‘สงกรานต์’ ฤกษ์ดี ละดื่มมึนเมา ลดเสี่ยง ‘มะเร็งตับ’

‘สงกรานต์’ ฤกษ์ดี ละดื่มมึนเมา ลดเสี่ยง ‘มะเร็งตับ’

“สงกรานต์” เทศกาลสนุกปีนี้ สถาบันมะเร็งแห่งชาติขอเตือนภัย “มะเร็งตับ” โรคร้ายที่พรากลมหายใจคนไทยมากที่สุด เลี่ยงเครื่องดื่มมึนเมาได้..กรุณาโปรดเลี่ยง

เทศกาล สงกรานต์ แห่งเดือนเมษายนของทุกปี เป็นเทศกาลที่ใครหลายคนเฝ้ารอ เพราะเป็นวันหยุดยาวของประเทศไทย และเป็นโอกาสที่ลูกหลานซึ่งจากบ้านเกิดไปทำงานต่างถิ่นใช้เป็นโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมเยียนรดน้ำดำหัวพ่อแม่และญาติพี่น้อง เข้าวัดทำบุญ เล่นสนุกสาดน้ำใส่กัน

แม้ว่าในปี 2564 นี้ รัฐบาลจะขอความร่วมมือ งดจัดกิจกรรมที่รวมตัวกันของคนจำนวนมากที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโรค โควิด-19 ได้แก่ งดสาดน้ำ งดประแป้ง งดจัดคอนเสิร์ต และงดปาร์ตี้โฟม  

แต่กิจกรรมที่ส่งเสริมประเพณีอันดีงามและพิธีทางศาสนา อาทิ พิธีสรงน้ำพระ พิธีรดน้ำดำหัว ไหว้พระขอพร ยังคงกระทำได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องรักษาระยะห่าง สวมหน้ากากอนามัย

161827739420

ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับ “มะเร็งตับและท่อน้ำดี” (credit photo: http://allaboutcancer.nci.go.th)

อย่างไรก็ตาม เมื่อขึ้นชื่อว่าเทศกาลแล้ว องค์ประกอบหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นของคู่กันก็คือ เครื่องดื่มมึนเมา จำพวกแอลกอฮอล์ มีการศึกษาพบว่า

  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 41-80 กรัมต่อวัน ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับ 1.5 เท่า ถ้าดื่มมากกว่า 80 กรัมต่อวัน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นขึ้นเป็น 7.3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ดื่มหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์น้อยกว่า 40 กรัมต่อวัน (1)
  • ถึงแม้ว่าจะหยุดดื่มแล้วก็ตาม แต่ความเสี่ยงต่อการเกิด มะเร็งตับ ก็จะไม่ลดลง(1)
  • ข้อมูลสถิติจากกองทุนวิจัยมะเร็งโลกในปี 2561 เผยว่ามะเร็งตับเป็นมะเร็งที่มีอุบัติการณ์สูงสุดเป็นอันดับที่ 5 ในผู้ชาย และอันดับที่ 9 ในผู้หญิงทั่วโลก โดยพบผู้ป่วยใหม่กว่า 840,000 ราย ในปี 2561
  • ข้อมูลจากการวิจัยระบุว่า ยอดผู้ป่วยมะเร็งตับในประเทศไทยติดอันดับ 8 ของโลก โดยมีอัตราความชุกของโรคมะเร็งตับอยู่ที่ 21 รายต่อประชากร 100,000 คน (2)

ทั้งนี้ กรมการแพทย์ โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ เผยว่าในปี 2563 มะเร็งตับ เป็นมะเร็งที่พบในคนไทยมากเป็นอันดับ 1 แต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ราว 16,000 ราย  ปัจจัยเสี่ยงประกอบไปด้วย

  1. การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี
  2. การบริโภคอาหารที่มีไขมันสูงและโรคอ้วน
  3. การบริโภคแอลกอฮอล์เกินปริมาณที่เหมาะสม
  4. การสัมผัสกับสารอะฟลาท็อกซิน อาหารที่มีดินประสิว และอาหารหมักดอง ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่เกิดจากเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารต่างๆ

161827498268

พงศ์พสิน นวลละออ อดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ

พงศ์พสิน นวลละออ อดีตผู้ป่วยโรคมะเร็งตับ บอกเล่าประสบการณ์ของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นอาการ แนวทางการรักษา และการใช้ชีวิตหลังจากที่รักษาหายแล้วว่า

“ทีแรกผมไปตรวจเจอ ไวรัสตับอักเสบซี เมื่อปี 2551 กว่าจะรักษาจนค่าไวรัสตับอักเสบซีกลายเป็นศูนย์ ใช้เวลา 2-3 ปี จึงกลับไปใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนคนทั่วไป ทานอาหารตามใจปาก จนไม่นานร่างกายก็เริ่มส่งสัญญาณ

ผมเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบๆ ใต้ซี่โครงด้านขวา ก่อนจะลามไปที่ไหล่ และง่วงนอนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตัดสินใจไปปรึกษาอาจารย์หมอ

หลังวินิจฉัยแล้วแพทย์ยืนยันว่าพบ เซลล์มะเร็งที่ตับ ตอนนั้นเป็นช่วงปลายปี 2553 แต่แค่เพียงปีกว่าๆ มะเร็งกลับลุกลามไปถึงระยะสุดท้าย

ระหว่างนั้นผมก็เข้ารับการรักษากับอาจารย์หมอมาตลอด จนกระทั่งปลายปี 2555 ผมสังเกตได้ว่าท้องจากที่เคยมีอาการบวม ค่อยๆ ยุบลงทีละน้อย สภาพร่างกายฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อมองย้อนกลับไป ความรู้สึกแรกเมื่อตรวจเจอมะเร็งตับ คือสภาพจิตใจห่อเหี่ยว ท้อแท้ หมดหวัง จากที่เคยใช้ชีวิตได้อย่างคนปกติ ก็กลับเบื่ออาหาร ถ่ายเป็นสียางมะตอยสัปดาห์ละครั้ง แพทย์ต้องให้มอร์ฟีนทุก 6 ชั่วโมง ในแต่ละวัน ผมโดนฉีด 4 เข็ม แต่มอร์ฟีนเข็มหนึ่งออกฤทธิ์เพียง 2 ชั่วโมง แปลว่าอีก 4 ชั่วโมงต้องทรมานกับความเจ็บปวด

นอกจากร่างกายจะได้รับผลกระทบจากโรคแล้ว สภาพจิตใจก็เช่นกัน ตลอดเวลาที่ป่วย สมองครุ่นคิดอยู่เพียงแต่เรื่องเดียวคือเรื่องโรค

แวบหนึ่งผมคิดถึงครอบครัวซึ่งเปรียบเหมือนประกายความหวังเล็กๆ แม้ว่าตอนนั้นโอกาสรอดยังดูริบหรี่ แต่ด้วยกำลังใจที่ยังเข้มแข็ง เราจึงบอกตัวเองว่ายังตายตอนนี้ไม่ได้ เราต้องสู้

ผมนึกถึงคนข้างหลังที่คอยดูแล มอบความรัก ความห่วงใย ไม่ทอดทิ้งให้ผมเผชิญหน้ากับโรคร้ายเพียงลำพัง ภรรยายอมหยุดงานเป็นปีเพื่อดูแลผมและยอมขายที่ดินใจกลางเมืองถึง 3 แปลง เพื่อนำมาจุนเจือค่ารักษาและค่าใช้จ่ายภายในบ้าน

161827819020

กินผักครึ่ง อย่างอื่นครึ่ง ลดไขมัน ป้องกันมะเร็ง (credit photo: http://allaboutcancer.nci.go.th)

คุณ พงศ์พสิน แบ่งปันประสบการณ์การรักษามะเร็งตับระยะสุดท้ายไว้ด้วยว่า

“ตอนนั้นร่ายกายผมอ่อนแอเกินกว่าจะเข้ารับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด แพทย์จึงเริ่มด้วยการ ฉีดยาเพื่อบล็อกเส้นเลือดซึ่งไปเลี้ยงเซลล์มะเร็ง ส่งผลให้ก้อนมะเร็งตับเดิมขนาด 21 เซนติเมตร ฝ่อลงเหลือเพียง 7 เซนติเมตรเท่านั้น ท้องที่เคยบวมจึงค่อยๆ ยุบลง

ต่อมาแพทย์จึงใช้ วิธีการจี้ โดยแจ้งให้ผมทราบก่อนถึงความเสี่ยงของการรักษาด้วยแนวทางนี้ ว่าตับของคนเรามีเส้นเลือดมาเลี้ยงมากมาย ซึ่งอาจเกิดความผิดพลาดได้ ผมเป็นเคสหนึ่งที่โชคไม่ดีนัก เนื่องจากจี้ไปโดนเส้นเลือดแตก ทำให้แพทย์ต้องระงับการรักษาทันทีเพื่อนำผมเข้าไอซียู

10 ชั่วโมงผ่านไป ผมจึงได้ออกจากไอซียูและอยู่ภายใต้ความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด หลังจากนั้นก็มีโอกาสได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับใหม่ ในที่สุดร่างกายก็ฟื้นฟูและหายขาดจากโรคในที่สุด

การปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดก็เป็นสิ่งสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ผมไปพบแพทย์ทุกครั้งตามนัด เลือกรับประทานอาหารให้เหมาะสม พักผ่อนอย่างเพียงพอ เพื่อถนอมตับใหม่ให้ทำงานได้อย่างดีที่สุด

ผมอยากฝากถึงผู้ป่วยคนอื่นๆ ที่กำลังต่อสู้กับโรคอยู่ว่าการเป็นมะเร็งไม่ได้แปลว่าต้องเสียชีวิตเสมอไป เราต้องมีความหวังและเชื่อมั่นในความก้าวหน้าทางการแพทย์“

161827507136

นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ

ขณะที่ นพ.จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการสถาบันมะเร็งแห่งชาติ (National Cancer Institute: NCI) กล่าวถึง ปัญหาของโรคมะเร็งตับ ในสังคมปัจจุบันว่า

“จากข้อมูลทะเบียนมะเร็งประเทศไทยที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติเป็นผู้รวบรวม ปัจจุบันพบว่า มะเร็งตับเป็นมะเร็งที่คร่าชีวิตชายไทยเป็นอันดับ 1 และ หญิงไทยเป็นอันดับ 2 โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบเเพทย์ในระยะลุกลาม อาจจะเนื่องมาจากโรคนี้ไม่เเสดงอาการในระยะเริ่มต้น ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเสียชีวิตในเวลาไม่นาน เพราะการรักษาปัจจุบันยังมีข้อจำกัด

ประกอบกับข้อมูลที่ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดการณ์ว่า ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ คือมีสัดส่วน ประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปสูงถึงร้อยละ 20 ในปี ..2564 ยิ่งอาจจะทำให้สถานการณ์โรคมะเร็งตับในประเทศไทยเลวร้ายลง เพราะผู้ป่วยบางรายเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ทำให้เกิดความสูญเสียของเเรงงานเเละศักยภาพในการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเเละพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ

มีการประมาณการว่ามูลค่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจจากโรคมะเร็งตับที่เกิดจากการบริโภคแอลกอฮอล์เพียงปัจจัยเดียวก็สูงถึง 11,836 ล้านบาทในเพศชาย เเละ 706 ล้านบาทในเพศหญิง (1)  

จากสถานการณ์เเละผลกระทบดังกล่าวเราอาจจะต้องพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาผู้ป่วยมะเร็งตับให้ดีขึ้นต่อไป เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร และผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต”

161827884394

สถาบันมะเร็งแห่งชาติ (credit photo:  http://ncicheckup.nci.go.th)

ณ วันนี้ โรคมะเร็งตับ จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป คนไทยจำนวนไม่น้อยอาจกำลังเผชิญกับความเสี่ยง ยิ่งในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมถึงงานรื่นเริงที่มีตลอดทั้งปี ความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับจะมากหรือน้อยต่างขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคล ไม่ว่าเป็น การรับประทานอาหาร การดื่มแอลกอฮอล์ และ การพักผ่อนที่เพียงพอ รวมทั้ง การตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความเสี่ยงหรือหาทางป้องกัน

แม้มะเร็งตับจะถือเป็นภัยร้ายที่จู่โจมร่างกายอย่างเงียบๆ แต่โรคนี้ก็ยังมีโอกาสรักษาหาย

เพื่อให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวและคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป

*  * * * *

หมายเหตุ :-

(1) “มะเร็งตับ.” หน่วยสารสนเทศมะเร็ง, โรงพยาบาลสงขลานครินทร์, 19 Jan. 2009

(2) "Liver Cancer Statistics." World Cancer Research Fund. American Institute for Cancer Research, 2018