ความทรงจำและการอำลาในวันที่ "BNK48 รุ่น 1" จะไปเติบโตในโลกใบใหญ่
เปิดใจ 6 ตัวแทนเมมเบอร์ "BNK48" ในวันที่งานเลี้ยงถึงวันเลิกรา เมื่อ "BNK48 รุ่น 1" จะต้องโบกมือช่วงเวลา 6 ปีที่เต็มไปด้วยทรงจำที่ไม่มีวันลืม แล้วเดินหน้าต่อสู่เส้นทางใหม่
ถ้า BNK48 เป็นเหมือนห้องเรียน เมมเบอร์แต่ละคนก็คงเป็นนักเรียน ต่างคนต่างที่มาแล้วมาเรียนรู้ เติบโต ไปด้วยกัน ส่วนแฟนคลับก็คงไม่แตกต่างอะไรกับคุณครู ที่ทั้งคอยเฝ้าดูและสนับสนุน จนถึงวันนี้ที่ BNK48 รุ่น 1 กำลังจะสำเร็จการศึกษา ต้องลาจากห้องเรียนนี้ ความผูกพันที่มีมาตลอด 6 ปี ในฐานะคุณครูที่ได้เห็นพัฒนาการและความพยายามของเมมเบอร์ทุกคน ช่างเป็นช่วงเวลาที่น่าใจหาย
อร, โมบายล์, จิ๊บ, มายด์ และเคท BNK48 เป็นตัวแทนของวงมาเล่าให้ทุกคนฟังถึง 6 ปีที่ผ่านมา กับช่วงเวลาที่กำลังจะจบลง รวมถึงอนาคตของพวกเธอที่จะต้องออกไปสู่โลกกว้างโดยไม่มีนามสกุล "BNK48" ต่อท้ายอีกต่อไปแล้ว
และการจากลาครั้งนี้มี Jiwaru Days เป็นบทเพลงพิเศษส่งท้ายแทนคำอำลาจาก "BNK48 รุ่น 1" ที่มีความหมายถึงความผูกพัน แต่การจากลาก็เป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตที่ถึงจะไม่อยากให้เกิดขึ้นแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ต้องจากกันอยู่ดีไม่ว่าจะเมมเบอร์กับเมมเบอร์เอง หรือแม้กระทั่งกับแฟนคลับก็ตาม
ใน MV เพลง "Jiwaru Days" คือภาพจำลองของห้องเรียนที่เมมเบอร์ทุกคนคือสมาชิกในนั้น การเจริญเติบโตของเด็กๆ เล่าผ่านช่วงชั้นที่โตขึ้น ภาพของความสุข ความฝัน ความรัก ความผูกพันที่มีด้วยกันเสมอมา ซึ่งในการถ่ายทำ MV นี้ พวกเธอมีส่วนร่วมคิดซีนต่างๆ เพื่อถ่ายทอดช่วงเวลาตลอดการเป็น "BNK48" ให้ดีที่สุด
บรรยากาศในกองถ่าย MV เป็นอย่างไร
อร : พวกเราบิลด์กันเอง คือเรานั่งคุยกันเพราะเป็นภาพที่เราเปิดตัว ตอนนี้เราเหลือใครบ้าง คนที่แกรดไปแล้วก่อนหน้าก็เว้นที่ไว้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเราคิดกันมา ก็เลยเป็นเรื่องที่รับรู้อยู่แล้ว
มายด์ : แต่โดยรวมเราก็อิ่มใจ เพราะพวกเราเหมือนเพื่อนที่สนิทกันแล้ว ไม่มีตรงไหนที่ขัดใจ คือโดยปกติแล้วเซ็มบัตสึจะเป็น 16 คน ตอนที่ยังไม่มีรุ่น 2 รุ่น 3 เราก็จะติดกัน สลับกันขึ้นบ้างในรุ่น 1 ที่เหลือ เช่น ตัวท็อปกับอันเดอร์ก็สลับกันขึ้น แล้วตอนนี้พวกเราอยู่กันทุกคนจริงๆ มันเลยอิ่มใจที่เราอยู่ด้วยกัน
ยังจำความรู้สึกวันแรกที่เป็น BNK48 ได้ไหม
อร : 6 ปีที่แล้ว ตอนนั้นจำได้ว่าสัมภาษณ์เขาถามว่าถ้าไม่ติดจะทำอะไร ก็ตอบว่าหางานใหม่ ก็ดูเป็นตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว (ฮา) เอาจริงๆ คือตั้งแต่แรกเราไม่คิดว่าจะติด เป็นความรู้สึกที่ทุกคนรู้สึกเหมือนกัน
จิ๊บ : มันเป็นความรู้สึกที่ว่ามาเพื่อหาประสบการณ์ ถ้าติดก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าไม่ติดก็ไม่เป็นไร เราได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับวงใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
อร : มันเป็นโมเดลที่เราไม่คุ้นเคยในประเทศไทยด้วย เราก็เลยไม่เห็นภาพว่ามันจะเป็นอย่างไร แล้วเราอยู่มา 6 ปี มันจะเป็นอย่างไรนะ
มายด์ : เรายังจำทางไม่ได้ด้วยซ้ำ เราติดมาเราก็มา ให้มาซ้อมเราก็ซ้อม มีงานให้ทำเราก็ทำ แต่พอมานานๆ เข้า เราก็ถึงรู้สึกว่า เออ เราคือ BNK48 นะ
ตลอด 6 ปี ได้เรียนรู้อะไรบ้าง
มายด์ : ก็ได้เรียนรู้หลายอย่างค่ะ สำหรับหนูค่อนข้างได้เรียนรู้เยอะมากๆ หนูก็แค่เด็กที่มาจากต่างจังหวัด ก็ไม่ได้คิดอะไร จนเราเข้ามาอยู่ก็มีอะไรมากกว่านั้นนะ มีอะไรมากกว่าการมาทำงานหาเงินช่วยพ่อแม่เฉยๆ มีเรื่องทางสังคม มีเรื่องที่เราต้องคิดเยอะขึ้นไปอีก ก็เปลี่ยนความคิดเราไปเลยนะ จากวันแรกที่เราเป็นเด็กใสๆ วันๆ ทำอะไรไป แต่พอเป็น BNK48 ก็ต้องคิดตลอดเวลา ทำแบบนี้แล้วจะเกิดผลอะไร หรือถ้าไม่ทำแล้วจะเป็นอย่างไร
อร : หนูรู้สึกว่าได้อะไรเยอะค่ะ ที่แน่ๆ ก็ประสบการณ์ในวงการบันเทิง แล้วก็เราทำงานก่อนชาวบ้านชาวช่องเขา คือคนอื่นเรียนเราทำงาน มันเลยทำให้เราเติบโต ไม่ได้ทีละสเตปแบบคนอื่น แต่เราก้าวกระโดดไปเลย เราต้องรับรู้ในพาร์ทผู้ใหญ่ เช่น เรื่องภาษี เราจะจัดการอย่างไร เป็นสิ่งที่เราไม่น่าจะต้องมาเรียนรู้ตอนนี้ แต่เรารู้แล้ว
มันเหมือนไฟท์บังคับ เหมือนโดนปุ๋ยเร่งโต จนบางทีก็แอบกงัวลว่าเราจะไม่ได้ลิ้มรสความสวยงามระหว่างทางเพราะเราโตเร็วเกินไป แต่สุดท้ายแล้วมันก็ดีกับเราไม่ว่าจะทางใดก็ทางหนึ่งก็ตาม
อีกอันหนึ่งที่รู้สึกดีคือทุกคนมี Human Skills มากขึ้น เนื่องจากเราต่างพ่อต่างแม่ ต่างสถาบัน ต่างการเลี้ยงดู แล้วการที่เรามาอยู่ตรงนี้คือการได้ทำงานกับคน แล้วการทำงานกับคนต้องมี Human Skills ตอนแรกหนูก็ปรับตัวไม่ได้ เขาคิดกันแบบนี้เหรอ เราเจอกันหลายคนมากจริงๆ เลยต้องปรับต้องจูนกันมากมาย ก็เลยรู้สึกว่าพวกเราเก่ง (อมยิ้ม)
โมบายล์ : เรียนรู้เยอะมากค่ะ เพราะทั้งชีวิตหนูอยู่ที่ BNK48 เลย ตอนเข้ามาก็เพิ่งจะเริ่มเรียนมัธยม เรียนหนักด้วยและทำงานหนักด้วย แต่เราก็เลือกที่จะทำงานโดยตรง 100 เปอร์เซ็นต์ ทีนี้ชีวิตเราเลยอยู่กับ BNK48 แล้วก็มีบททดสอบมาให้เราตลอด คือชีวิตคนเราทั่วไปจะมีบททดสอบอยู่แล้ว แต่พออยู่ใน BNK48 จะมีบททดสอบเยอะมากกว่า เลยทำให้เรารู้ว่าเราถนัดอะไร ไม่ถนัดอะไร แล้วไหนคือสิ่งที่เราชอบ ไหนคือสิ่งที่เราไม่ชอบ เลยทำให้เราต้องพัฒนาตัวเองด้วย
การอยู่ในวงเป็นเรื่องยากอยู่นิดหนึ่งที่มีอันดับ มีอะไรแบบนี้ ทำให้เราต้องฮึดสู้ ต้องพยายามพัฒนาตัวเอง ต้องสู้กับจิตใจ เพราะมีผลกระทบกับเรามากเหมือนกัน เพราะด้วยความที่เราเข้าวงมาตั้งแต่เด็ก เลยทำให้ต้องปรับตัว
เคท : สำหรับหนู ได้เรียนรู้ที่จะก้าวผ่านตัวเองค่ะ เพราะก่อนหน้านี้หนูเป็นคนที่ไม่น่าจะกล้าเข้ามาทำอะไรตรงนี้ได้เลย พอมาทำตรงนี้แล้วช่วงแรกยังทำไม่ได้ ก็เลยต้องพยายามกล้ามากกว่านี้ ทำให้เรารู้สึกว่าเราได้ก้าวผ่านตัวเองไปเยอะเหมือนกัน แต่ก็ยังมีอาการแพนิคบ้าง แต่ก็ยังควบคุมมันได้ดีกว่าเมื่อก่อน
จิ๊บ : ตอนที่เข้ามาก็ฟิลเดียวกับพี่มายด์ เป็นเด็กต่างจังหวัดที่มีสังคมต่างกับในกรุงเทพ และหนูเป็นกลุ่มคนที่เรียนไปด้วยแล้วทำ BNK48 ไปด้วย ช่วงประมาณหลังเพลงคุกกี้เสี่ยงทาย เราก็จะรู้สึกได้แล้วนะว่าการที่เรามาเป็น BNK48 ครึ่งหนึ่ง แล้วเรียนอีกครั้งหนึ่ง มันเป็นฟิลที่ไม่เหมือนกันเลย ครูที่โรงเรียนก็บอกว่าไม่ต้องเสียใจนะที่ไม่ได้มีชีวิตช่วง ม.ปลาย ไม่ต้องเสียดาย เพราะชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้เป็นรูปแบบหนึ่งที่เราได้มีวัยรุ่นไม่เหมือนคนอื่น แต่ก็เป็นความทรงจำที่ดีของเราเหมือนกัน ฟังตอนนั้นก็รู้สึกดีค่ะ เพราะเราก็แอบรู้สึกเวลาเพื่อนๆ ได้ทำงานในชั้นเรียนแต่เราไม่ได้ทำ เวลาเขามีกิจกรรม เราก็มีกิจกรรมที่ชนๆ กันบ่อย
ก็รู้สึกดีใจที่ผ่านมาได้ แล้วก็ยังสงสัยว่าผ่านมาได้อย่างไร ต้องขอบคุณโรงเรียนด้วยค่ะที่คอยซัพพอร์ตเราด้วย เอาจริงๆ ช่วงแรกเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมาเป็นแบบนี้ ภาพที่เห็นครั้งแรกคือปกติหนูเป็นโอตาคุ ได้เห็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตที่มีแฟนคลับอยู่ข้างล่าง เราเห็นแค่นั้นเลย แต่ไม่รู้เลยว่าต้องซ้อมเต้น ซ้อมร้อง ต้องฝึกพูด และอีกหลายอย่าง จนกระทั่งมาถึง 6 ปีนี้ เราได้เรียนรู้มาแทบจะทุกอย่างเลย ทั้งชีวิตถ้าไม่ได้มาอยู่ BNK48 เราคงไม่ได้มาสัมผัสประสบการณ์แบบนี้
มีใครรู้สึกว่าสูญเสียช่วงวัยรุ่นไปไหม
มายด์ : หนูเห็นด้วยกับคำพูดของพี่อรมากๆ ที่ว่าเราโดนใส่ปุ๋ยเร่งโต เพราะตอนที่ยังอยู่โคราช ถ้าเราจะมาซ้อม เราก็ต้องเรียนแค่ครึ่งเช้า แล้วเราต้องนั่งรถมาแล้ว ซึ่งพ่อแม่ก็ไม่ได้มีเวลาไปรับไปส่งเราตลอด เราก็เลยต้องเดินทางเอง ซึ่งอะไรตรงนี้แหละที่คือปุ๋ยเร่งโต อายุ 15 เข้ากรุงเทพเอง ก็โดนแท็กซี่หลอกอีก เราต้องตามทันคนให้ได้ มันคือการใช้ชีวิตตัวคนเดียวจริงๆ
แล้วพาร์ทที่รู้สึกว่าเสียไป คือ เราเรียน ม.1 แล้วหนูทะเลาะกับเพื่อนตอน ม.2 แต่ตอน ม.3 หนูติด BNK48 แล้วโดยที่ยังไม่ได้คืนดีกับเพื่อน แล้วเพื่อนดันมาง้อตอน ม.3 เทอมแรก แต่หนูต้องบอกเพื่อนว่าเทอมสองจะไม่อยู่แล้วนะ จะไปแล้ว ก็คือไม่น่าทะเลาะกันเลยตอนนั้น เสียดายเวลา น่าจะอยู่กับเพื่อนที่เคยสนิทกัน
เป้าหมายใน BNK48 เป็นอย่างไร แล้วจนถึงทุกวันนี้เป็นไปตามเป้าหรือยัง
เคท : หนูไม่ได้ตั้งเป้าหมายอะไรขนาดนั้นค่ะ ขอแค่ตอนอยู่ในวงได้ทำเต็มที่ในส่วนของเรา ที่เราได้รับหน้าที่มา ก็รู้สึกว่ามันคือเป้าหมายของเราแล้วค่ะ หลักๆ ของหนูคือการทำงานกับเพื่อน การทำงานเต็มที่ที่สุดในพาร์ทที่เราทำได้ ซึ่งที่ผ่านมาก็รู้สึกแฮปปี้ ก็เป็นตัวเราดี เพราะเป็นคนที่ไม่เคยสูญเสียตัวตน
โมบายล์ : เห็นอย่างนี้ไม่ได้มีเป้าหมายเลยค่ะ ไม่เคยวางว่าปีนี้ต้องทำอะไรเลย ไม่เคยเลย แค่ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด พอมีโอกาสมาก็มีเป้าหมายแค่ว่าต้องทำให้ดี ก็โชคดีที่มีบททดสอบเข้ามากับตัวเองเยอะ และดีที่เป็นคนมีความพยายาม ไม่ได้เก่งทุกอย่าง ต้องฝึกก่อนถึงจะทำสำเร็จ ทุกคนที่เห็นว่าเราประสบความสำเร็จก็เพราะได้โอกาส และเรามีความพยายาม ต้องขอบคุณตัวเราที่ทำให้มันลุล่วงไปด้วยดี
จิ๊บ : ไปคำถามถัดไปเลยได้ไหมคะ เพราะเป็นเรื่องที่ตอบยากเหมือนกัน ถ้าพูดถึงเราจะทำอะไรในปีนี้ มันอาจจะไม่มีขนาดนั้น อาจด้วยตอนแรกๆ ด้วยมั้งคะที่มีกฎระเบียบข้อบังคับที่ต้องทำเยอะมาก แล้วอย่างแนวของหนูที่เป็นเด็กเล่นเกม ก็จะไม่ค่อยได้ทำอะไรแบบนั้นเท่าไร ถึงตอนนี้จะได้ทำแล้วแต่มันเป็นช่วงท้ายๆ เลยเหมือนยังไม่ได้ทำอะไรตรงนั้นสุดๆ สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือทำในที่ของเราให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้มากกว่า
จริงๆ หนูอยากมีเพลงที่เราชอบตอนที่เรายังเป็น BNK48 อาจไม่ต้องติดเซ็มเพลงที่เราชอบ แต่ขอแค่เราได้เต้นเพลงนั้นที่เป็นของเราแล้ว ซึ่งก็มีบ้างนะ อย่าง RIVER หนูก็ดีใจมากที่มา เป็นต้นค่ะ ส่วนใหญ่เป็นความฝันในวัยเด็กที่เราอยากทำมากกว่า
มายด์ : เป้าหมายหนูชัดเจนอยู่แล้วคือเรื่องสร้างบ้าน แต่ก็ไม่ได้สร้างหลังใหม่ ต่อเติมๆ ไป ขยายตรงนู้น เพิ่มเติมตรงนี้ ซึ่งตอนนี้หนูว่าอยู่ในจุดที่คนที่บ้านพอใจกันหมดแล้ว ซึ่งถ้าจะบอกว่าเพราะหนูคนเดียวคงไม่ใช่ เพราะมีทุกคน เรามีเมมเบอร์ทุกคนสู้ไปด้วยกัน พอมันเสร็จจากเป้าหมายตรงนั้นแล้ว หนูก็แค่มีความสุขของหนูไปวันๆ เรามีความสุขที่จะทำอะไรก็รักษามันไว้ ไม่ใช่ว่าพอไม่ได้แล้วเราจะเลิกหรือเกลียดมัน
อย่างตอนที่เปลี่ยนความคิดน่าจะคือช่วง JABAJA ตอนนั้นเป็นช่วงที่เฟลที่สุดแล้ว พอหลังจาก JABAJA เลยกลายเป็นคนที่ไม่ถึงกับปล่อย แต่เรามีความสุขกับทุกอย่าง เราไม่ต้องติดเซ็ม แต่เพื่อนเราติดเซ็มเราก็ดีใจกับเขา เพราะสุดท้ายก็คือ BNK48 ด้วยกัน เพราะถ้ามีใครเหมาะสมกว่าก็ควรติดเพลงนั้น และไม่ใช่ว่าเราจะไม่ได้เต้นเพลงนั้น เพราะเราก็ได้เต้นอยู่ดี
อร : อาจจะด้วยอะไรหลายอย่าง ที่ทำให้รู้สึกว่าอรประสบความสำเร็จหลายอย่างแล้ว ก็เลยเป็นความว่างเปล่าที่ว่าเราเหมือนจะไม่มีเป้าหมายในวง มันเหมือนว่าพอเราได้โอกาสหลายอย่าง แล้วโอกาสนั้นมาจากมือเราทั้งหมดก็เลยรู้สึกว่าเราอาจจะมีเป้าหมายที่กว้างออกไปอีก เพราะมันปลดล็อกหมดแล้ว
ความฝันกับก้าวต่อไปของแต่ละคน
จิ๊บ : สำหรับหนูยากนะ หนูคิดมาตั้งแต่ก่อนมีโควิดว่าจะออกไปทำอะไรดี เพราะว่าชอบมีคนมาถามว่าจะไปทำอะไรต่อ ก็ไม่รู้ อาจด้วยความที่เราได้มาอยู่ตรงนี้ เมื่อก่อนเคยอยากเป็นนักร้อง ก็ไปหาประสบการณ์ต่างๆ นานา จนได้มาเป็น BNK48 พอมาเป็นก็รู้สึกว่ามันมีอะไรอีกหลายอย่างที่นอกจากเราร้องได้ดีแล้วยังต้องทำอย่างอื่นได้ดีด้วย ก็เลยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกว่าจะไม่เป็นนักร้องแล้ว จนถึงตอนนี้ก็มีอะไรอีกหลายที่น่าทำ บางคนบอกลองแคสเกมไหม ลองทำนู่นทำนี่ไหม หนูก็คงต้องทำอะไรสักอย่าง เพราะถ้าอยู่ดีๆ วันใดวันหนึ่งเราทำงานมา 6 ปี แล้ววันต่อมาไม่ได้ทำอะไรเลย มันคงไม่ชิน หนูก็คงทำอะไรสักอย่าง แต่ยังไม่ค่อยมั่นใจ อาจจะเป็นนักแคสเกมก็ได้ค่ะ (อมยิ้ม)
เคท : ตอนนี้ยังตอบไม่ได้เหมือนกันค่ะ ก็มีหลายครั้งที่คิดว่าเราจะไปทำอะไรต่อดี ก็มีคิดไว้หลายอย่าง แต่ก็คิดวนกลับไปกลับมา สุดท้ายก็เลยกลายเป็นคำตอบที่ว่าตอบไม่ได้สักทีค่ะ เลยทำแค่ตอนนี้ให้ดีที่สุดก่อน เดี๋ยวค่อยคิดอีกที
โมบายล์ : หนูอยากเป็นนักร้อง อยากประสบความสำเร็จในฐานะนักร้อง ก็ตื่นเต้นกับอนาคตมากว่ามันจะเป็นอย่างไร เราต้องต่อสู้กับอะไรบ้าง ความยากคือเราจะต้องออกไปคนเดียวแล้ว ปกติเรามีเพื่อนๆ BNK48 แต่พอไปโลกภายนอกเราต้องไปคนเดียว เราต้องใช้วิชาที่เรียนรู้มาจาก BNK48 เพื่อที่จะใช้ชีวิตในอนาคต เราจะทำได้ไหม หรือจะมีอะไรมาบั่นทอนจิตใจ จะมีอะไรที่ต้องสู้อีกหรือเปล่า ก็แค่อยากทำให้ตัวเองเก่งที่สุดเพื่อจะไปเผชิญโลกภายนอกได้
อร : ก็ยังทำงานในวงการบันเทิงเหมือนเดิมค่ะ ก็รู้สึกว่าอยากทำอะไรที่หลุดออกจากกรอบเดิมๆ ออกไปแล้วก็อยากทบทบาทอื่นมากกว่า มีแพลนที่จะเปิดค่ายเป็นของตัวเอง เป็น Entertainment ค่ะ เป็นความตั้งใจที่ตอนแรกหลายคนก็คิดว่าพูดเล่น แต่เราเอาจริง เป็นคนพูดจริงทำจริง ช่วงนี้ก็ยังวางแผนจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
มายด์ : หนูว่าเมมเบอร์รุ่น 1 คาแรกเตอร์ชัดอยู่แล้วว่าใครจะไปทางไหน แต่ส่วนตัวหนูก็คงแคสเกม คือก็ทำอะไรได้หลายอย่าง ร้องเพลงก็ยังชอบ ก็คงได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ใครอยากพาไปทำอะไรก็ทำได้หมด แต่ก็คงไปทางแคสเกมมากกว่า เพราะเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ว่าทำได้ดี แต่มีคนบอกว่าเราทำได้ดีหมดเลย เช่น ตอนเราเล่นกับเพื่อนแล้วแคสเล่น เพื่อนก็บอกว่าเล่นกับมายด์สนุกที่สุดแล้ว บางคนก็บอกมายด์ขี้โวยวายดี แต่ก็ต้องบอกว่าพอเราคิดว่ามันเป็นงานมันจะคิดอีกแบบหนึ่ง เพราะเมื่อก่อนเราเล่นสนุกๆ ตอนนี้พอลองคิดว่าเป็นงานก็ยังโอเค
...
ไม่ว่า "BNK48 รุ่น 1" จะมีเส้นทางเดินต่อไปอย่างไร ภาพของความฝัน ความมุ่งมั่นตั้งใจ การต่อสู้ฟันฝ่า และความพยายามตลอดเวลาที่อยู่ในวง ก็น่าจะทำให้ทุกคนประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่เลือกเช่นกัน