จัดบ้านแบบมาริเอะ ประเมินความสุขก่อนทิ้งของ
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า หนังสือการจัดบ้านของ'คนโด มาริเอะ' ผู้เชี่ยวชาญการจัดบ้านชาวญี่ปุ่น ไม่ใช่การทิ้งของให้เกลี้ยง แต่เลือกที่จะประเมินความสุขก่อนทิ้งหรือเก็บ
ถ้าพูดถึงการจัดบ้าน หลายคนเป็นต้องนึกถึง คนโด มาริเอะ ชาวญี่ปุ่นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญการจััดบ้านอันดับต้นๆ ของโลก เธอสามารถเปลี่ยนห้องรกรุงรังเป็นห้องพักในโรงแรมได้ จึงเป็นที่ชื่นชอบสำหรับเจ้าของบ้าน
เธอโด่งดังไปทั่วโลก มีผลงานหนังสือ ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้าน ด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว,ชีวิตดีขึ้นทุกๆ ด้านด้วยการจัดบ้านแค่ครั้งเดียว2,วิธีจัดบ้านให้เรียกความสุขที่คนโด มาริเอะ อยากบอกคุณ ฯลฯ ภาษาไทยจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์วีเลิร์น
ผลงานของคนโดมียอดขายหลายล้านเล่ม นอกจากนี้ยังแปลเป็นภาษาต่างๆ อีกหลายภาษา และยังมีหลักสูตรการจัดบ้าน รวมถึงเป็นที่ปรึกษาการจัดบ้าน
ในบรรดาหนังสือการจัดบ้านทั้งหมดของคนโด ผู้เขียนขอยกให้เล่มแรก เพราะปรัชญาเดี่ยวในการจัดบ้าน นั่นก็คือ อะไรที่ไม่ปลุกเร้าความสุขให้เราแล้ว ก็ทิ้งไป ถ้าไม่แน่ใจก็ลองเก็บไว้สักสามเดือน ถ้าไม่ได้หยิบจับ นำมาใช้เลย ของชิ้นนั้นก็น่าจะจากเราไปได้แล้ว
วิธีการจัดระเบียบของใช้ภายในบ้านที่รกรุงรังให้เป็นระเบียบสวยงาม ไม่ใช่แค่การจัดระเบียบ แต่เป็นจัดชีวิตให้เข้าที่เข้าทางด้วย
“การจัดบ้านคือการจัดระเบียบจิตใจ ส่วนการทำความสะอาดคือ การทำให้จิตใจให้สงบนิ่ง ” คนโด เขียนไว้เช่นนั้น
สำหรับเธอแล้ว การจัดบ้านก็เหมือนการจัดชีวิตใหม่ ที่สนใจคือ เราไม่ได้ใช้สมองในการตัดสินว่า ของชิ้นใดปลุกเร้าความสุข แต่ใช้หัวใจ(จิตใจ)ในการรับรู้
“ถ้าของชิ้นนั้นไม่ปลุกเร้าความสุขจริงๆละ ก็ให้โยนทิ้งไปได้เลย”
เหตุใดเธอแนะนำเช่นนั้น เพราะคนเรามักยึดติดกับข้าวของเครื่องใช้ คนมากมายเก็บของไว้เพียงแค่คิดว่าเผื่อได้ใช้ จนกระทั่งจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ยังไม่ได้ใช้
"หลังจากที่ฉันทิ้งค้อนไป เพราะด้านจับชำรุด ฉันก็ใช้กระทะตอกตะปูนแทน และเมื่อทิ้งลำโพงไป เพราะไม่ชอบที่มันมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมมุม ฉันก็เปลี่ยนมาฟังเพลงผ่านหูฟังแทน
แน่นอนว่า หากถึงคราวจำเป็นจริงๆ ฉันก็จะซื้อของชิ้นนั้นมาใหม่อีกครั้ง แต่ฉันจะไม่ซื้อของไปเรื่อยเปื่อย ฉันจะเลือกของโดยพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ทั้งในแง่ประโยชน์ใช้สอยและการออกแบบ ทำให้สุดท้ายได้ของที่ตัวเองชอบจริงๆ "
หนังสือการจัดบ้านของเธอ จึงแฝงไว้ด้วยความเรียบง่าย และความเข้าใจชีวิต การทิ้งสิ่งของที่ไม่ได้นำความสุขมาให้ชีวิต และการเก็บให้เป็นหมวดหมู่ แฝงไว้ด้วยปรัชญาความคิดที่ทำให้เราไม่ยึดติดกับสิ่งของที่ไม่ปลุกเร้าความสุขแล้ว
หากเมื่อใดเกิดความลังเลในการทิ้ง เธอแนะว่า “ให้เก็บของชิ้นนั้นไว้ในกล่องเก็บของที่จะทิ้ง หากไม่ได้ใช้ใน 3 เดือน และเมื่อครบ 3 เดือนแล้วคุณไม่ได้ใช้มันจริงๆ ก็ตัดใจโยนทิ้งไปได้เลย”
นอกจากนี้เธอยังเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดบ้านให้สาวๆ มากมาย เธอพบว่า คนที่ไม่มีโอกาสได้เจอคนรักเสียทีนั้น มักจะเป็นคนที่มีเสื้อผ้าเก่า หรือเอกสารเยอะ ส่วนคนที่มีแฟนแต่รู้สึกว่า ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่น ส่วนใหญ่มักจะเป็นคนที่ไม่ใส่ใจกับข้างของที่มี
ดังนั้นการจัดบ้านในมุมของเธอ ก็คือ “การมองดูตัวเอง และยิ่งสะสมข้าวของไว้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องใช้เวลาและแรงกายในการจัดการกับมันมากเท่านั้น”
ในหนังสือของคนโด จะมีคำที่เธอเขียนย้ำบ่อยๆ ว่า ของชิ้นนั้นยังปลุกเร้าความสุขให้คุณไหม เหมือนให้ลองสำรวจจิตใจว่า คุณยังผูกพันกับสิ่งนั้นไหม
ส่วนในเรื่องความเชี่ยวชาญการจัดบ้าน นอกจากลูกค้าทั่วไปที่ต้องรอคิวนานมาก เธอยังมีลูกค้าพิเศษที่แทรกคิวให้ และยอมล้มเลิกแผนการในวันหยุดพักผ่อน นั่นก็คือ พ่อของเธอ
"พ่อเป็นคนที่ตัดใจทิ้งของได้ยากมาก และถึงขั้นเคยบอกกับแม่ว่า จะไม่มีวันทิ้งเสื้อผ้าเด็ดขาด ทั้งยังคัดค้านความเห็นของฉันที่ว่า"น่าจะทิ้งไปเถอะ" มาตลอดสิบปี
จนในที่สุดเธอได้สอนจัดบ้านให้พ่อ และได้นั่งจัดบ้านด้วยกัน โดยเลือกให้ทุกคนในครอบครัวมาช่วยกันจัดเก็บภาพถ่ายครอบครัว รื้อภาพถ่ายมาจากลัง จากนั้นนำมากองไว้ที่พื้น เพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นตอนสุดท้ายของการจัดบ้าน
“บรรยากาศการทำงานที่ได้มานั่งเลือกภาพถ่ายและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานถึงเรื่องราวในอดีตนั้น นับเป็นการจัดบ้านที่สนุกที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมาเลย”
.....................
ของที่ตัดใจทิ้งไม่ได้ ต้องทำอย่างไร
ถ้าของสิ่งนั้นไม่ปลุกเร้าความสุข แต่ตัดใจทิ้งไม่ลง เธอให้คำตอบ 3 ข้อในการสำรวจจิตใจ
1 ของชิ้นนั้นเคยปลุกเร้าความสุขได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว
2 ของชิ้นนั้นเคยปลุกเร้าความสุขได้ แต่คุณกลับไม่รู้สึกถึงมัน
3 ของชิ้นนั้นเป็นสิ่งที่ห้ามทิ้ง ไม่ว่ามันจะปลุกเร้าความสุขให้คุณได้หรือไม่ อาทิ สิ่งของที่ใช้ในพิธีสำคัญ งานแต่งงาน พิธีศพ ฯลฯ รวมถึงข้าวของคนในครอบครัวหรือคนอื่น ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาอย่างแน่นอน หากทิ้งไปโดยพลการ