ขี่ “สกู๊ตเตอร์” หนีร้อนไปแว๊นรอบกรุงกับ “Scootdy Tour”
วันหยุดนี้ถ้ายังไม่รู้จะไปเที่ยวไหน ให้ “สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” พาไปตะลุย “เที่ยวกรุงเทพฯ” กับกิจกรรม “Scootdy Tour” เข้านอกออกในซอยไปพบเมืองหลวงในมุมมองใหม่
ความน่าสนใจของ กรุงเทพมหานคร คือ เป็นเมืองที่มีหลายเลเยอร์ มีความหลากหลายในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะสิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมแต่ละพื้นที่ สถาปัตยกรรม วิถีชีวิตของผู้คน อาหารการกิน ประวัติศาสตร์ และอีกสารพัด ซึ่งทุกอย่างไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง แต่กระจัดกระจายอยู่ตามตรอกซอกซอย จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะได้สัมผัสทุกอรรถรสของมหานครแห่งนี้
ส่วนหนึ่งที่ทำให้หลายคนเข้าไม่ถึงของดีกรุงเทพฯ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่ได้มีมาวางโชว์ให้เลือกสรรกันตามตลาด ทว่าต้องดั้นด้นเข้าไปหาถึงจะได้เห็น การขี่ สกู๊ตเตอร์ ซอกแซกจึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดี เพราะไม่เร็วเกินไปและไม่ช้าเกินไป
การขี่ “สกู๊ตเตอร์” เที่ยวทริปนี้เป็นของ Scootdy Tour ผู้ให้บริการการท่องเที่ยวด้วย สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ที่มีเส้นทางมากมายและครอบคลุมหลายจังหวัดรวมถึงกรุงเทพฯ โดยทริปนี้เป็นเส้นทางรอบเกาะรัตนโกสินทร์ หรือที่เรียกว่าเส้น “กรุงเทพราตรี” หนึ่งในหกเส้นทางทัวร์กรุงเทพฯ มีจุดสตาร์ทที่วัดชนะสงคราม
ก่อนเริ่มเดินทาง ด้วยความที่ “สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” เป็นยานพาหนะที่มีความเร็วพอสมควร และจำเป็นต้องใช้เส้นทางสัญจรร่วมกับยานพาหนะอื่นๆ ไม่ว่าจะต้องลงบนถนนบางช่วง หรือแม้แต่ใช้ทางเท้าก็มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นความปลอดภัยจึงมาเป็นอันดับหนึ่ง ตั้งแต่อุปกรณ์ป้องกัน เช่น หมวกกันน็อค ไปจนถึงความรู้ความเข้าใจเรื่องการขับขี่ “สกู๊ตเตอร์” ทางเจ้าหน้าที่นำเที่ยวจะจัดการให้เสร็จสรรพ เพื่อให้ทริปนี้สนุกและปลอดภัย
จากวัดชนะสงคราม ขี่ (บวกไถ) มาไม่ไกลนัก ก็มาถึง สวนสันติชัยปราการ สวนสาธารณะที่ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่นี่จึงเป็นสวนสาธารณะที่มีวิวแม่น้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม มองออกไปจะเห็นสะพานพระรามแปดตั้งตระหง่าน ส่วนที่สวนนี้ก็เป็นที่ตั้งของ ป้อมพระสุเมรุ ป้อมปราการสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่รัชกาลที่ 1
ทุกวันนี้ที่นี่ยังเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของประชาชน และเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวของกรุงเทพมหานครที่ยังน่ามาปล่อยเวลาให้หมดไปกับบรรยากาศดีๆ
ไม่ไกลกันนัก คือ ชุมชนวัดสังเวช ชุมชนเก่าแก่ดั้งเดิมในย่านนี้ ที่ถึงแม้จะถนนหนทางขนาดกะทัดรัด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับชาวแก๊ง “สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” ที่จะลัดเลาะไปในชุมชนนี้ได้ ซึ่งภายในชุมชนมีจุดน่าสนใจอยู่มากมาย ยกตัวอย่างเช่น บ้านดุริยประณีต สำนักดนตรีไทยเก่าแก่ สอนดนตรีไทยและนาฏศิลป์ให้เด็กๆ ในชุมชนและผู้สนใจ เป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของนาฏศิลป์ไทยที่ยังมีลมหายใจอยู่เลยทีเดียว
ไปอีกหน่อยที่ริมคลองบางลำพู คือที่ตั้งของ ศาลเจ้าพ่อหนู ที่นี่เป็นที่เคารพนับถือของพ่อค้าแม่ขาย เพราะศาลเจ้าพ่อหนูขึ้นชื่อเรื่องการค้าขายและโชคลาภ จึงมีผู้คนแวะเวียนมากราบขอพรอยู่เนืองๆ
นอกจากศาลเจ้าพ่อหนู ใกล้ๆ กันเมื่อเลาะเลียบริมคลองบางลำพูมา คือ ศาลสมเด็จพระเจ้าตากสิน นับเป็นศาลเดียวในฝั่งพระนคร ที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบเก๋งจีน
สังเกตได้ว่าเพียงระยะทางไม่ไกล และเป็นเพียงชุมชนเดียวที่ขี่ “สกู๊ตเตอร์” ผ่าน แต่ระหว่างทางมีสตรีทอาร์ตให้แวะดูและถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอยู่หลายจุดเลยทีเดียว เป็นสีสันของยุคสมัยที่อยู่ร่วมกับชุมชนเก่าแก่ได้อย่างกลมกลืน
นอกจากวิถีชีวิตและของดีในชุมชนที่ได้สัมผัสกันไปแล้ว พอเอ่ยถึงย่านบางลำพู สายกินคงนึกถึงร้าน ปาท่องโก๋เสวย กันอยู่บ้าง และเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ลิ้มลองหรือกระทั่งฝากท้องยามหิวไว้กับร้านนี้ ในครั้งนี้ก็เช่นกัน ร้านปาท่องโก๋ถูกจัดเป็นหนึ่งในจุดพักกาย แต่ไม่พักปาก เพราะต้องเคี้ยวสารพัดเมนูคาวหวานที่แต่ละอย่างล้วนใส่ปาท่องโก๋ย่างเป็นส่วนประกอบหลัก ถึงจะแปลกแต่ก็ดันเข้ากันเสียอย่างนั้น
ส่วนเมนูหวาน เช่น ปาท่องโก๋ย่างสังขยา หรือปาท่องโก๋ย่างกับนมข้นหวาน ก็คงไม่ต้องบอกว่าอร่อยแน่นอน ยิ่งกินไปพร้อมกับเครื่องดื่มเย็นๆ คือช่วงพักที่ยังไม่อยากให้หมดไป
แต่ถึงจะอร่อยแค่ไหน แต่การเที่ยวด้วย “สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” ยังมีอะไรน่าค้นหาอีกเยอะ พออิ่มแล้วก็ต้องลุย จากบางลำพูสู่ถนนข้าวสาร ช่วงนี้ที่สถานการณ์โควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ถนนข้าวสารจึงยังค่อนข้างเงียบ สงบ แตกต่างจากสมัยที่โควิดยังไม่บุกโลก การขี่สกู๊ตเตอร์ผ่านถนนสายนี้จึงเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี
เรามาโผล่กันที่ถนนราชดำเนินบริเวณหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์ เพียงข้ามถนนไปก็จะเจอกับ พระแม่ธรณีบีบมวยผม หนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกรุงเทพฯ ซึ่งสร้างขึ้นจากพระราชดำริของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เพื่อแจกจ่ายน้ำดื่มสะอาดบริสุทธิ์ให้ผู้คนทั่วไป มวยผมพระแม่ธรณีจึงถูกออกแบบให้มีน้ำสะอาดไหลออกมาจากปลายมวยผม ใช้ดื่มกินได้
ขี่ต่อมาจนถึงหน้า ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร บริเวณนี้เป็นเสมือนจุดศูนย์กลางของสถานที่สำคัญแบบรอบทิศทาง ทั้งพระบรมมหาราชวัง, วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) หรือแค่ถัดมาอีกนิดเดียวก็คือกระทรวงกลาโหม ที่เป็นทั้งจุดพักและจุดถ่ายรูปชั้นดี แถมยังได้ดูโบราณวัตถุอย่าง ปืนใหญ่นางพญาตานี ที่ตระหง่านอยู่หน้ากระทรวงกลาโหม ปืนใหญ่กระบอกสำคัญในประวัติศาสตร์ไทยที่เคยอยู่ที่ปัตตานีและเป็นตราประจำจังหวัดปัตตานีด้วย
และอีกที่ที่สายถ่ายรูปน่าจะเคยมาหรือถ้าไม่เคยมาก็ห้ามพลาด คือบริเวณด้านข้างกระทรวงกลาโหม เพราะนี่คือแลนด์มาร์คจุดถ่ายรูปที่สวยมากๆ แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ด้วยสถาปัตยกรรมของอาคารกระทรวงฯ สุดคลาสสิค บวกกับถนนที่ทอดยาว และแสงยามเย็นที่สาดเข้ามาขับเน้นให้สีสันของตึกดูโดดเด่น จะถ่ายหรือไถสกู๊ตเตอร์ผ่านก็ฟินอย่างบอกไม่ถูก
ใกล้จบทริปเข้าไปทุกที แสงยามเย็นก็เร่งให้ต้องไปยังที่นี่ คือ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) ที่ซอยตรงข้ามวัดคือจุดตรงข้าม พระปรางค์วัดอรุณ แสงเย็นที่อาทิตย์ใกล้ลับฟ้านี่คือจุดชมพระปรางค์ฯ ที่สวยที่สุดจุดหนึ่ง
หลังจากอำลาแสงสุดท้าย เราไปจบทริปกันที่ ท่าเรือมหาราช ซึ่งต้องขี่ “สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า” ผ่าน อุโมงค์มหาราช ทางเดินลอดใต้ถนนแลนด์มาร์คใหม่ของท่าช้าง เป็นบันไดเลื่อนกลางแจ้งที่รายล้อมด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ของเกาะรัตนโกสินทร์ เราใช้เวลาทริปนี้ทั้งสิ้นประมาณ 3 ชั่วโมง เป็นเวลาไม่น้อยและไม่นาน แต่ได้เห็นกรุงเทพฯ มุมมองใหม่ที่น่าประทับใจไม่มีวันลืม
---
สอบถามข้อมูล “Scootdy Tour” เพิ่มเติมได้ที่ /www.itd2020.com, Facebook : scootdytour หรือโทร 06 5502 9940
(การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สนับสนุนการเดินทาง)