‘ธี่หยด 2’ ต่อยอดความสำเร็จ ‘Soft Power หนังไทย’ สู่ตลาดโลก
ช่อง 3 จับมือ M Studio สานต่อความสำเร็จของหนังไทย สร้าง ‘ธี่หยด 2’ และ ‘มานะแมน’ ส่งออกต่างประเทศ ขานรับนโยบายผลักดัน Soft Power ภาพยนตร์ไทย
KEY
POINTS
- ปลายปี 2566 หนังไทยเพียง 3 เรื่อง ขายตั๋วได้ 10 ล้านใบ ทำรายได้รวมกันกว่าพันล้านบาท
- หนึ่งในนั้นคือ ธี่หยด ที่ขายตั๋วได้กว่า 4 ล้านใบ ทำรายได้ทั่วประเทศไปกว่า 500 ล้านบาท
-
ช่อง 3 และ M Studio ผู้สร้าง 'ธี่หยด' จึงประกาศความร่วมมือสร้างหนัง 2 เรื่องในปี 2567 นี้ คือ 'ธี่หยด 2' และ 'มานะแมน' เพื่อต่อยอดความสำเร็จของหนังไทย
ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 ที่ผ่านมา กระแส ‘คนไทยตีตั๋วเข้าโรงดูหนังไทย’ ร้อนแรงเป็นอย่างมากจากความสำเร็จของภาพยนตร์ไทย 3 เรื่อง ได้แก่ สัปเหร่อ ธี่หยด และ 4Kings 2 ที่ทำรายได้รวมกันมากกว่าหนึ่งพันล้านบาท คิดเป็นจำนวนบัตรชมภาพยนตร์กว่า 10 ล้านใบ
เพื่อเป็นการตอบรับความสำเร็จของ ‘ธี่หยด’ ที่กวาดรายได้ทั่วประเทศไปถึง 500 ล้านบาท และสร้างสถิติประดับวงการหนังไทยเอาไว้อีกหลายสถิติ สองผู้นำด้านคอนเทนต์ยักษ์ใหญ่ ช่อง 3 และ M Studio จึงผนึกกำลังสร้างภาพยนตร์ไทยออกมาให้ได้รับชมอย่างต่อเนื่อง แถมยังตั้งเป้าขยายออกสู่ตลาดโลก ขานรับนโยบายผลักดันหนังไทยให้เป็น Soft Power ของรัฐบาล
โดยในปี 2567 นี้ ช่อง 3 และ M Studio จะมีผลงานภาพยนตร์ออกมาได้รับชมกันแน่นอน 2 เรื่อง คือ ‘ธี่หยด 2’ และ ‘มานะแมน’ ไม่นับรวมที่ยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการเตรียมผลิตอีกกว่า 4-5 เรื่อง
‘สื่อชั้นนำ’ จับมือ ‘เจ้าของโรงภาพยนตร์’
เมื่อพูดถึง ช่อง 3 ภาพจำของคนส่วนใหญ่คือผู้ผลิตละครชั้นนำของประเทศไทย แต่ในความเป็นจริงแล้ว บีอีซี เวิลด์ เคยผลิตภาพยนตร์ภายใต้บริษัท ฟิล์ม บางกอก ที่มีผลงานอันโด่งดัง เช่น ฟ้าทะลายโจร ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่ได้รับเลือกให้ไปฉายในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อปี พ.ศ. 2544, บางกอกแดนเจอรัส ที่บริษัท Saturn Films ของนิโคลัส เคจ ซื้อลิขสิทธิ์ไปสร้างเป็นเวอร์ชั่นฮอลลีวูด หรือ บางระจัน ที่ประสบความสำเร็จด้านรายได้เป็นอย่างมาก
เทรซี แอนน์ มาลีนนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่ม บมจ.บีอีซี เวิลด์ กล่าวถึงความร่วมมือกับ เอ็ม สตูดิโอว่า “เรามั่นใจในจุดแข็งที่มีคือ เป็นผู้นำด้านการผลิตละครมายาวนาน มีบุคลากรทางการแสดงในสังกัดมากมายที่ได้รับความนิยม และเป็นที่รู้จักทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้เรามีความพร้อมที่จะขยายธุรกิจไปสู่คอนเทนต์ที่หลากหลาย ทั้งละคร เพลง และโดยเฉพาะ ภาพยนตร์
การร่วมมือกับ เอ็ม สตูดิโอ ที่เป็นผู้นำด้านธุรกิจการสร้างภาพยนตร์และมีโรงฉายภาพยนตร์ที่มีคุณภาพ มีฐานคนดูให้การยอมรับทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้มั่นใจว่าภาพยนตร์ที่ทำร่วมกันจะประสบความสำเร็จแน่นอน”
ขณะที่ สุรเชษฐ์ อัศวเรืองอนันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอ็ม สตูดิโอ กล่าวว่าเป็นการนำจุดแข็งทางธุรกิจของทั้งสองฝ่ายมาสร้างสรรค์ภาพยนตร์ไทยเพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องในภาพรวม
“เอ็ม สตูดิโอ มีบริษัทแม่เป็นเจ้าของโรงภาพยนตร์ และมุ่งขยายโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศมาอย่างต่อเนื่องตลอด 30 ปีที่ผ่านมา ช่อง 3 นอกจากจะเป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์แล้วยังเป็น media platform ขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับคนไทยมายาวนาน เป็น powerful media ที่เข้าถึงคนทั้งประเทศ และอีกมุมหนึ่งที่สำคัญมากคือการมีซูเปอร์สตาร์ที่คนไทยรัก มีแฟนคลับทุกเพศทุกวัย”
สานต่อความสำเร็จ ‘ธี่หยด’
ผลงานที่เกิดจากความร่วมมือของช่อง 3 และ เอ็ม สตูดิโอ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ได้แก่ บัวผันฟันยับ ภาพยนตร์โรแมนติกคอเมดี้นำแสดงโดย แอน ทองประสม และกลัฟ คณาวุฒิ ที่ทำรายได้กว่าร้อยล้าน ได้ไปฉายทั้งในประเทศ CLV (กัมพูชา ลาว เวียดนาม) และบนแพลตฟอร์มเน็ตฟลิกซ์ กับ ธี่หยด หนังผีแนวแอคชั่น นำแสดงโดย ณเดชน์ คูกิมิยะ ที่กวาดรายได้ทั่วประเทศไปถึง 500 ล้านบาท
‘ธี่หยด’ ยังทำสถิติใหม่ ๆ ประดับวงการภาพยนตร์ไทยเอาไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นสถิติการเปิดตัวสูงสุดในปี 2566 ทำรายได้ทั่วประเทศ 39 ล้านบาทภายในเวลาเพียง 1 วัน, เป็นภาพยนตร์ไทยที่ทำเงินร้อยล้านเร็วที่สุดแห่งปี ภายใน 3 วัน, ภาพยนตร์ไทยเรื่องแรกที่เข้าฉายในระบบ IMAX DMR โดยมียอดคนดูเปิดตัวสูงกว่าหนังฮอลลีวู้ดทุกเรื่องที่เข้าฉายในปี 2566
สำหรับในปี 2567 นี้ คุณเทรซี่กล่าวว่าภาพยนตร์ที่ร่วมผลิตกับทาง M Studio ในเบื้องต้นมี 2 เรื่อง คือ ‘มานะแมน’ ที่ควบคุมการผลิตโดย ยอร์ช ฤกษ์ชัย กำกับการแสดงโดย ต้อม-ปิยะพันธ์ ชูเพชร นำแสดงโดย นาย-ณภัทร เสียงสมบุญ พระเอกของ ช่อง 3 ร่วมด้วย โอ๊ต ปราโมทย์ ปาทาน, จ๊ะ นงผณี มหาดไทย นักร้องนักแสดงชื่อดัง โดยมีกำหนดจะเข้าโรงภาพยนตร์ในช่วงกลางปีนี้
ตามด้วยการสานต่อความสำเร็จของ ‘ธี่หยด 2’ ที่ควบคุมการผลิตโดยทีมงานจากภาคแรก ณฤทธิ์ ยุวบูรณ์ กำกับการแสดงโดย คุ้ย ทวีวัฒน์ และยังได้นักแสดงชุดเดิมกลับมากันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้ง ณเดชน์ คูกิมิยะ เจ้าของบทบาท เฮียยักษ์ขาลุย และเหล่านักแสดงดาวรุ่งของช่อง 3 เดนิส เจลีลชา, จูเนียร์ กาจบัณฑิต, เฟรนด์ พีระกฤตย์ โดยปัจจุบัน ‘ธี่หยด 2’ อยู่ระหว่างการถ่ายทำ มีกำหนดเข้าโรงภาพยนตร์ปลายปีนี้ รวมถึงในระบบ IMAX เช่นเดียวกับภาคแรก
ปรากฎการณ์หนังไทยครองโรงมากกว่า
ผู้บริหารของช่อง 3 และเอ็ม สตูดิโอ ต่างมั่นใจถึงความสำเร็จที่จะเกิดขึ้นจากความร่วมมือในครั้งนี้ โดยหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญคือ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของหนังไทย
สุรเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร M Studio เล่าถึงความสำเร็จในภาพรวมของหนังไทยเอาไว้ว่า สัดส่วนคนดูภาพยนตร์ไทยเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยเมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นปีแรกที่จำนวนคนดูภาพยนตร์ไทยมีจำนวนมากกว่าจำนวนคนดูภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ในสัดส่วน 55:45 เปอร์เซ็นต์
โดยภาพยนตร์ไทยเพียง 3 เรื่องที่ฉายในไตรมาสสุดท้ายของปี 2566 สามารถทำรายได้รวมกันกว่าหนึ่งพันล้านบาท หรือคิดเป็นจำนวนบัตรชมภาพยนตร์กว่า 10 ล้านใบ ได้แก่ สัปเหร่อ ทำรายได้ กว่า 700 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 6 ล้านใบ, 4 Kings 200 ล้าน จำนวนตั๋วหนังกว่า 2 ล้านใบ และ ธี่หยด ทำรายได้กว่า 500 ล้านบาท จำนวนตั๋วหนังกว่า 4 ล้านใบ
นอกจากนี้แล้ว ธี่หยด ซึ่งเป็นการร่วมมือผลิตระหว่าง M Studio และ ช่อง 3 ยังเป็นภาพยนตร์ไทยที่มีรายได้สูงสุดในแต่ละประเทศที่ไปฉาย ไม่ว่าจะเป็น กัมพูชา เวียดนาม สิงคโปร์ ไต้หวัน เป็นต้น รายได้รวมกันมากกว่า 100 ล้าน บาท สำหรับ ต่างประเทศ
“เราเชื่อมั่นว่าหนังไทยจะได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทย แต่ว่าได้ความนิยมไปทั่วโลก ซึ่งในขณะนี้ ธี่หยด ถูกนำไปฉายในโรงภาพยนตร์ต่างประเทศกว่า 20 ประเทศแล้ว”
ความสำเร็จของหนังไทยในต่างประเทศ
คุณสุรเชษฐ์ - ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หนังไทยที่ทำรายได้สูงในต่างประเทศคือหนังผี ธี่หยดประสบความสำเร็จ box office ขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น ไต้หวัน เวียดนาม ลาว กัมพูชา สิงคโปร์ อันดับ 1 ทำให้น้อง ๆ ได้เป็นที่รู้จัก ไม่ได้ดีกับทางช่อง 3 หรือ M Studio เท่านั้น แต่ดีกับอุตสาหกรรมคอนเทนต์ทั้งประเทศ เค้ามองว่า หนังไทยมีคุณภาพทั้งในเรื่องโปรดักชั่น และเนื้อหา
“การที่เราทำสำเร็จ มันไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จคนเดียว แต่ทำให้ทั้งอุตสาหกรรม เอาซีรีส์ เอาละครเข้าไป หนังไทยเรื่องต่อไปที่จะตามเราเข้าไปที่เวียดนาม ผมว่าเป็นโมเดลเดียวกับทางเกาหลีที่พอเค้าประสบความสำเร็จ มันก็กลายเป็นว่าทุกคนเสพคอนเทนต์เกาหลีกันไปหมด ดังนั้น ความมุ่งมั่นของเราคือการจับมือกันพาคอนเทนต์ไทยไปตลาดโลก”