จุดเปลี่ยนชีวิต 'อเล็กซ์ เรนเดลล์' สุดเฟล โดนวิจารณ์ไม่เหมาะบทพระเอก
ดาราดัง กับจุดเปลี่ยนชีวิต 'อเล็กซ์ เรนเดลล์' สุดเฟล โดนวิจารณ์ไม่เหมาะบทพระเอก และบทเรียนครั้งใหญ่ ไม่มีเวลาให้กับตัวเอง
"อเล็กซ์ เรนเดลล์" นักแสดงระดับพระเอก กับจุดเปลี่ยนชีวิต สุดเฟล โดนวิจารณ์ไม่เหมาะบทพระเอก และบทเรียนครั้งใหญ่ ไม่มีเวลาให้กับตัวเอง
- วันนี้พอใจกับตัวเองหรือยัง ?
ผมคิดว่าผมมาได้ไกลกว่าที่ผมคิดไว้เยอะเลยครับ คือปกติตอนนั้นที่มันอยู่ในช่วงที่เราจะประสบความสำเร็จในวงการนี้หรือไม่ ช่วงมหาวิทยาลัย 18-19 ปี แล้วเราก็เห็นคนรุ่นเดียวกันเขาไปได้ไกลกันแล้ว แต่เราก็ยังค่อยๆ เป็นค่อยๆไป
อาจจะเป็นด้วยว่าเราเดินไปในทางของการเป็นนักแสดง ที่มองว่าไปในทิศทางที่ค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆสะสมไป เป็นสิ่งที่ถ้าเราแสดงเก่ง ตั้งใจแสดง วันข้างหน้ายังไงเราก็จะมีอาชีพในด้านการเป็นนักแสดงอยู่เรื่อยๆ ณ จุดนี้ผมคิดว่าผมมาได้ไกลมาก ไกลกว่าที่คิด คิดว่าประสบความสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง ชีวิตส่วนตัวในการงานก็ประสบความสำเร็จ ด้วยความที่เราเป็นคนอยากจะพัฒนาตัวเองอยู่ตลอด
- คำว่า เฟล ที่หมายถึงบทเรียน คุณนึกถึงเหตุการณ์ไหนที่สุด ?
รู้สึกว่าเราเฟลอยู่ตลอดเวลานะครับ แต่ว่าด้วยความที่เราเป็นคนมองว่าทุกความผิดพลาดมันคือการเรียนรู้ เราไม่ใช่คนที่ฟังคนง่ายๆ นอกจากเจอกับตัวเอง เหมือนบทเรียนรู้อะไรบางอย่างที่บอกตัวเองว่าห้ามเฟลเรื่องเดิมซ้ำ 2 รอบเท่ากับว่าเราไม่ได้เรียนรู้
แต่ถามว่าเฟลที่สุดน่าจะเป็นช่วงที่เราเล่นละครเรื่องสุดแต่ใจจะไขว่คว้า เราคิดในตอนนั้นว่าเราจะมาเป็น คือคนรอบตัวเราในช่องเขาพูดว่าคุณจะเป็น เคน ธีรเดช คนต่อไป เราก็แบบเหรอ แล้วตอนนั้นพี่เคนดังมาก เราก็คิดว่าคงไปในทิศทางนั้นแล้วเรากำลังจะได้เล่นเป็นพระเอกเรื่องแรก
พอละครออนไปเสร็จตอนนั้นถูก Pantip กระหน่ำมาก ไม่พร้อม ไม่ใช่ ยังไม่ถึงเวลา แล้วมันก็เป็นเหมือนการทดสอบความจริงอะไรบางอย่างที่เราต้องมาเช็กตัวเอง ตอนนั้นมันก็เศร้านะพี่ เพราะเราไม่รู้เลยว่ามันจะมีผลกับเรา แต่ตอนนั้นเราอายุ 18-19 แล้วคิดว่าเราจะขึ้น แล้วเหมือนมีคนมาทำให้เราลงมาอย่างงี้ เลยเป็นบทเรียนที่ดีมากๆ ที่เป็นจุดเปลี่ยนของหลายๆอย่าง
ฉะนั้นผมอยากที่จะเป็นนักแสดงที่เก่งอยู่ตลอด ศึกษาอะไรเอง ทำอะไรเองได้ พยายามจะไปเรียนการแสดง แล้ว ณ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้มีชื่อเสียง ก็เลยศึกษากับตัวเองจนเข้าใจในการแสดง เลยรู้ว่าถ้าไปทางที่เราถนัดจริงๆ คือแสดงให้มันดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มันจะเป็นอาชีพของเราไปได้เรื่อยๆ
- สิ่งที่คุณทำ ทางเดินของคุณโฟกัสมันชัดมาก และให้กลับคืนสู่สังคม เขาจึงวางคุณว่าเป็นคนดีของสังคม ดังนั้นชีวิตส่วนตัวต้องระวังเยอะไหม ?
จริงๆ ชีวิตผมไม่ค่อยมีอะไรยกเว้นงานครับ ผมไม่ได้มีสังคมที่เป็นเพื่อนนักแสดงแบบสมัยก่อนแล้ว ผมจะมีกลุ่มเพื่อนกลุ่มเดียว ที่แบบพอหลังจากการทำงานเราก็จะเจอกันแต่กลุ่มนี้ เพื่อน ครอบครัว แฟน แค่นี้ครับ
รู้สึกว่ายิ่งเติบโตวงกลมของเรามันเล็กลงเรื่อยๆ แต่มันแน่นขึ้น ความสัมพันธ์ของคนรอบตัวมันดีขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกว่ามีแค่นี้มันแฮปปี้มากๆ แล้ว ไม่ค่อยชอบใช้ชีวิตที่มันแบบอะไรเยอะแยะมากมาย เวลาว่างก็อยากจะอยู่กับคนที่เรารู้สึกดีด้วย 100%
- ในอดีตที่ต้องเข้าสังคม อะไรที่คุณต้องทำบ่อยมาก แล้วมารู้ตัวอีกทีว่าเราไม่น่าทำเลย ?
มีครับ อย่างแบบการอยู่กับสังคมวงการ คือแยกไม่ออกระหว่าง ความสัมพันธ์ในการทำงาน กับ ความสัมพันธ์ส่วนตัว เมื่อก่อนมันจะถูกรวมเป็นสิ่งเดียวกัน แล้วรู้สึกว่าพอทำไปสักพักแล้วมันไม่ใช่ พอเราไปอยู่ในโลกวงการบันเทิงเยอะๆ มันจะดึงเราไปเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้อยากที่จะเป็น
อยู่ที่ว่าเราจะดึงตัวของเราออกมาได้หรือเปล่า ผมเป็นคนที่ค่อยข้างใจดี ปฎิเสธคนไม่ค่อยเป็น ซึ่งเป็นบทเรียนครั้งยิ่งใหญ่หลังๆ มานี้ คือผมทำงานด้านสิ่งแวดล้อม คนจะมองว่าเราใจดี ซึ่งเราคิดว่าเราเป็นคนใจดีนะ พอเวลาเราใจดีมากๆ สุดท้ายคนที่ต้องมาเหนื่อย ต้องมาเป็นเหยื่อก็คือตัวเรา
มีความคิดว่าอยากที่จะไปช่วย อยากที่จะไปทำ จนมารู้อีกทีมันเหนื่อยกับการที่เอาความรู้สึกคนอื่นมาอยู่ข้างหน้าเราตลอด ทำเพื่อคนอื่นไว้ก่อนเดี๋ยวเราค่อยว่ากันได้ ซึ่งมันมีลิมิต ทำได้แต่พอทำทุกวันมารู้ตัวอีกทีทำไมเราเหนื่อย เหมือนมันไม่ได้ดูแลความรู้สึกของตัวเอง ยอมที่จะแบกความรู้สึกของคนอื่นมาอยู่ที่เรา เพื่อที่จะให้เขารู้สึกโอเค พอมาสักพักหนึ่งมันเริ่มไม่ใช่แล้ว
- จุดไหนที่รู้สึกว่ามันไม่ใช่แล้ว ?
จุดที่เราช่วยคนอื่น จนกระทั่งไม่มีเวลาทำอะไรเป็นของตัวเอง อย่างผมทำเรื่ององค์กรช่วยหน่วยงานเยอะแยะมากมาย ช่วยด้วยความที่อยากจะช่วย แต่สุดท้ายองค์กรของเราไม่เดิน เพราะเราไม่มีเวลามาประชุม ไม่มีเวลาที่จะมานั่งจัดแจงโน้นนี่นั่น
แล้วทุกปัญหาที่มันเกิดขึ้นถ้าเกิดเราย้อนกลับไปเรื่อยๆ มันจะรู้ว่าจุดกำเนิดของปัญหาคืออะไร แล้วมักจะเป็นเพราะว่าเราไม่มีเวลาหรือเราไม่ได้ไปใส่ใจกับรายละเอียดตรงนั้น เพราะเอาเวลาของเราไปมอบให้กับสิ่งที่ทั้งดีกับไม่ดีบ้าง
- คุณมีกระบวนความคิดที่เปลี่ยนไปยังไง หลังจากนั้น ?
คิดว่าต้องเอาคนของเราก่อน ณ ตอนนี้ผมอายุ 33 มีความรับผิดชอบเยอะแยะมากมาย เรามี 2 บริษัท มีครอบครัว มีละครที่ต้องเล่น ต้องทำให้ตรงนี้ทุกคนมันแน่น ทุกคนแฮปปี้ให้ได้ก่อนที่เราจะไปให้ความสุขกับคนอื่นๆ ครับ หลังๆ ก็กล้าปฎิเสธขึ้น คิดว่ามาถึงจุดที่เราโตพอที่จะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ดีหรือไม่ดีสำหรับตัวเราเอง ไม่จำเป็นต้องรอการประเมินของคนรอบข้าง เราทำงานหนัก ทำงานเต็มที่ ให้ใจกับทุกอย่างที่เราทำ เพราะฉะนั้นจะรู้เองว่าสิ่งที่เราทำดีหรือไม่ดี
cr. รายการ WOODY FM