“มัธยมซอมบี้” All of Us Are Dead เป็นวัยรุ่นหรือซอมบี้..แบบไหนเจ็บปวดกว่ากัน
กำลังติดเทรนด์ฮิตประเทศไทย “มัธยมซอมบี้” ซีรีส์เกาหลีแนวซอมบี้เรื่องใหม่ที่คราวนี้ศูนย์กลางการแพร่ระบาดคือโรงเรียน ซึ่งนอกจากการหนีตายตามสไตล์หนังซอมบี้แล้ว ยังสะท้อนภาพความไม่เข้าใจกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ ปัญหาการบูลลี่กัน และการท้องในวัยเรียนอีกด้วย
หลังจากที่ซีรีส์ซอมบี้สัญชาติเกาหลีเรื่อง ผีดิบคลั่งบัลลังก์เดือด (Kingdom) สร้างปรากฏการณ์ทั่วโลกด้วยเรื่องราวของซอมบี้ที่แปลกใหม่ในสมัยราชวงศ์โชซอน K-Zombie ก็กลายเป็นคอนเทนต์ประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ และไม่เคยห่างหายไปจาก Netflix เลย ไม่ว่าจะเป็น #ALIVE คนเป็นฝ่านรกซอมบี้ หรือ Kingdom ซีซั่น 2 ไม่นับรวมคอนเทนต์สัญชาติอื่นอีกเป็นจำนวนมาก
สำหรับปี 2022 ทาง Netflix ก็ยังมีความมั่นใจใน K-Zombie และเลือกมาเป็นคอนเทนต์เด่นประจำเดือนมกราคมกับ มัธยมซอมบี้ (All of Us Are Dead) ที่ติดเทรนด์ฮิตประเทศไทยทันทีหลังจากที่ออนแอร์ไปเมื่อวันที่ 28 มกราคมที่ผ่านมา
มัธยมซอมบี้ (All of Us Are Dead) เป็นซีรีส์ที่สร้างจากเว็บตูนเขย่าขวัญชื่อดังเรื่อง “ตอนนี้ โรงเรียนของเรา...” (Now at Our School) โดยนักเขียน “จูดงกึน” (Joo Dong-geun) มีเนื้อหาเกี่ยวกับโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในเมืองฮโยซาน ประเทศเกาหลีใต้ ที่มีไวรัสซอมบี้ระบาด ทำให้เกิดการติดเชื้อลุกลามอย่างรวดเร็ว
เหล่านักเรียนต้องหาทางเอาชีวิตรอดกันเองท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ นานา ทำให้พวกเขาต้องพบเจอกับบททดสอบเรื่องมิตรภาพ ความรัก รวมไปถึงความเกลียดชัง การทรยศหักหลัง และเรื่องราวสุดสะเทือนใจในหลากหลายรูปแบบ
คลิกอ่านเว็บตูน “ตอนนี้ โรงเรียนของเรา...” ได้ที่นี่
- เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด
นอกเหนือไปจากการหนีตายจากฝูงซอมบี้แล้ว “มัธยมซอมบี้” ยังสะท้อนปัญหาสังคมที่เกิดขึ้นในโรงเรียน เช่น การกลั่นแกล้งเด็กที่อ่อนแอ การอัดคลิปแบล็คเมล์ เด็กท้องก่อนวัยเรียน ช่องว่างระหว่างเด็กรวย-เด็กจน เด็กเก่ง-เด็กฉลาด ปัญหาของเด็กนักกีฬา ฯลฯ ในขณะที่คุณครูเองก็จะมีทั้งครูที่รักเด็ก ครูที่ไม่รับฟังเด็ก และครูที่เห็นแก่ตัว ฯลฯ
แต่ประเด็นที่เจ็บปวด และได้รับการตอกย้ำตลอดทั้งเรื่องเลยก็คือ การที่ผู้ใหญ่ในสังคมทอดทิ้งเด็กๆ ไม่เห็นความสำคัญของพวกเขา เราจึงได้เห็นภาพนักเรียนโรงเรียนมัธยมโฮซานต้องดิ้นรนหาทางเอาชีวิตรอดกันเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็สะท้อนออกมาในคำพูดของตัวละครที่บอกว่า “ไม่เชื่อพวกผู้ใหญ่” หรือ “นับแต่นี้ต่อไปจะไม่ขอให้ (ผู้ใหญ่) ช่วยอะไรอีกแล้ว”
- มี “ซอมบี้โชซอน” ย่อมมี “ซอมบี้ Gen-Z”
แน่นอนว่าซีรีส์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องในโรงเรียนมัธยม จึงต้องใช้เหล่านักแสดงดาวรุ่งเลือดใหม่มาถ่ายทอดเรื่องราวของซอมบี้ Gen-Z ไม่ว่าจะเป็น พัคจีฮู, ยุนชานยอง, โจอีฮยอน, โรมน, ยูอินซู, อียูมี, อิมแจฮยอก
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่บรรดาตัวเอกของ “มัธยมซอมบี้” ยังเด็กกันอยู่ ดังนั้นการกระทำของพวกเขาจึงค่อนข้างที่จะหุนหันพลันแล่น ไม่ค่อยจะรอบคอบตามประสา “วัยรุ่นเลือดร้อน” ทำให้ผู้ชมอาจรู้สึกรำคาญกับการตัดสินใจหรือปฏิกิริยาเวลาเจอซอมบี้ของตัวละครบางตัวจนพาลหงุดหงิด
แต่ไม่แน่ว่าเรื่องนี้อาจเป็นความตั้งใจของทีมผู้สร้างก็เป็นได้
สังเกตได้จากการที่ผู้กำกับ “อีแจคยู” ออกมาชี้แจงว่า พฤติกรรม “วัยรุ่นเลือดร้อน” ของเหล่านักเรียนฮโยซอนนั่นแหละที่มีส่วนทำให้ซีรีส์ยิ่งคาดเดาไม่ได้มากขึ้น เพราะ “ในสถานการณ์อันตราย ผู้ใหญ่มีแนวโน้มจะเลือกทางที่ความเสี่ยงต่ำ แต่ในทางกลับกัน วัยรุ่นจะกล้าเสี่ยงและทำตามอารมณ์มากกว่า ซึ่งคุณสมบัตินี้แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อบรรดาเด็กนักเรียนต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือเพื่อนๆ จากฝูงซอมบี้”
- เนรมิตอาคาร 4 ชั้นเพื่อความสมจริง
ด้วยความที่ต้องการให้ภาพในซีรีส์มีความงดงาม สมจริง ผู้กำกับจึงลงทุนสร้างอาคารสูง 4 ชั้น ขนาดเท่าโรงเรียนจริงขึ้นมาใช้ถ่ายทำโดยเฉพาะ พร้อมห้องต่างๆ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดจัดเต็ม ไม่ว่าจะเป็นห้องโสตทัศนศึกษา ห้องดนตรี โรงอาหาร ห้องสมุด หอประชุม โถงทางเดิน
โดยเฉพาะฉากโรงอาหาร ตอนที่ฝูงซอมบี้วิ่งกรูเข้ามากัดกินนักเรียนจนเกิดการหนีตายกันจ้าละหวั่นในตอนต้นเรื่องนั้น เฉพาะฉากนี้ฉากเดียวใช้นักแสดงจริงถึงกว่า 200 ชีวิต โดยใช้ CG ประกอบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และภาพที่ออกมาก็มีความซีเนมาติกเป็นอย่างมาก
- ซอมบี้ก็มีรัก โลภ โกรธ หลง อาฆาต
ด้วยความที่คอนเทนต์ Zombie ถูกผลิตออกมาเป็นจำนวนไม่น้อย ทำให้ผู้สร้างต้องมองหาความแปลกใหม่มาใส่ในงานของตนเสมอ สำหรับ มัธยมซอมบี้ (All of Us Are Dead) นั้น ความแปลกใหม่คือการกลายพันธุ์ของไวรัสจนเกิดซอมบี้สายพันธุ์ใหม่ที่ไม่ใช่แค่มีพละกำลังแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังจำตัวตนของตัวเองตอนเป็นคนได้ แถมยังมีจิตอาฆาตแรงสุดๆ ชนิดที่คนทำให้พวกเขาโกรธต้องผวากันเลยทีเดียว
ส่วนท่าทางการเคลื่อนไหวของซอมบี้ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้ K-Zombie แตกต่างจากซอมบี้ประเทศอื่นนั้น ในเรื่องนี้ก็ยังทำได้ดีเช่นกัน เพราะเป็นฝีมือการสร้างสรรค์ของทีมนักออกแบบท่าเต้นผู้คร่ำหวอดในวงการอย่าง “กุกจุงอี” ที่มีผลงานโดดเด่นมาตั้งแต่ ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด (Kingdom) ซีซั่น 2 ไปจนถึง The Cursed: Dead Man’s Prey
โดย “กุกจุงอี” บอกว่าเขาเน้นไปที่การนำเสนอ “แง่มุมที่พิสดาร แต่มีลักษณะทางกายภาพที่เหนือกว่ามนุษย์ รวมไปถึงการแสดงออกว่าพวกมันสามารถคิดและพูดได้เหมือนมนุษย์” ผ่านความพิถีพิถันในการออกแบบท่าทางการเคลื่อนไหวอย่างละเอียดของเหล่าซอมบี้
นอกจากนี้ยังมีการออดิชั่น คัดเลือกนักแสดงกว่า 60 ชีวิตมารับบทซอมบี้โดยเฉพาะ เพื่อให้ได้ภาพซอมบี้ที่ดีและสมจริงที่สุดออกสู่สายตาผู้ชม ซึ่งบรรดานักแสดงซอมบี้เหล่านี้ได้ผ่านการฝึกฝนอย่างรอบด้านนาน 3-4 เดือน โดยมีทั้งทีมสอนการแสดงที่ช่วยโค้ชการแสดงออกทางสีหน้า ทีมนักออกแบบท่าเต้นที่ช่วยฝึกซ้อมการเคลื่อนไหวสุดสยอง และทีมสอนศิลปะการต่อสู้ที่ช่วยสอนในฉากโลดโผน เพื่อเก็บรายละเอียดของการแสดงให้ได้มากที่สุด
ชมเบื้องหลังการผลิตของซีรีส์ มัธยมซอมบี้ (All of Us Are Dead) ได้ในคลิปนี้
- เทคนิคการดู “มัธยมซอมบี้” ให้ได้เต็มอรรถรส
“มัธยมซอมบี้” เป็นผลงานของผู้กำกับ “อีแจคยู” ที่เคยสร้างซีรีส์เกาหลียอดฮิตมาแล้วหลายเรื่อง เช่น The King 2 Hearts, Beethoven Virus ฯลฯ และยังเป็นโปรเจกต์ซีรีส์ซอมบี้เรื่องแรกของนักเขียนบท “ชอนซองอิล” ที่เคยฝากฝีมือไว้ในซีรีส์ The Slave Hunters และภาพยนตร์เรื่อง The Pirates และ 7th Grade Civil Servant
ผู้กำกับอีแจคยูได้แนะเคล็ดลับเล็กๆ ที่จะทำให้ดู มัธยมซอมบี้ (All of Us Are Dead) ได้เต็มอรรถรสมากขึ้นว่าต้องหรี่ไฟให้มืดลง และเปิดเสียงดังกว่าปกติ เพราะทีมผู้สร้างได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง sound หรือ เสียงเป็นอย่างมาก
“เสียง” ใน มัธยมซอมบี้ จึงมีรายละเอียด และคุณภาพสูง เช่น เสียงกระดูกหักที่ฟังแล้วอดขนลุกไม่ได้ หรือเสียงซอมบี้ที่จะเป็นแบ็คกราวนด์ให้ได้ยินอยู่ไกลๆ ตลอดเวลา ซึ่งถ้าเปิดเครื่องเสียงดังๆ คุณถึงจะเก็บรายละเอียดเสียงพวกนี้ได้ครบทุกเม็ด
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู เตรียมกายและใจของคุณให้พร้อมรับมือความสยองขวัญสั่นประสาทของเหล่าซอมบี้ ขณะเดียวกันก็ต้องทำใจไปด้วยว่าตัวละครที่คุณชื่นชอบอาจต้องกลายร่างเป็นซอมบี้ หรืออาจหันมีดเข้าใส่เพื่อนกันเองก็เป็นได้