“Eggnog” นมต้มที่ต้องดื่มใน “เทศกาลคริสต์มาส”
"เครื่องดื่มประจำเทศกาลคริสต์มาส” ยอดนิยมคือ "Eggnog" หรือนมต้มใส่เหล้า ใส่ไข่ และเครื่องเทศ ดื่มอุ่น ๆ ในฤดูหนาว
เดือนธันวาคม เป็นเดือนแห่งเทศกาลเฉลิมฉลอง และคนเมืองหนาวชอบดื่ม Eggnog (เอ๊กน็อก) เพื่อให้ร่างกายอุ่นสบาย ที่จริง Eggnog สูตรใส่เหล้า ดื่มกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18
แต่หากสืบสาวเรื่องราวของ Eggnog พบข้อมูลว่าชาวยุโรปดื่มนมต้มใส่ไข่ (ดิบ) มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 โดยพวกชนชั้นสูงในอังกฤษ แล้วพอไปอยู่ในประเทศอาณานิคมคืออเมริกา ก็นำสูตรนมต้มไปแพร่หลาย นิยมดื่มตอนฤดูหนาว เมื่อถึง เทศกาลคริสต์มาส จึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดนิยม บางคนเรียก “ค็อกเทลนม”
เมื่อสืบค้นลึกขึ้นก็พบว่า Eggnog พัฒนามาจากของหวานที่คนอังกฤษชอบ โดยพระในยุคกลาง ทำจากนมที่ตกตะกอนจนเนื้อเนียนข้นเหมือนคัสตาร์ด เรียกว่า Posset แล้วเติมเอลพันช์ (Ele เบียร์ชนิดหนึ่งผสมน้ำผลไม้) ทำให้อุ่นแล้วใส่ไข่ (ดิบ) และมะเดื่อสด เติมผงเครื่องเทศ เช่น อบเชย ลูกจันทน์เทศ กานพลู เป็นของหวานยอดนิยม ต่อมาก็พัฒนาเป็นเครื่องดื่ม ทำจากนมผสมกับไวน์พันช์ หรือใส่ไวน์ ใส่เอล ส้มหรือมะนาว ดื่มในงานสังสรรค์
คนชอบก็บอกว่าดื่มอุ่น ๆ ช่วยให้หลับสบาย ทุกวันนี้ Posset หมายถึงของหวานเย็น ๆ ใส่ครีมทำให้เนื้อเข้มข้น ใส่เหล้านิดหน่อย และเติมผิวมะนาวหรือผิวส้มให้กลิ่นหอม รับประทานกับคุกกี้หรือบิสกิต
จาก Posset มาเป็น Eggnog แล้วกลายเป็นเครื่องดื่มประจำ เทศกาลคริสต์มาส ได้อย่างไร ผู้รู้บอกว่า ไข่ ถือเป็นสัญลักษณ์ของการเกิดใหม่ เมื่อไข่ผสมกับนมต้มให้อุ่นใส่เครื่องเทศลงไปอีก ถือว่าเป็นเครื่องดื่มสุขภาพ ซึ่งดีต่อใจและร่างกายเมื่อถึงฤดูหนาวช่วงคริสต์มาส อากาศหนาวเย็นออกไปไหนไม่ได้ก็ทำ Eggnog กินในบ้าน ถ้าเด็กอยากดื่มก็แค่ไม่เติมแอลกอฮอล์ จึงเป็นเครื่องดื่มประจำเทศกาลที่ดื่มได้ทุกบ้าน
เมื่อชาวอังกฤษไปอยู่อเมริกาก็เริ่มพลิกแพลงสูตร อย่างที่รู้ วิสกี้หรือบรั่นดี นำเข้าจากอังกฤษมีราคาแพง บรรดาชนชั้นสูงและนักการเมืองเลยเลือก เหล้าแชร์รี่ (Sherry) ที่มีราคาถูกกว่า ชาวอาณานิคมในอเมริกาบอกว่า Eggnog เกิดจากไข่ (คำแรก) ส่วน nog หรือ noggin แปลว่าถ้วยใบเล็ก ๆ ที่ชาวยุโรปใช้กันสมัยศตวรรษที่ 16 อีกความหมายหนึ่ง nog เป็นภาษาอังกฤษโบราณ หมายถึง เบียร์เข้ม ๆ แรง ๆ บางคนบอกว่ามาจาก egg-and-grog รวมกันกลายเป็น Eggnog
พอถึงศตวรรษที่ 17 เหล้าแชร์รี่ขาดแคลน บรรดาคนชอบนมต้มเติมแอล. เลยหา เหล้ารัม ที่มีราคาถูกกว่าจากประเทศในแถบแคริบเบี้ยน ช่วงนี้ต้องลืมวิสกี้ แชร์รี่ จนถึงไวน์ ด้วยราคาแพงกว่า ขนส่งมาไกลกว่า จึงกลายเป็นนมต้มใส่เหล้ารัม ที่ชนชั้นสูงชอบและชาวบ้านก็ดื่มได้ดื่มดี
ยุคศตวรรษที่ 19 ชาวยุโรปบันทึกว่า Eggnog ดื่มปีละครั้ง ในตอนเช้าวันคริสต์มาส แต่พระยุคกลางดื่ม Posset ใส่ไข่ในวันหยุด และชาวอเมริกันก็ชอบ Eggnog มาก ไม่รู้ว่าชอบนมหรือชอบแอล.ที่เติมลงไป จึงดื่มกันแพร่หลายทั้งแบบร้อนและเย็น
ตอนนี้มี Eggnog สำเร็จรูปขาย ระบุว่าใส่ไข่พาสเจอร์ไรซ์ ดื่มได้ปลอดภัย แล้วรสชาติจะเหมือนอะไรเพราะเติมไข่แดงดิบ เติมแอล.และเครื่องเทศอีก บางคนบอกว่าเหมือนกินคัสตาร์ดรสชาติที่แปลกใหม่ด้วยความเข้มข้นของนมต้มที่เติมครีม น้ำตาล เติมกลิ่นวานิลลา เครื่องเทศ และแอลกอฮอล์
มีสูตร Eggnog ของเด็กไม่ใส่แอล. และ สูตรวีแกน ทำจากนมอัลมอนด์, นมถั่วเหลือง ใส่ถั่วหิมพานต์ปั่นเพื่อให้เนื้อเข้มข้น เรียกกันว่า Silk Nog และเติมเครื่องเทศ (ไม่มีแอล.) ดื่มอุ่น ๆ เป็นเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพ บางสูตรก็เติมสารพัดเครื่องเทศ เช่น ผงจันทน์เทศ ผงขมิ้น ผงอบเชย ขิงผง ผิวมะนาว เติมกะทิอีก
เว็บไซต์ healthline.com บอกว่า ดื่มแต่พอดี ๆ ก็ดีอยู่ Eggnog สูตรไม่เติมแอล. ปริมาณ 1 แก้ว (4 ออนซ์) หรือ 120 มล. ให้พลังงาน 200 แคลอรี่ ไขมัน 10 กรัม พอเพียงต่อความต้องการไขมันใน 1 วัน แต่ถ้าเติมบรั่นดีสัก 30 มล. ก็จะเพิ่มไปอีก 65 แคลอรี่ ถ้าสูตรวีแกนในปริมาณเท่ากันจะให้พลังงาน 90 แคลอรี่ ทำจากนม Plant-milk ได้แก่ นมอัลมอนด์, นมถั่วเหลือง และไม่ใส่ไข่ ไม่เติมเฮฟวี่ครีมและเหล้า
ใครรู้ตัวว่าน้ำหนักเกินควรระวัง เพราะนมต้มเข้มข้นด้วยเฮฟวี่ครีม ใส่ไข่สด น้ำตาล แถมใส่เหล้าอีก ทำให้แคลอรี่สูง แม้เครื่องเทศมีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ช่วยเสริมรสชาติ แต่การดื่ม Eggnog เป็นประจำจนน็อกก็ไม่ควร
ดื่ม Eggnog ตอนเช้าวันคริสต์มาสตามแบบคนในศตวรรษที่ 19 ก็ดีอยู่แล้ว หรือดื่มอยู่กับบ้านสูตรโฮมเมดในช่วง เทศกาลคริสต์มาส ก็ให้ความรู้สึกอิ่ม สบายท้อง
และให้อารมณ์ว่าคริสต์มาสมาถึงแล้ว...
