‘จา พนม’ นำ ‘Fighting’ ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ดังไกลไปทั่วโลก
'โทนี่ จา' หรือ 'จา พนม' นักแสดงคิวบู๊ชาวไทยและฮอลลีวูด ที่มีการต่อสู้แบบมวยไทย ผสมผสานสไตล์ของตัวเอง สร้างความทึ่งให้กับคนดูภาพยนตร์ที่เขาแสดง
โทนี่ จา หรือ จา พนม นักแสดงไทยที่มีการต่อสู้ผาดโผน หรือ Fighting แบบมวยไทย เป็น 1 ใน 5 F ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ที่ชาวต่างชาติสนใจ บินมาเรียนรู้ถึงในเมืองไทย
"ตอนเป็นเด็ก ผมชอบดูหนังกลางแปลง เรื่องที่จำได้คือ ไอ้หนุ่มหมัดเมา ปั่นจักรยานไป 10 กิโลเพื่อไปดูหนัง ไปจำท่าแปดเซียนเมาเหล้า ทิกั๊วลี่ หลี่ตงปิง มีความชื่นชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น ก็เลยฝึกฝนตัวเองมาตั้งแต่เด็ก ๆ ตีลังกาตามท้องไร่ท้องนา ตามวัดตามวา
ผมมีแรงบันดาลใจว่า อยากเป็นเหมือนเฉินหลงให้ได้ พอดูหนังสือพิมพ์พบว่า ครู พันนา ฤทธิไกร ถ่ายทำหนังอยู่ที่ขอนแก่น ก็ตามไปพบเขา ไปทำงานในกองถ่าย เป็นเด็กเสิร์ฟน้ำ ตอนอายุ 14 จนอายุ 19 ก็ยังไม่ได้เป็นนักแสดง ยังเป็นตัวประกอบ เป็นสตั๊นท์แมนอยู่เลย
ผมเกิดที่อำเภอพนมดงรัก จ.สุรินทร์ ติดกับชายแดนกัมพูชา มีภัยสงคราม มีลูกกระสุนปืนใหญ่ตกมาฝั่งเรา ทำให้มีความกลัว สงครามทำให้เกิดความแตกแยก หดหู่ พ่อแม่สอนว่า ลูกต้องมีความศรัทธา ถ้าไม่มีความศรัทธาหรือตั้งใจ ก็จะไม่มีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้น
ปี 2540 เศรษฐกิจตกต่ำ สตั๊นท์แมนแยกย้ายไปหมด อาจารย์พันนาปั้นผมเป็นนักแสดงนำ ผมเก็บเงินทำเดโม่ เตะ ต่อย ดีไซน์ท่าทางการต่อสู้มวยไทยใช้เวลา 5 ปี ไปเสนอ จนได้เล่นหนังเรื่องแรก องค์บาก ตอนอายุ 25 พอองค์บากประสบความสำเร็จ ก็มีเรื่อง ต้มยำกุ้ง ตามมา มีท่าทางที่คนจำได้ คือ ช้างกูอยู่ไหน
วันหนึ่งมีโอกาสได้เจอคุณ ไมเคิล สตีวี่ เขามาเมืองไทย บอกว่าศักยภาพคุณน่าจะไปฮอลลีวูดได้ เราเลยมีโอกาสได้ไปฮอลลีวูด ไปแสดงความสามารถที่สตูดิโอ ยูนิเวอร์ซัล, โซนี่, พาราเมาท์
ไม่ง่ายนะ ต้องมีเอเจนซี่พาไป ไปแสดงให้เขาเห็นว่า เราไม่ใช้สลิง ไม่ใช้ตัวแสดงแทน ไปตีลังกาให้เขาดู กว่าจะได้เล่นเรื่องแรก Fast & Furious 7 ก็ 3 ปี ตอนอายุ 42
ล่าสุด มีหนังรื่อง Expendables 4 โคตรคนทีมมหากาฬ แสดงร่วมกับนักแสดงฮอลลีวูด เจสัน สเตแธม, ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน, ฟิฟตีเซนต์, เมแกน ฟอกซ์, ดอล์ฟ ลันด์เกรน, แรนดี้ โคเทอร์, แอนดี้ การ์เซีย, อิโก อูไวส์
ผมดูหนังทุกเรื่องที่มี ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน มาตั้งแต่เด็ก ๆ พอได้มาแสดงในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่าเป็นความฝันอีกเรื่องหนึ่ง"
มวยไทย หรือ Fighting เป็น 1ใน 5F ซอฟต์พาวเวอร์ไทย ที่ไม่ได้เป็นเพียงกีฬา แต่ยังเป็นความบันเทิงเมื่ออยู่ในจอภาพยนตร์
จา พนม นำอัตลักษณ์ไทยหลาย ๆ อย่างเข้าไปอยู่ในหนังเรื่องนี้ ทำให้คนทั่วโลกได้เห็นไปด้วย
"ในเรื่องรับบทเป็น เดชา ชื่อเป็นภาษาไทย เป็นหน่วยรบพิเศษอยูู่ในเมืองไทย เป็นกัปตันเรือ มีเรือประมงชื่อว่า จินตหรา คาแรคเตอร์ เป็นคนสุขุม เยือกเย็น แฝงไว้ด้วยพิษสง
มีอาวุธเป็นมีดตัดหวายลูกนิมิตร ที่ใส่อักขระลงยันต์ มีรอยสัก มีตะกรุดเต็มตัว มีผ้าขาวม้าโพกหัว อินสไปร์มาจาก แรมโบ้ มีขอบตาดำ อินสไปร์มาจาก แจ็คสแปร์โรว์ บวกกันเป็นโทนี่จา
มีวิชาการต่อสู้ด้วยมวยไทย ผมเอา เดี่ยว ชูพงษ์ ไปช่วยออกแบบคิวบู๊ด้วย เพราะเราต้องการสร้างสรรค์หนังแอ็คชั่นสไตล์ไทยให้คนทั่วโลกได้ดู
ไปถ่ายทำกันถึงประเทศบัลกาเรีย หนาวมาก -10 องศา เท้าเย็นจนเปื่อย แล้วก็ประเทศกรีซ
การถ่ายทำ ยากทุกฉาก ที่ยากที่สุดคือ ฉากในเรือ ต่อสู้กับผู้ร้าย 20 คน ผมกับ เจสัน สเตแธม เป็นคู่หู บัดดี้กันร่วมต่อสู้
เราต้องคิดคิวบู๊ที่สามารถใช้ร่วมกันได้ คุณสูง-ผมต่ำ คุณพลิกตัวไปโน่นนี่นั่น เราไปทางนี้ เราใช้ท่าทางมวยไทย เขาใช้สไตล์คอมแบท
ที่ยากมากคือ ท่าเตะสูง มีคนยืนอยู่ข้างบนแล้วผมก็เตะ ท่านี้อินสไปร์มาจากท่าต้มยำกุ้ง เราเพิ่มท่าเตะเถรกวาดลานเข้าไป ปรากฏว่าผู้กำกับชอบมาก"
ไม่เพียงแค่การแสดง จา พนม ยีรัมย์ ยังนำเอาวัฒนธรรมเกี่ยวกับความเชื่อความศรัทธาของคนไทย ไปเผยแพร่ส่งต่อให้กับนักแสดงต่างชาติอีกด้วย
"วัตถุมงคลเป็นสัญลักษณ์ เป็นอัตลักษณ์ของเรา เราได้ถ่ายทอดความเชื่อเรื่องวัตถุมงคลลงไปในหนัง ไม่ว่าพระเครื่อง เครื่องรางของขลัง มันติดตัวเรามาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว
เวลาเราเจอปัญหา อุปสรรค มีความท้อ ไม่สามารถพูดกับใครได้ ก็อาศัยความเชื่อมันในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ให้เราผ่านวิกฤติ อุปสรรค ขวากหนาม ไปถึงเป้าหมายของเรา แต่เราต้องตั้งใจ จริงใจ เชื่อมั่น ศรัทธาด้วย
เวลาผมไปต่างประเทศ ผมจะเอาวัตถุมงคลไปแจกเพื่อน ๆ นักแสดง ไม่ว่า วิน ดีเซล, ดอนนี่ เยน
ให้สังเกตดูดี ๆ เวลา มวยไทย ไปที่ไหน จะมีมงคล ผ้าประเจียด ท่าปฐมพรหมสี่หน้า ท่ามวยไทย กระบี่กระบอง ติดตัวไปด้วยทุกที่
หนังที่เราเล่น ต้องใช้จิตวิญญาณอย่างมาก สิ่งที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจได้ คือ คำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
จุดเด่นของเราคือ นักแสดงคิวบู๊ที่มีเอกลักษณ์สไตล์มวยไทย เป็นอัตลักษณ์ของคนไทย
มันไม่ใช่แค่วัฒนธรรม แต่มันคือจิตวิญญาณที่หล่อหลอมมา"