‘โจแฮนสัน’ v ‘ดิสนีย์’ ศึกใหญ่ที่อาจขีด 'บรรทัดฐานใหม่' ให้กับวงการภาพยนตร์
"Black Widow" กำลังทำศึกใหญ่ ไม่ใช่กับใคร แต่กับ “ดิสนีย์” สตูดิโอผู้สร้างหนังเรื่องนี้เอง...จับตาดูให้ดี เพราะศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก และอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่สตรีมมิงเข้ามามีบทบาทมากขึ้นได้
‘สการ์เลตต์ โจแฮนสัน’ เป็นที่รู้จักกันดีจากบทบาท Black Widow สายลับหญิงแกร่งแหน่งหน่วยชีลด์ที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับ The Avengers เหล่าซูเปอร์ฮีโร่แห่งจักรวาลมาร์เวล ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
ในชีวิตจริง โจแฮนสันก็เป็นนักสู้ นักเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิ์ทางการเมืองและสังคมตัวยง แม้แต่กับค่ายหนังยักษ์ใหญ่อันดับ 1 ของโลกอย่าง ‘ดิสนีย์’ เธอเองก็หาญกล้าที่จะลุกขึ้นมาต่อกรโดยไม่หวั่นเกรงถึงผลกระทบที่จะตามมา
เรื่องมีอยู่ว่าหลังจากที่การระบาดของโควิด-19 ทำโรงหนังทั่วโลกต้องปิดให้บริการเกือบตลอดทั้งปี 2563 ที่ผ่านมา ค่ายหนังบางแห่ง (เช่น ยูนิเวอร์แซล) จึงหาทางรอดด้วยการนำหนังออกฉายทางระบบสตรีมมิงแทนการเข้าโรงฉายก่อนตามธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมา ซึ่งในตอนนั้นก็มีความขัดแย้งเกิดขึ้นตามมาเล็กๆ เพราะโรงหนังกับค่ายหนังมีข้อตกลงร่วมกันว่า หนังต้องเข้าฉายในโรงก่อน และต้องออกจากโรงเป็นเวลา 60-90 วัน (ตอนหลังมีการปรับให้น้อยลงกว่านี้) แล้วถึงจะนำไปฉายทางแพลตฟอร์มอื่น (เช่น แอพสตรีมมิง) ได้
แต่เพราะเข้าใจถึงความลำบากแสนสาหัสที่ทุกฝ่ายได้รับจากพิษโควิดจึงทำให้ความขัดแย้งระหว่างโรงหนังและค่ายหนังในครั้งนั้นจบลงไปได้ด้วยดี
จนล่วงเข้าปี 2564 ที่รัฐบาลทั่วโลกเริ่มทยอยฉีดวัคซีนโควิดให้กับประชาชนของตนเอง คนหลายประเทศเริ่มกลับมาใช้ชีวิตในแบบที่เรียกว่า 'เกือบปกติ' โรงหนังเองก็เปิดให้บริการในบางประเทศ รวมถึง สหรัฐอเมริกา หนังหลายเรื่องที่ถูกดองเอาไว้ข้ามปีก็ได้ฤกษ์กลับเข้าฉายในโรงกันตามปกติ
แต่ปรากฎว่าแทนที่ Black Widow จะเข้าฉายเฉพาะในโรงก่อนเหมือนที่เคยเป็นมา ดิสนีย์กลับฉายหนังเรื่องนี้ในโรงควบคู่ไปกับการนำออกขายในรูปแบบ video on demand ที่สมาชิกแอพสตรีมมิงอย่าง Disney Plus, Vudu, Amazon Prime Video, Apple TV, Google Play สามารถจ่ายเงินเพิ่ม 30 ดอลลาร์ เพื่อดูหนังเรื่องนี้พร้อมกับในโรงภาพยนตร์ได้
การกระทำของดิสนีย์ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในวงการที่ค่ายหนังมีสายสัมพันธ์แบบ ‘น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า’ กับผู้ประกอบการโรงภาพยนตร์มาโดยตลอด และเป็นจุดที่ทำให้ ‘สการ์เลตต์ โจแฮนสัน’ ลุกขึ้นมาฟ้องดิสนีย์ว่าละเมิดสัญญาที่ทำกับเธอ
เพราะนอกจากค่าตัวที่ค่ายหนังจ่ายให้แล้ว นักแสดงเบอร์ใหญ่อย่างโจแฮนสันจะได้ส่วนแบ่งจากรายได้บ็อกซ์ ออฟฟิศเพิ่มเติมด้วย ซึ่งการนำหนังออกฉายในโรงพร้อมกับทางสตรีมมิงจึงเป็นการแบ่งรายได้ที่นักแสดงควรจะได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปนั่นเอง
หลังถูกฟ้อง ทางโฆษกของดิสนีย์ยืนกรานว่าไม่ได้ละเมิดสัญญาใดๆ กับนักแสดงสาวคนดัง แถมยังแอบตัดพ้อเล็กๆ ด้วยว่า “เป็นเรื่องน่าเศร้าและเจ็บปวดที่ (โจแฮนสัน) ออกมาเรียกร้องโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 ที่น่าหวาดกลัว และยืดเยื้อไปทั่วโลก”
เล่นเอาทนายความของโจแฮนสันรีบออกมาโต้กลับว่า ดิสนีย์นำโควิดมาเป็นข้ออ้างในการหากำไรให้ตัวเอง แถมยังแย้มด้วยว่า เดฟ กัลลุซซี หัวหน้าคณะที่ปรึกษาของ Marvel ได้รับปากกับโจแฮนสันและทีมของเธอเอาไว้เมื่อต้นปี 2562 ว่า Black Widow จะฉายแบบ exclusive เฉพาะในโรงหนังก่อน แล้วถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงอะไรนอกเหนือไปจากนี้ก็จะแจ้งให้เธอทราบ แต่ปรากฎว่าไม่ได้แจ้ง
ศึก ‘โจแฮนสัน’ V ‘ดิสนีย์’ ในครั้งนี้เป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก เพราะไม่ใช่แค่การเรียกร้องผลประโยชน์ของนักแสดงคนหนึ่งเท่านั้น