จิตแพทย์ชี้บทเรียน ‘มีล่า กามิกาเซ่’ ปกปิดความรุนแรงในครอบครัวไม่แก้ปัญหา

จิตแพทย์ชี้บทเรียน ‘มีล่า กามิกาเซ่’ ปกปิดความรุนแรงในครอบครัวไม่แก้ปัญหา

นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิตชี้บทเรียนจากเคส “มีล่า กามิกาเซ่” การปกปิดความรุนแรงในครอบครัวไม่ช่วยแก้ปัญหาอะไร มีแต่จะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น

เกิดเรื่องสลดใจขึ้นในวันครอบครัว 14 เมษายน 2564 เมื่อ ‘มีล่า จามิล่า’ หรือ ‘มีล่า กามิกาเซ่’ อดีตนักร้องดังวงกามิกาเซ่ ได้ได้โพสต์ไอจีสตอรีผ่านแอคเคานท์ milapanpinij ของเธอที่มีผู้ติดตามกว่า 120,000 คนว่าตัวเธอถูกน้องชายแท้ๆ ทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสเมื่อ 2 ปีที่แล้ว แต่ทางครอบครัวให้ปกปิดเรื่องราวเอาไว้จนทำให้เธอกลายเป็นโรค PTSD หรือ สภาวะจิตใจของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้าย

จนวันนี้ หลังจากที่เหตุการณ์ผ่านไปแล้ว 2 ปี มีล่าได้ตัดสินใจออกมาเปิดเผยความจริงให้คนทั่วไปได้รับรู้เพราะเพราะทนไม่ไหวแล้ว เนื่องจากอาการ PTSD ทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตได้ปกติเหมือนเดิม

161838040292

161838041864

สำหรับรายละเอียดเหตุการณ์ที่ ‘มีล่า’ เล่าเอาไว้ในไอจีสตอรี่เมื่อคืนวันที่ 13 เมษายนที่ผ่านมามีดังนี้

“วันอาทิตย์ที่ 2/6/19 มีล่าได้นอนพักผ่อนอยู่บ้านเนื่องจากวันต่อมาต้องเข้าออฟฟิศไปทำงาน (ตอนนั้นทำงานอยู่บริษัทจันทร์ถึงศุกร์) ตอนนั้นมีแค่น้องชายและแม่บ้านที่อยู่ในบ้านด้วยกัน คุณแม่ไปเที่ยวภูเก็ตพอดีและพี่สาวกลับมาบ้านตอนค่ำ ตอนกลางวันไม่มีปัญหาอะไร เล่นกับสุนัขและคุยกับแฟนในห้องตัวเอง คืนนั้นก็เข้านอนปกติประมาณเที่ยงคืน ส่วนตัวไม่ lock ประตูห้องนอนอยู่แล้ว เพราะแม่กับพี่สาวชอบเข้ามาตอนเช้ามายืมของหรือใช้ของของเรา

รู้ตัวอีกทีคือมีล่าตื่นเพราะมีอะไรมาเสียบในหัว พอลืมตาก็ต้องต่อสู้เพื่อชีวิตแล้ว น้องชายของมีล่าที่มีอายุ 19 ปี ณ ตอนนั้น กำลังใช้มีดจากห้องครัว stab ที่ศีรษะของมีล่าอยู่ มีล่าใช้กำลังทั้งหมดในการสู้กับมีดและแรงของผู้ชายสูงกว่า 190 cm หนักเกือบ 100 โล (อันนี้เป็น estimate นะคะเพราะไม่ทราบตัวเลขจริงแต่เขาสูงที่สุดในบ้าน และตัวใหญ่ที่สุดในบ้าน แถมเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้านด้วย) ตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าบาดเจ็บสาหัสแค่ไหน รู้แค่ว่าตาข้างซ้ายมองไม่เห็น และหูข้างซ้ายไม่ได้ยิน เห็นรอยแผลบนแขนตัวเองจนถึงเนื้อข้างในไม่รู้ว่าชั้นไขมันหรือกระดูก มีล่าตะโกนขอความช่วยเหลือจนไม่มีเสียงเหลือ มีล่าเอามือกำใบมีดถึงแม้รู้ว่ามันจะบาดแต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วที่จะหยุดเขา ในที่สุดพี่สาวของมีล่าก็ตื่นแล้วมาหยุดเขา

สองปีที่ผ่านมา มีล่าได้ย้ายไปอยู่คอนโดกับแฟน และไม่กล้ากลับไปเหยียบที่บ้านนั้นอีกเลย

ตอนมีล่ามีสติแล้วก็ได้บอกครอบครัวว่าไม่ยอมแล้วต้องแจ้งความ แต่ครอบครัวบอกว่าถ้าแจ้งความเรื่องนี้จะเป็นข่าว อยากให้ทั้งโลกรู้หรอว่ามีน้องเป็นบ้า อยากให้ทุกคนจำว่าเป็นนักร้องคนนั้นที่ถูกน้องชายเอามีดแทงจนเกือบตายเหรอ

ทางครอบครัวมีล่าได้สัญญาว่าจะจัดการกับน้องอย่างเหมาะสม และจะไม่ให้เค้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมีล่าอีก

อย่างที่แจ้งไป เหตุการณ์นี้ทำให้มีล่าเป็น PTSD ช่วงเดือนแรกแรกแค่เสียงแตรรถก็ทำให้สะดุ้งแล้วค่ะ ระแวงและกลัวทุกอย่าง ฝันร้ายทุกคืนว่าถูกกระทำแล้วไม่มีใครมาช่วย

ถามครอบครัวว่าน้องชายอยู่ไหนมี punishment (การลงโทษ) หรืออะไรเกิดขึ้นไหม ก็ไม่ได้คำตอบ หรือได้คำตอบแบบ vague (คลุมเครือ) มาก

subconsciously (จิตใต้สำนึก) มีล่ากลัวและเครียดมากไม่รู้จะหาทางออกยังไง”

161838046711

161838047926

นอกจากเล่าเหตุการณ์แล้ว ในไอจีสตอรี่ของมีล่ายังมีภาพที่เธอถูกทำร้ายอย่างรุนแรงเอาไว้ด้วย ส่วนเหตุผลที่เธอตัดสินใจออกมาพูดในวันนี้นั้น มีล่าบอกว่าเป็นเพราะทนไม่ไหวแล้ว อาการ PTSD ทำให้เธอไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติเหมือนเดิม

“เหตุผลที่มีล่ามาบอกทุกคนวันนี้ก็เพราะว่าอึดอัดใจมาก ไม่อยากเก็บความลับแล้ว และที่สำคัญคือในระยะเวลาสองปีที่ผ่านมา ทางครอบครัวได้ปิดบังที่อยู่และทุกอย่างที่เกี่ยวกับน้องชายค่ะ

มีล่าใช้ชีวิตหวาดระแวงมานานเกินไปแล้ว มีล่าต้องการความยุติธรรม

เท่าที่รู้คือทางครอบครัวพาน้องไปศรีธัญญาแต่เค้าไม่อนุญาตให้แอดมิดเกินสองเดือนเพราะไม่ใช่เคสที่หนักหนาขนาดนั้น และมีล่าได้ยินมาว่าคืนที่เค้าทำร้ายร่างกายมีล่าเค้าเมามาก ไม่ใช่แค่ปัญหาทางจิตที่ทำให้เค้าลงมือ ที่ผ่านมาเค้าใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านเหมือนเดิม มี mac book, play station ใช้ชีวิตเหมือนเดิมกับครอบครัว ทั้งทั้งที่มีล่าต้องย้ายออกมา”

"เหตุผลที่ออกมาพูดวันนี้ก็เพราะว่าทนไม่ไหวแล้ว หลังจากเหตุการณ์นี้คุณหมอจิตแพทย์ได้ diagnose (วินิจฉัย) มีล่าว่าเป็น PTSD (Post Traumatic stress Disorder) การใช้ชีวิตให้ปกติของมีล่าไม่เหมือนเดิมเลยในสองปีที่ผ่านมา ตอนนั้นตาข้างซ้ายเปิดไม่ได้ มีแผลเป็นเต็มครึ่งบนของร่างกายรวมถึงศีรษะ คนที่ไม่รู้ก็ล้อว่าทำไมผมแหว่ง ทำไมไม่ถอดแว่นเลยตาบอดหรอ เราก็อยากบอกความจริงแต่ก็ต้องทำเป็นเนียนไปเพราะกลัวสิ่งที่ครอบครัวเตือนมา"

161838050374

  • จิตแพทย์ชี้ การปกปิดความรุนแรงในครอบครัวไม่ช่วยอะไร

สำหรับเคสของ ‘มีล่า กามิกาเซ่’ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต ได้ให้สัมภาษณ์ทีมข่าว ‘จุดประกาย’ ว่า ในฐานะจิตแพทย์คงไม่สามารถวิเคราะห์เคสที่เกิดขึ้นได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในเคสนี้แล้วสามารถนำมาเป็นบทเรียนสำหรับคนในสังคมได้ต่อไปก็คือ เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงจากคนในครอบครัวขึ้น การปกปิดเรื่องราวเอาไว้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา แต่กลับยิ่งจะทำให้ความรุนแรงเพิ่มขึ้น ตลอดจนทำให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อเกิดอาการซึมเศร้า หรือเป็นโรค PTSD (ภาวะจิตใจของผู้ป่วยได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจากเหตุการณ์เลวร้าย) ตามมา

สำหรับทางออกที่ดีที่สุดนั้น นพ.ยงยุทธกล่าวว่าคือการใช้ประโยชน์จากกฎหมายพิเศษที่ประเทศไทยเรามีอยู่แล้ว นั่นคือ ‘พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว’ พ.ศ.2550 เพราะโดยธรรมชาติแล้วปัญหาความรุนแรงในครอบครัวจะเป็นเรื่องภายในที่ถูกปกปิด คนนอกมักจะไม่รู้ แต่กฎหมายนี้จะมีกระบวนการพิเศษให้ผู้ถูกกระทำสามารถขอความช่วยเหลือทั้งจากแพทย์ เจ้าหน้าที่ปกครอง ตลอดจนตำรวจ จากนั้นจะมีกระบวนการเข้ามาช่วยไม่ให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความลับ เหยื่อจึงสามารถได้รับความช่วยเหลือ เช่น ให้ไปอยู่ในสถานที่พิเศษ มีเจ้าหน้าที่เข้ามาดูแล ฯลฯ

สำหรับผู้ที่กระทำความรุนแรงในครอบครัวนั้น จำนวนหนึ่งเป็นผู้ป่วยทางจิต แต่ส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ป่วย ซึ่ง พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัวก็จะดำเนินการแก้ไขไปตามความเหมาะสม

นพ.ยงยุทธกล่าวปิดท้ายว่าปัจจุบันประเทศไทยมีอัตราการใช้ความรุนแรงในครอบครัวอยู่ราว 10 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัว ซึ่งถ้าหากเกิดเหตุการณ์นี้แล้วผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ รวมถึงผู้ก่อเหตุได้รับการดูแล วินิจฉัย และแก้ไขอย่างถูกวิธีตั้งแต่ต้นก็จะช่วยให้ปัญหาบรรเทาลงได้ แต่ถ้าปล่อยเอาไว้ความรุนแรงมีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ