คือใคร แต่ในหลายๆ เว็บไซต์ ระบุตรงกันว่าเธอคือ "นาโอมิ แคมป์เบลล์" หนึ่งในสุดยอดนางแบบของอุตสาหกรรมแฟชั่น ณ เวลานั้น
"ว็อดก้า เอสเพรสโซ" เป็นชื่อเรียกที่แบรดเซลล์ตั้งให้กับค็อกเทลใหม่ที่เพิ่งทำขึ้นมา ประกอบด้วยเอสเพรสโซร้อน, ว็อดก้า 2 ช้อต, สุราหวานรสกาแฟ 2 ชนิดได้แก่ คาห์ลัว กับเทียมาเรีย (ที่ใช้กาแฟบลูเม้าเท่นของจาไมก้าเป็นส่วนผสม) และน้ำตาลไซรัป ซึ่งต่อมา สูตรนี้ก็กลายเป็นสูตรดั้งเดิมไปเสียแล้ว เพราะมีการแตกหน่อ สูตรออกไป เปลี่ยนนี่นิด จูนโน่นหน่อย จนต่างออกไปจากต้นตอเล็กน้อย แต่ส่วนประกอบหลักๆ ยังคงเป็นเอสเพรสโซ, วอดก้า และสุรากลิ่นรสกาแฟ
อีกหลายปีต่อมา ชื่อค็อกเทลก็ถูกปรับเปลี่ยนไปเป็น "เอสเพรสโซ มาร์ตินี่" หลังจากแบรดเซลล์ได้เข้าไปทำงานที่แมทช์ บาร์ แต่เรื่องชื่อยังไม่ยุติเท่านี้ ในปีค.ศ. 1998 แบรดเซลล์พยายามเปลี่ยนค็อกเทลนี้อีกครั้ง โดยเรียกเสียยาวเหยียดว่า "Pharmaceutical Stimulant" แปลเป็นไทยก็ประมาณว่า ยาหรือสารกระตุ้น ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ตั้งใจให้สอดคล้องกับชื่อสถานที่ทำงานใหม่ที่บาร์เทนเดอร์รายนี้เข้าไปประจำการ คือ "Pharmacy" ซึ่งมีพิกัดร้านอยู่แถวๆ น็อตติ้งฮิลล์
ในที่สุด...ก็กลายเป็นค็อกเทลสูตรเดียวแต่มีถึง 3 ชื่อด้วยกัน อย่างไรก็ตาม ชื่อ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” ดูจะเป็นที่ยอมรับและจดจำมากที่สุด!
ยุคทศวรรษ 1980 และ 1990 เป็นช่วงเวลาที่เอสเพรสโซ มาร์ตินี่ เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ กระแสมาแรงจัดในกลุ่มคนที่มีรสนิยมและความพิถีพิถันทางเครื่องดื่มทั้งในยุโรปและออสเตรเลีย ก่อนจะแพร่ขยายเข้ามายังเอเชีย ส่วนในอเมริกา ค็อกเทลกาแฟตัวนี้ถูกนำไปปู้ยี่ปู้ยำเสียหมดราคาเช่นเดียวกับเครื่องดื่มยอดนิยมตัวอื่นๆ ที่ตกเป็น "เหยื่อทางการตลาด" โดนเอาชื่อไปใช้ผลิตเป็นเครื่องดื่มที่ใช้ส่วนผสมต่ำกว่ามาตรฐาน เพื่อตั้งราคาขายให้ถูกเอาไว้ หวังกำไรแต่ถ่ายเดียว จนท้ายที่สุด ชื่อเสียงของ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” ก็ถูกทำลายลงไป
ปัจจุบัน “ค็อกเทลกาแฟ” ตัวนี้ ถูกนำไปต่อยอดเพิ่มมูลค่าด้วยการใช้ กาแฟแบบพิเศษ (Specialty Coffee) มาเป็นส่วนผสม เพื่อให้สอดรับกับและวัฒนธรรมการบริโภครสนิยมการดื่มกาแฟของคนรุ่นใหม่ เมล็ดกาแฟสายพันธุ์อาราบิก้าที่บาริสต้าตามร้านรวงคาเฟ่เลือกใช้ นิยมกลิ่นรสเฉพาะตัวที่โดดเด่น จากแหล่งปลูกที่มีชื่อเสียงของโลก ทั้งกลิ่นรสโทนผลไม้เปรี้ยว, ช็อคโกแลต, ถั่วเปลือกแข็ง, สมุนไพร, เครื่องเทศ และฯลฯ ขึ้นอยู่กับสูตรและสไตล์ของบาริสต้าแต่ละคน
อย่างสูตร “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่” ของ จอร์จ คูสตูมพาร์ดิส ชาวกรีก แชมป์โลกกาแฟสาย Good Spirits (กาแฟผสมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์) ประจำปี 2015 นั้น ไม่ใช้เหล้าหวานรสกาแฟเป็นส่วนผสมแต่ประการใด เขาเลือกใช้เอสเพรสโซ 2 ช้อต, น้ำตาลไซรัป และว็อดก้าคุณภาพดี เพิ่มตัวกรองเป็น 2 ชั้นจากฟิลเตอร์ในเช็คเกอร์และจากตะแกรงกรองสเตนเลส ที่เรียกว่า double strain สร้างให้โฟมฟองกาแฟมีความละเอียดมากยิ่งขึ้น ถือเป็นอีก “เคล็ดลับ”ของค็อกเทลสุดคลาสสิคตัวนี้
ส่วนกาแฟที่นำมาใช้นั้น เป็นเมล็ดกาแฟที่ให้รสโทนหวานพร้อมกลิ่นผลไม้&ดอกไม้ แชมป์โลกชาวกรีกบอกว่า เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดรสชาติอันยอดเยี่ยมของ “เอสเพรสโซ มาร์ตินี่”
หรืออย่างกาแฟเข้มข้นที่ใช้เป็นส่วนผสมนั้น แรกเริ่มทำจากเครื่องชงเอสเพรสโซ ต่อมาก็มีการใช้ทั้งแอโรเพรส และมอคค่า พ็อต เป็นตัวเลือกใหม่ๆ
คำแนะนำสำหรับผู้ที่ใคร่ลิ้มลอง... แม้ "เอสเพรสโซ มาร์ตินี่" จะเป็นเครื่องดื่มที่พบได้ทั่วไป หาดื่มได้ไม่ยากนักตามคาเฟ่ในต่างประเทศ แต่โปรดอย่าลืมว่า “สูตรกาแฟ” ตัวนี้มีส่วนผสมของทั้งแอลกอฮอล์และคาเฟอีน จึงควรระมัดระวังตัว และรู้จักระดับสุขภาพตัวเองขณะดื่มด้วยครับ