"อิ้งค์ วรันธร" เปิดใจที่แรก! ไม่อายเรื่องรัก
อัพเดท นักร้องในดวงใจใครหลายคน "อิ้งค์ วรันธร" เปิดใจที่แรก! ไม่อายเรื่องรัก ถ้ามีแฟน แล้วเกิดทะเลาะกันต้องเคลียร์เลย "เอาให้มันจบ"
เกือบ 5 ปีแล้วที่ "อิ้งค์-วรันธร เปานิล" ได้โลดแล่นในเส้นทางดนตรี เราได้ติดตามผลงานและการพูดคุยของเธอในหลากหลายสื่อ ซึ่งนี่จะเป็นครั้งแรกที่ อิ้งค์ มานั่งเปิดใจพูดคุยกับ วู้ดดี้ เกี่ยวกับเรื่องรัก เพราะที่ผ่านมาเธอไม่เคยพูดเรื่องความรักแบบลึกซึ้งเลย อีกทั้งเรื่องราวที่เคยสอบไม่ติดจนกลายมาเป็นคนคิดเยอะในทุกๆ เรื่อง และวันนี้เธอจะมาเปิดใจพูดคุยครั้งแรกผ่านรายการ Woody FM
วู้ดดี้: การเป็น อิ้งค์ วรันธร สำหรับวู้ดดี้รู้สึกว่าเพลงได้เข้าไปอยู่กลางใจทุกคน มีโมเม้นต์แบบที่เราเจอ มันเป็นความรู้สึกจริง ชอบอะไรมากที่สุดเวลาเราได้ฟีคแบคจากแฟนๆ ชอบโมเม้นต์แบบไหน ?
อิ้งค์ วรันธร : ชอบโมเม้นต์ที่เวลาเราร้องเพลง หรือว่าปล่อยเพลงอะไรไป มีคอมเมนต์กลับมาว่าเหมือนพี่พูดแทนหนูเลย ทำไมพี่รู้ว่าตอนนี้หนูรู้สึกอะไรอยู่ สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราตั้งใจทำงานกับพี่ๆ คอนเทนต์ที่เรานั่งหามาเป็นเพื่อนเขาในวันนี้ ไม่ว่าเขาจะแอบรักใครสักคนอยู่ วันที่เขาอกหัก วันที่เขาคิดมาก เสียใจ รู้สึกว่าดีจังเลยที่เขามาบอก มันทำให้เราแฮปปี้อยากทำงานต่อ
วู้ดดี้: เราใช้เซนส์ยังไง ?
อิ้งค์ วรันธร : มันเป็นเพราะความพอดีของตัวเองว่าตัวเราเคยผ่านความรู้สึกนี้มาไหม ถ้าเราไม่เคย เราสามารถเล่ามันอย่างสบายใจได้ไหม หรือสามารถเล่าได้โดยไม่รู้สึกเคอะเขิน อิ้งค์เป็นคนกลางๆ ด้วยแหล่ะเวลาจะทำอะไร คือจะไม่ใช่คนที่จะถ้าเศร้าก็ร้องไห้สุดโต่ง หรือถ้าอกหักร้องไห้จนไม่เหลืออะไรเลย จะไม่ใช่คนที่เกลียดใครแล้วเกลียดเลย อาจเป็นเพราะเราเป็นคนแคร์ความรู้สึกของคนมากๆ ด้วย เวลาเกิดอะไรขึ้น มีปัญหาเรื่องต่างๆ เราจะคิดแทนฝั่งตรงข้ามมากๆ อาจจะไม่ได้คิดในมุมของเราคนเดียว
วู้ดดี้: เป็นคนคิดเยอะไหมครับ ?
อิ้งค์ วรันธร : เยอะมากค่ะ เยอะจนคนรอบตัวรู้ จนกลายเป็นโจ๊กไปเลย เรื่องขำไปเลยก็มี แบบเจอเหตุการณ์คือขำมองหน้ากัน รู้เลยว่าอิ้งจะพูดอะไรขึ้นมา หรือจะเป็นอะไรกับเหตุการณ์นี้
วู้ดดี้: เคยวิเคราะห์ไหมว่าการคิดเยอะมาจากอะไร ?
อิ้งค์ วรันธร : คิดว่าน่าจะเริ่มช่วง ม.ปลาย เพราะว่าเคยผิดหวังมาก่อน ตอนสอบเข้าแผนการเรียนตอน ม.3 ที่จะเข้า ม.4 คือสอบไม่ติดที่เราอยากได้ ก็เลยทำให้เราได้มาเรียนด้านดนตรี หันเข็มทิศมาทางดนตรีล้วนๆ เพราะไม่อยากรู้สึกถึงตอนที่เราสอบเข้าไม่ติด แล้วทุกคนเฟลกับเรา
วู้ดดี้: ความรู้สึกวันนั้นเป็นยังไง ?
อิ้งค์ วรันธร : เป็นวันที่ประกาศผลแผนการเรียน เขาจะแปะบอร์ดกลางโถงโรงเรียน พอพักเที่ยงทุกคนก็จะวิ่งไปดู ชื่อเราอยู่ไหนก็หาไม่เจอ แต่ไปเจอในรายชื่อสำรองอันดับ 1 แล้วไม่มีใครสละสิทธิ์เลย กลายเป็นว่าเพื่อนๆ ทุกคนเฮ ๆ กัน แล้วตัวเราคือโลกมืดอยู่คนเดียว เหมือนไฟดับ ตอนนั้นเศร้าแล้วรู้สึกว่าถ้าต้องอยู่ในวันประกาศผลอีกสักครั้งเราจะต้องไม่เจอเรื่องนี้ ตั้งเป้าเลย ฉันจะทำให้ได้ เลยกลายเป็นเครียดขึ้นในการเรียน ไม่อยากทำให้พ่อแม่ผิดหวัง สรุปก็เลยเข้าดนตรี ตั้งเป้าเลยว่าจะเข้า ม.จุฬาฯ เข้าคณะนี้ เอกนี้ แล้วก็มุ่งอย่างเดียว คิดว่าเป็นคนกลัวความล้มเหลวเป็นเพราะวันนั้นเลย
วู้ดดี้: การสอบตกในวันนั้นดูเหมือนเป็นเรื่องที่แย่ แต่วันนี้กลับกลายเป็นเรื่องดี เธอเอาพลังงานตรงนั้นมามุ่งเป็นศิลปิน เท่าที่ดูอิ้งให้สัมภาษณ์มาโดยตลอด อิ้งไม่เคยพูดเรื่องความรักเลยแบบลึกซึ้ง เป็นเพราะอะไร ?
อิ้งค์ วรันธร : เราพูดคุยกับทีมงานที่ค่ายรู้สึกว่าไม่อยากให้คนมาโฟกัสหรือว่ามามองเราที่ไม่ใช่เรื่องอื่นที่ไม่ใช่เรื่องงาน ตั้งแต่วันแรกๆ ที่เข้ามาก็รู้สึกว่าเรามาทำงาน มาทำเพลง ไม่อยากให้เรื่องอื่นๆ มากลายเป็นว่า เราไปดังเพราะเรื่องอื่นหรือว่าคนไปสนใจเราเพราะเรื่องอื่น อยากให้ตัวเองเป็นศิลปินที่เป็นศิลปินจริงๆ ก็เลยทำให้อาจจะไม่ได้มีเรื่องอัพเดตอะไรกับใครเขาเท่าไร เวลาที่พี่นักข่าวถามค่ะ
วู้ดดี้: ถ้าเกิดเขาจะคุยเรื่องคนรักหรือแฟน เราอายไหม ?
อิ้งค์ วรันธร : ไม่อาย แต่คืออิ้งค์เป็นคนชอบอ่านคอมเมนต์ บางทีแม้กระทั่งอิ้งโพสต์รูปคู่กับพี่ทีมงาน เป็นครีเอทีฟที่ดูแลอิ้งมา แค่ยืนถ่ายรูปคู่ด้วยกันลงเพจตัวเองอัพเป็นอัลบั้มนะคะ แต่รูปนั้นมีคนคอมเมนต์เยอะสุด ไลค์และแชร์เยอะสุด ถามว่ามันเป็นใคร พี่เขาเป็นเหมือนผู้มีพระคุณที่ทำให้อิ้งมีเพลงต่างๆ ให้ทุกคนได้ฟังในวันนี้ แต่อยู่ๆ ก็มาโดนเรียกว่า ใครว่ะ มันเป็นใคร เลยคิดว่าเรื่องอะไรแบบนี้มันทำให้อิ้งไม่อยากเอาคนที่เขาไม่ได้อยู่ในจุดที่จะมาเป็นคนที่โดนพูดถึงเรื่องต่างๆ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะยอมรับได้มั้ง
วู้ดดี้: อิ้งมีคนรักเยอะมาก ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ?
อิ้งค์ วรันธร : เคยนั่งคุยกับเพื่อนๆ ค่ะ เขาบอกเหมือนเราประมาณว่าเป็น เกิร์ลเฟรนด์แมทิเรียล คือ อิ้งอาจจะไม่ได้เป็นผู้หญิงที่สวยมากหรือเพอร์เฟคมาก แต่ดูง่ายๆ เรียบๆ ดูอยู่ด้วยได้ เป็นแฟนได้ อะไรประมาณแบบนั้นค่ะ
วู้ดดี้: เรากำลังพูดถึงเรื่องนี้ เกิร์ลเฟรนด์แมทิเรียล มาจินตนาการกันในความสัมพันธ์อยู่ตอนนี้ อยากจะรู้ว่าอิ้งในความสัมพันธ์จะเป็นแบบไหน ต้องเลือกกินข้าวร้านอาหาร เราให้เขาเลือก เราเลือก หรือร่วมกันเลือก ?
อิ้งค์ วรันธร : ส่วนมากจะเหมือนว่าช่วยกันเลือก แต่สุดท้ายเป็นเราเลือกอะไรแบบนี้ค่ะ (หัวเราะ)
วู้ดดี้: แล้วเขารู้ไหมว่าเราเป็นแบบนี้ หรือยังคงถามกันอยู่เหมือนเดิม ?
อิ้งค์ วรันธร : รู้สึกว่าใครที่จะมาเป็นแฟนอิ้ง หรือว่าคบกับอิ้งได้ จะต้องเป็นคนที่แบบรู้เรา อ่ะ! ให้ไปเหอะ อะไรแบบนี้ ไม่เรื่องเยอะ
วู้ดดี้: สมมติว่า เรากำลังคบกับใครอยู่แล้วทะเลาะกัน จะเคลียร์เลยหรือเคลียร์พรุ่งนี้หรือเดี๋ยวว่ากัน ?
อิ้งค์ วรันธร : เป็นคนเคลียร์เลยค่ะ ต้องคุยให้จบเลย เพราะเป็นคนคิดมากด้วย แล้วยิ่งเป็นคนที่เรารักก็จะยิ่งคิดมากยิ่งขึ้นไปอีก แล้วถ้าเกิดว่าปล่อยให้ถึงพรุ่งนี้ไมน่าดี ไม่น่าจะนอนหลับต้องเคลียร์เลย
วู้ดดี้: แสดงว่าก่อนหน้านี้ไม่เคลียร์แล้วเราคิดเยอะ ?
อิ้งค์ วรันธร : ตอนช่วงเด็กๆ มหาลัย ช่วงมีแฟนแรกก็จะงอนข้ามวัน ก็เลยรู้สึกเหมือนมันไม่ได้อะไร พอเราเก็บเรื่องนี้แบกไปหลายๆ วัน เพราะรอว่าเมื่อไหร่เขาจะมาง้อไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเราเองก็เครียด เขาเองก็ไม่ได้คำตอบ ต่างคนก็ต่างอารมณ์เสียกันไปหลายๆ วัน แบกเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ ก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราจะมีแฟน เราก็ต้องเคลียร์เลย คิดว่าถ้าเกิดปัญหาการพูดคุยเป็นคำตอบที่ดี ที่สุดแล้ว เอาให้มันจบ เหมือนหาทางออกร่วมกัน
วู้ดดี้: แล้วแฟนต้องทำอะไรให้เรารู้สึกสดใสเหลือเกิน ต้องเซอร์ไพร์ส พูดจาดีๆ หรือแค่กอดแล้วก็สัมผัสพอแล้ว เราเป็นคนแบบไหน ?
อิ้งค์ วรันธร : แค่อยู่ด้วยกัน นั่งข้างๆ กันก็แฮปปี้แล้ว ไม่ต้องทำอะไรที่เวอร์วัง หรือเซอร์ไพร์ส แค่ไปกินข้าวกันก็แฮปปี้แล้ว
วู้ดดี้: วัยเด็ก Puppy Love ตอนนั้นคือยังไง ?
อิ้งค์ วรันธร : ถ้าเอาแบบเป็นเรื่องเป็นราวเลย เป็นช่วง ม.1 เด็กมากเลย เป็น Puppy Love ตั้งแต่อิ้งพึ่งเข้าโรงเรียนเป็นเด็กใหม่ ด้วยความตอนนั้นเราตัวสูงมาตั้งแต่ ม.1 เลยทำให้ดูเหมือนโตเป็นสาวไว ได้ไปเป็นลีดของโรงเรียน แล้วก็มีรุ่นพี่หลายๆ คน แล้วก็กลายเป็นว่ามีรุ่นพี่ ม.6 คนหนึ่งที่เรารู้สึกว่าน่ารักจังเลย ชอบแกล้งกัน แซวกัน ก็เลยรู้สึกดีๆ ว่าพี่เขาน่ารัก แล้วมีวันหนึ่งได้ประกวดร้องเพลงของโรงเรียน ระหว่างที่ประกวดร้องเพลงรอบชิงพี่เขาก็บอกว่าเขาจะไม่มาดู เราก็โอเคไม่เป็นไร เพราะเขาไม่ว่าง แล้วพอเราร้องเพลงใกล้จะจบเพลง เขาก็เดินลงมาจากอาคารถือดอกไม้มาให้เราที่บนเวที อันนี้ก็เป็นความ Puppy Love ครั้งแรกที่ยังรู้สึกว่ากรี้ด เพื่อนๆ ก็กรี้ดกันหมด มันใสๆ น่ารักๆ ค่ะ
วู้ดดี้: เป็นครั้งแรกที่ อิ้งค์ วรันธร พูดเกี่ยวกับมุมมองความรักในหลากหลายมิติ เชื่อว่าหลายคนอยากฟังจากปากเธอว่าตกลงแล้วสเปคในใจเป็นแบบไหน?
อิ้งค์ วรันธร : มีครั้งหนึ่ง อิ้งค์ เคยไปสัมภาษณ์ในรายการของ ก้อย อรัชพร ว่าไม่ชอบผู้ชายตี๋ขาว ชอบคมเข้ม แล้วก็กลายเป็นไวรัลเลย ผู้ชายในโซเชียลแชร์กันว่าผมไม่ตี๋ขาวนะครับ และมี DM มาหาอิ้งว่าแบบนี้จะคมเข้มพอไหมเยอะมาก จนอิ้งตกใจ ในรายการนี้อิ้งขอพูดให้มันกลางๆ นะคะ (หัวเราะ) จะได้ไม่มี DM มา
วู้ดดี้: ตอนนี้เป็นยังไง?
อิ้งค์ วรันธร : เป็นคนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ เป็นคนที่เราพูดคุยแล้วเขารู้ทันว่าเรากำลังรู้สึกอะไรอยู่ เครียดเรื่องนี้ใช่ไหม แล้วเขารู้วิธีการรับมือกับสิ่งที่เราเป็นได้ค่ะ ช่วยกันให้ผ่านเรื่องต่างๆ ไปได้ ส่วนลุคก็ไม่ได้มีอะไรที่ฟิกขนาดนั้น คือ อิ้ง บอกว่าไม่ชอบตี๋ขาวในรายการก้อย แต่คนที่อิ้งชอบดาราเกาหลีอย่าง กงยู เพื่อนก็บอกว่า กงยู นี่ก็ตี๋ขาวนะ แล้วอิ้งก็บอกว่า กงยู ไม่ตี๋ขาว ซึ่งคำว่า ตี๋ขาวของเราอาจจะไม่เท่ากัน
วู้ดดี้: อิ้งค์ในวัยนี้ 27 ปี มองย้อนกลับไปทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนี้มันเป็นเหมือนที่ฝันเอาไว้ไหม ?
อิ้งค์ วรันธร : พูดไม่ถูกว่าเคยฝันแบบนี้หรือเปล่า แต่ว่ามันอาจจะเกินฝันในวัยเด็กไปแล้วก็ได้ค่ะ โอเคในเมื่อเราทำงานตรงนี้มา 5 ปีแล้ว ในวันที่เข้ามาทำเราก็ฝันเพิ่มจากวันนั้น ตอนเด็กๆ คงไม่คิดว่าตัวเองจะมาร้องเพลงเป็นศิลปินเดี่ยวขนาดนั้นค่ะ
วู้ดดี้: รู้สึกยังไงกับประโยคที่ว่าเราต้องมีทุกอย่างก่อน 30 ปี
อิ้งค์ วรันธร : เคยคิดมากกับประโยคนี้เหมือนกันค่ะ แต่ว่าที่บ้านไม่เคยพูดเรื่องนี้ด้วย ส่วนใหญ่จะมาจากเพื่อนมากกว่า จะ 30 แล้วยังไม่มีแฟนเลย จะ 30 แล้วยังไม่มีรถเลย คุยกันในวงเพื่อน ก็เลยคิดว่าไม่ว่าเราจะอายุเท่าไหร่ก็ตาม 27 หรือว่า 31 แล้ว แต่ว่าถ้าเราพอใจในสิ่งที่มี ที่ทำได้แค่นี้เราแฮปปี้ แล้วรู้ตัวว่าจะไปในทิศทางไหนต่อ หรือว่ารู้ตัวว่าชีวิตนี้มีเป้าอะไร ถึงแม้มันอาจจะไม่สำเร็จในวัย 30 แต่ว่าเรากำลังมาถูกทางนะ คิดว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุแล้ว เพราะตอนแรกอิ้งก็คิดว่าผู้หญิงอายุ 30 จะต้องโตมาก ตอนนี้ก็ไม่เห็นเป็นผู้ใหญ่เลย ไม่เห็นรู้สึกว่าตัวเองโตเลย ไม่รู้สึกว่าเราเก่งขึ้น แต่แค่รู้สึกว่าประสบการณ์ชีวิตเราเยอะขึ้น เราพอใจกับครอบครัวที่น่ารัก มีพี่น้อง คนรอบตัวที่น่ารัก มีเพื่อน มีทีมงานที่น่ารัก มีงานที่เราแฮปปี้ อาจจะแฮปปี้บ้าง ไม่แฮปปี้บ้าง แต่สุดท้ายมันก็คืองาน บางเรื่องเราคอนโทรลไม่ได้ ก็ต้องยอมรับและพัฒนาต่อไป แล้วก็รู้ว่าเรากำลังเดินไปจุดไหน อันนี้เป็นสิ่งที่ควรโฟกัสมากกว่าเรื่องอายุ
ขอบคุณ Woody FM คลิกชมย้อนหลัง : https://www.youtube.com/watch?v=xyoonC700mk