"ภาษีแอลกอฮอล์" อีกทางออกลดนักดื่ม ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังโควิด-19
เวทีประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติ หนุนนโยบายขึ้น "ภาษีแอลกอฮอล์" ทางออกลดนักดื่มและปัญหาอื่นๆ ตามมา แถมยังช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศหลังโควิด-19
ไม่เพียง "แอลกอฮอล์" จะมีส่วนทำให้คนไทยเสียชีวิตประมาณ 5 หมื่นราย/ปี เท่านั้น แต่ผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้ครัวเรือนยากจนลง และส่งผลต่อสุขภาพและสังคม และยังกระทบต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างน้อย 13 เป้าหมาย จากทั้งหมด 17 เป้าหมาย ไม่ว่าจะเป้าหมายที่ 1 ขจัดความยากจน เป้าที่ 2 ยุติความหิวโหย และเป้าที่ 3 สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป็นต้น
หนึ่งในทางป้องกันหรือลดจำนวนนักดื่มอย่างมีประสิทธิภาพคือ การขึ้น "ภาษีแอลกอฮอล์" ซึ่งแนวทางดังกล่าว ยังรับรองโดย องค์การอนามัยโลก ที่ยังได้ออกรายงานชี้แนะประเทศสมาชิกเมื่อปี 2553 ว่า นโยบายขึ้นภาษีแอลกอฮอล์จะช่วยลดปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่กลับพบว่าประเทศต่างๆ ยังไม่ค่อยนำไปใช้
ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นให้นานาประเทศหันมาให้ความสนใจในมาตรการดังกล่าวอีกครั้ง ในเวทีคู่ขนาน (Side Event) ของการประชุมคณะกรรมาธิการสหประชาชาติด้านการพัฒนาสังคม ครั้งที่ 60 (60th United Nations Commission on Social Development) ที่จัดโดยโมเวนดิ อินเตอร์เนชันแนล องค์กรขับเคลื่อนเพื่อการพัฒนานโยบายควบคุมแอลกอฮอล์ระดับโลก และองค์การอนามัยโลกภาคพื้นอเมริกา จึงชวนเหล่าภาคีสุขภาพจากนานาประเทศร่วมแลกเปลี่ยน ภายใต้ประเด็น "ภาษีแอลกอฮอล์ : โอกาสและศักยภาพเพื่อฟื้นฟูหลังโควิด-19 และการพัฒนาที่ยั่งยืน" (Alcohol Taxation: The untapped potential for covid-19 recovery and sustainable development) โดยมีการถอดบทเรียนนโยบายด้านภาษีแอลกอฮอล์ เพื่อการฟื้นฟูประเทศภายหลังการแพร่ระบาดโควิด-19 และสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนภายในปี 2573 (Sustainable Development Goals: SDGs 2030)
คริสตินา สเปอโควา ประธานโมเวนดิ อินเตอร์เนชันแนล กล่าวว่า เป็นเรื่องจริงที่ว่า แม้องค์การอนามัยโลกออกรายงานชี้แนะประเทศสมาชิกว่า นโยบายขึ้นภาษีแอลกอฮอล์จะช่วยลดปัญหาจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่ประเทศต่างๆ ยังไม่ค่อยนำไปใช้เพิ่มการจัดเก็บรายได้เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ สุขภาพ และสังคม นอกจากนี้ นโยบายด้านภาษียังโดนแทรกแซงอย่างหนักจากภาคอุตสาหกรรม ต่อมาจึงมีการศึกษาและถอดบทเรียนจนได้ข้อบ่งชี้ในปี 2562 ว่า ภาษีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นภาษีเพื่อสุขภาพที่ช่วยให้ประเทศสมาชิกสหประชาชาติสามารถขับเคลื่อนการทำงานให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้มากถึง 10 เป้าหมายด้วยกัน
สำหรับประเทศไทย มีทั้งนโยบายการจัดเก็บภาษีเหล้าเบียร์และการนำใช้ภาษีเพื่อการพัฒนาสุขภาวะ ผ่านการทำงานของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน
ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สุราและยาสูบ เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาสังคมไทยอย่างยิ่ง เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีส่วนทำให้คนไทยเสียชีวิตประมาณ 5 หมื่นราย/ปี เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม คำนวณเป็นเม็ดเงินมากกว่า 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือเทียบเท่ากับ 0.6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (จีดีพี) ของประเทศในปี 2560
นอกจากนี้ การศึกษาประเด็นปัญหาเชิงสังคมพบว่า คนไทยราว 4 ล้านคน ได้รับผลกระทบจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เช่น อุบัติเหตุเมาแล้วขับ ความรุนแรงในครอบครัว ปัญหาทะเลาะวิวาท ความรุนแรงในที่ทำงาน
"นโยบายภาษีแอลกอฮอล์ถือเป็นประโยชน์ถึง 3 ต่อ (Win-Win-Win Approach) คือ 1. เพิ่มรายได้จากการจัดเก็บภาษีในประเทศ 2. ลดภาระทางสุขภาพและสังคม หนุนเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน และ 3. ลดการเกิดนักสูบนักดื่มหน้าใหม่ โดยช่วง 10 ปีที่ผ่านมาผลการศึกษาการบริโภคแอลกอฮอล์ในระดับอันตรายของประชากรของไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังช่วยยกระดับสุขภาวะในสังคมไทยในภาพรวมอีกด้วย" ดร.สุปรีดา กล่าว
ด้านศรีลังกา เป็นหนึ่งประเทศ ที่นำแนวทางการทำงานที่ศึกษาจากประเทศไทยคือ “สามเหลี่ยม เขยื้อนภูเขา” ช่วยลดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศ
ดร.โรฮาน รัตนายาเก ผู้แทนกระทรวงสาธารณสุขศรีลังกา กล่าวว่า ประเทศศรีลังกามีมาตรการป้องกันปัญหาเมาแล้วขับอย่างเข้มงวด เนื่องจากศรีลังกามีต้นทุนที่ดีคือวัฒนธรรมที่ไม่ดื่มเหล้าสุราเป็นทุนเดิม ซึ่งจากตัวเลขการศึกษาของศูนย์วิจัยนโยบายสุรา (Centre for Alcohol Policy Solutions: CAPS) พบว่า 40.2% ของประชากรศรีลังกาเพศชาย และมากถึง 96.5% ของประชากรเพศหญิงไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ตาม อิทธิพลของสื่อทำให้เกิดค่านิยมที่เปลี่ยนไปในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ประกอบกับความเชื่อผิดๆ ที่ว่าดื่มเหล้าเบียร์นิดหน่อยไม่เป็นปัญหากับสุขภาพ สิ่งเหล่านี้คืองานที่ต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในประเทศ
ปิดท้ายด้วยความเห็นเสริมจากผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลก ดร.ชีลา ดัตตา กล่าวว่า นโยบายทาง ภาษีแอลกอฮอล์ สามารถช่วยให้นโยบายสุขภาพถ้วนหน้ามีความก้าวหน้าและส่งเสริมการพัฒนาชุมชนสุขภาวะ นอกจากนี้ยังช่วยให้ประเทศต่างๆ มีทรัพยากรที่จำเป็นในการพัฒนาประเทศให้กลับมาเข้มแข็งภายหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างยั่งยืนต่อไป