เที่ยว World Expo 2020 DUBAI อัพเดทเทรนด์โลก รู้ทุกทิศทางอนาคตได้ในงานเดียว
ชวนส่องไฮไลต์ World Expo 2020 DUBAI งานเอ็กซ์โปครั้งยิ่งใหญ่ระดับโลก ที่จะฉายภาพทุกเทรนด์อนาคต ทุกทิศทางโลก ไม่อยากตกเทรนด์ ต้องห้ามพลาด
แม้จะผ่านการเปิดตัวไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่ ตระการตา สำหรับงาน "World Expo 2020 DUBAI" มหกรรมระดับโลกที่ต้องรอถึง 5 ปีจึงจะจัดหนึ่งครั้ง โดยในครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 36 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) โดยเปิดงานไปตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2564 และผ่านมาเกือบครึ่งทางของการจัดงานแล้ว โดยงานจะสิ้นสุดลง 31 มีนาคม 2565 นี้เท่านั้น
- อลังการที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ World Expo
World Expo 2020 DUBAI เป็นเวิลด์เอ็กซ์โป ที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์เวิลด์เอ็กซ์โปที่ผ่านมา โดยประเทศเจ้าภาพ คือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือ ยูเออี ทุ่มงบมากถึง 6 แสนล้านในการเนรมิตทะเลทรายเวิ้งว้าง บนพื้นที่เกือบ 5 ตารางกิโลเมตร ให้กลายเป็นเมืองใหม่ทั้งเมือง เพื่อรองรับผู้คน 25 ล้านคน ในการเข้าร่วมงานครั้งนี้
ธีมหลักของการจัดงาน คือ “เชื่อมความคิด สร้างอนาคต” หรือ Connecting Minds, Creating the Future ที่เจ้าภาพเนรมิตสิ่งก่อสร้าง ระดมสถาปนิกชั้นนำของโลกมารวมกันที่นี่
และไม่เฉพาะเจ้าภาพเท่านั้นที่ทุ่มงบประมาณมหาศาล แต่มีอีก 192 ประเทศที่มาลงทุนสร้างพาวิลเลียนของตัวเอง อาทิ จีนทุ่มเงินกว่า 3 พันล้านบาท ส่วนอินเดีย เยอรมนี ไม่น้อยหน้า เนรมิตพาวิเลียยนในธีมการขับเคลื่อนด้วยเงินทุนเฉียดๆ 2 พันล้าน อย่างประเทศไทย ก็ทุ่มงบประมาณถึง 900 ล้านบาท
- บอกเล่า“อนาคต” ผ่านงาน World Expo
นับตั้งแต่งาน World Expo เกิดขึ้นเมื่อปี 1851 เป็นต้นมา วัตถุประสงค์หนึ่งที่คงอยู่เสมอ ก็คือ เวทีแห่งการโชว์นวัตกรรม สิ่งใหม่ รวมถึงไอเดียเจ๋งๆ มากมาย ตั้งแต่เรื่องยิ่งใหญ่ไปจนถึงสิ่งเล็กน้อยที่มาอยู่ในชีวิตเราวันนี้
ยกตัวอย่างเช่น สถาปัตยกรรมก้องโลกอย่าง “หอไอเฟล” ก็เกิดขึ้นในงาน World Expo 1889 เมื่อกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นเจ้าภาพจัดงาน และสร้างหอไอเฟลขึ้นมาให้เป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว
ส่วนโทรศัพท์เครื่องแรก ได้เปิดตัวต่อสาธารณะเป็นครั้งแรกที่งาน Expo ในเมืองฟิลาเดลเฟียของสหรัฐในปี 1876 และใน World Expo ที่เมืองโอซากา ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปี 1970 ก็เปิดตัวโทรศัพท์ไร้สายตัวต้นแบบ จนสร้างกระแสฮือฮา ขณะที่ World Expo ที่ชิคาโกปี 1893 เป็นครั้งแรกที่โลกได้รู้จัก “ชิงช้าสวรรค์” เป็นต้น
แม้จะผ่านมากว่าร้อยปี แต่ใจความสำคัญของการจัดงาน World EXPO ก็ไม่เคยเปลี่ยน เพราะในทุกๆ ครั้งของการจัดงาน เราคาดหวังได้เลยว่า สิ่งที่จะได้ชมนั้น หมายถึงสิ่งที่จะเกิดใน “อนาคต” และมีผลต่อชีวิตของเราด้วยกันทั้งสิ้น
- สำรวจเทรนด์โลก ผ่านพาวิลเลียนจากทั่วโลก
เราจะชวนไปดูกันว่า ประเทศยักษ์ใหญ่ ผู้นำในด้านต่างๆ ของโลกนั้น เขาพรีเซนท์ประเทศตัวเองในแบบไหน แล้วกำลังจะบอกเล่าเทรนด์โลกอย่างไร..
เริ่มต้นที่พาวิลเลียนของเจ้าภาพอย่าง “ดูไบ” ซึ่งพรีเซนต์ตัวเองเป็นหนึ่งในตัวแทนโลกอาหรับ โดยบนเวทีโลกในครั้งนี้ พวกเขาจัดสร้างพาวิลเลียนสุดตระการตา โดดเด่นด้วยอาคารที่มีรูปร่างเหมือน "เหยี่ยว" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของประเทศ และยังมี
โครงสร้างด้านบนเป็นรูปปีกนกเหยี่ยวที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์และติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ปีกแต่ละข้างสามารถเปิด-ปิด ได้ภายใน 3 นาที สื่อถึงการใช้พลังงานสะอาดอย่างพลังงานแสงอาทิตย์
และยังมีอาคาร Al Wasl Plaza ศูนย์กลางของงานที่ครอบด้วยโดมเหล็กลูกไม้ยักษ์ รวมถึงห้ามพลาดไปชม อาคาร Terra ที่เสนอแนวคิดถึงโลกที่ยั่งยืนด้วยเทคโนโลยีเพื่อระบบนิเวศน์
ส่วนอาคารแสดง ประเทศไทย (Thailand Pavilion) ก็เลือกจะบอกเล่าผ่านแนวคิด “การขับเคลื่อนสู่อนาคต” (Mobility for the Future) มีไฮไลต์ คือ การจัดแสดงเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์จำลองและราชรถจำลอง และนำเสนอภาพยนตร์แอนิเมชัน สะท้อนให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบัน รวมถึงฉายภาพแห่งอนาคตของประเทศไทยที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัลเพื่อผลักดันประเทศ ซึ่งแม้ไทยจะไม่ได้โดดเด่นเรื่องนวัตกรรมล้ำสมัย เมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่ของโลก แต่ด้วย ซอฟต์เพาเวอร์ เป็นต้นทุนที่แข็งแกร่ง ก็ส่งให้ “ไทยแลนด์ พาวิลเลียน” ผงาดขึ้นสู่ TOP3 พาวิลเลียนยอดนิยมได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ขณะที่ The Dutch Biotope Pavilion หรือพาวิลเลียนสวนแนวตั้ง จากประเทศ "เนเธอร์แลนด์" ถูกออกแบบภายใต้ธีม "ความหวังในทะเลทราย" โดยใช้เทคโนโลยีมาเชื่อมโยงสู่วิถีชีวิตที่ยั่งยืนได้ แม้ในสภาพภูมิอากาศอันแห้งแล้ง โดดเด่นด้วยระบบน้ำ พลังงาน และการผลิตอาหารแบบบูรณาการ ด้วยเทคโนโลยีที่สกัดน้ำจากอากาศในทะเลทรายและใช้ในการชลประทานในอาคารรูปแบบ "กรวยอาหาร" สูง 18 เมตรที่คลุมไปด้วยพืชผักต่างๆ
นอกจากนี้ยังสร้างความเย็นอย่างเหมาะสมภายในกรวย เพื่อให้สามารถปลูกเห็ดได้ด้วย และยังมีช่องรับแสงจากแผงโซลาร์เซลล์หลากสี ที่ให้พลังงานแก่ทั้งระบบ
ถัดมาเป็นพาวิลเลียนจากประเทศสิงคโปร์ ออกแบบโดย WOHA ภายใต้ธีมหลักคือ "Nature. Nurture. Future." ที่แปลว่า "ธรรมชาติ หล่อเลี้ยง อนาคต" ออกแบบให้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด ในฐานะระบบนิเวศแบบพอเพียงเพื่อให้ใช้พลังงานสุทธิเป็นศูนย์ (the net-zero energy)
100% ของพลังงานทั้งหมดของ Pavilion มาจากแผงโซลาร์ 517 แผงบนหลังคา ผู้เข้าชมจะได้สัมผัสประสบการณ์ความเขียวขจีแบบ "สามมิติ(3D)" ที่ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของป่าฝน ขับเคลื่อนโดยระบบนิเวศที่พึ่งพาตนเองได้
สำหรับแนวคิด Intelligence for life หรือ ปัญญาเพื่อชีวิต เป็นพาวิลเลียนจากประเทศสเปน มีจุดมุ่งหมายเพื่อเป็นตัวอย่างของความคิดสร้างสรรค์ที่ชาญฉลาด รวบรวมเอาความยั่งยืนทั้งในด้านผู้คน ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี การผลิต การศึกษา และศิลปะ
ชุดอาคารทรงกรวยเหล่านี้ ใช้สีสันในโทนร้อนเพื่อเน้นย้ำถึงความเชื่อมโยงของสเปนกับโลกอาหรับ รอบนอกของตัวอาคารติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เบาเป็นพิเศษ และสามารถยืดหยุ่นได้ ซึ่งออกแบบโดย บริษัท South Oracle (TSO) ของสเปน
ด้านฐานล่างของอาคารประกอบด้วยต้นไม้ที่ทำจากวัสดุพิเศษที่ช่วยดูดซับ CO2 ได้ดี แสดงถึงเป้าหมายของประเทศว่าจะยึดมั่นในวาระลดคาร์ บอนในปี 2030 เพื่อมีส่วนช่วยในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
และสำหรับแคมปัสแห่งสิ่งแวดล้อม พาวิลเลียนจาก "เยอรมนี" สื่อสารถึงการเรียกร้องการอนุรักษ์ธรรมชาติและพลังงานเพื่อความยั่งยืน เช่น การก่อสร้างโดยใช้พลังงานเท่าที่จำเป็น การออกแบบระบบปรับอากาศ และวัสดุต่างๆ ทั้งหมดเลือกใช้ตามหลักความยั่งยืน ตัวอาคารนี้หลังจากใช้งานแล้ว สามารถถอดชิ้นส่วน (ประมาณ 80%) แล้วนำไปใช้ต่อได้
องค์ประกอบของอาคารจะช่วยให้ผู้เข้าชมบางพื้นที่สามารถสร้างร่มเงาให้กับตนเองได้ ซึ่งจะช่วยลดภาระความร้อนและลดการระบายความร้อนได้ ส่วนระบบการจัดการสภาพอากาศอัจฉริยะ จะสร้างโซนที่มีเครื่องปรับอากาศหลายระดับ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมค่อยๆ เย็นลงเมื่อย้ายจากโซนหนึ่งไปอีกโซนหนึ่ง สิ่งนี้ช่วยประหยัดพลังงานได้อีกทางหนึ่งด้วย
สำหรับแฟนๆ กรุงเทพธุรกิจ ที่อยากไปชมให้เห็นกับตา ว่า ทุกเทรนด์โลกที่ว่ามานี้เจ๋งแค่ไหน พิเศษสุดๆ !! กับโปรแกรมทัวร์ ศึกษาดูงาน DUBAI WORLD EXPO 2020 7 วัน 4 คืน ที่จะพาทุกคนไปเที่ยวชมงานแบบ 2 วันจัดเต็ม ซึ่งทัวร์ของ "กรุงเทพธุรกิจ" จะมี Fast Pass ให้เข้าชมพาวิลเลียนได้แบบจุใจครบถ้วน
นอกจากนี้ ยังจะได้ไปสัมผัสประสบการณ์พิเศษ ทั้งการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ดูไบ (DUBAI MUSEUM) ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ทันสมัยที่สุดในตะวันออกกลาง
ไปนั่งเรือ ABRARODE สัมผัสมนต์เสน่ห์ทางวัฒนธรรมผ่านวิถีชีวิตสองฝั่งน้ําของแม่น้ํา CREEK ข้ามฟากสู่ตลาดทองและตลาดเครื่องเทศ ซื้อหาของฝาก อาทิ ถั่วแมกคาเดเมีย อัลมอนด์ พิทาซิโอ อินทผาลัม ฯลฯ
เดินทางชมดูไบเฟรม (THE DUBAI FRAME) ตึกสถาปัตยกรรมมหัศจรรย์ หนึ่งในความภาคภูมิใจของดูไบ
สนใจติดต่อได้ทัวร์ โทรสอบถามได้เลยที่เบอร์ 084-991-4926