หนุ่ม กะลา แจงฟ้องภรรยา ยักยอกเงิน 66 ล้าน ลั่นไม่อยากได้คืน ขอแค่ช่วยปิดหนี้
นักร้องดัง 'หนุ่ม กะลา' ตั้งโต๊ะแถลงปมฟ้องคนใกล้ชิด ยักยอกเงิน 66 ล้าน ช็อก!หลักฐานชัด พร้อมลั่นไม่อยากได้เงินคืน แค่ขอช่วยปิดหนี้ให้
จากประเด็นร้อน นักร้องดัง 'หนุ่ม กะลา' ได้มอบหมายให้ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความชื่อดัง ยื่นฟ้องคนใกล้ชิดจำนวน 2 คน ที่ยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัด ทองบริบูรณ์ 365 โดยการโอนเงินของห้างเข้าบัญชีส่วนตัวโดยทุจริต รวม 452 ครั้ง เป็นเงิน 66,359,957 บาท นั้น
ความคืบหน้าล่าสุดวันนี้ (7 มิถุนายน 2567) เมื่อเวลา 19.30 น. นักร้องเสียงนุ่ม 'หนุ่มกะลา' พร้อมด้วย ทนายเดชา ได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวกรณีฟ้องคนใกล้ชิด ยักยอกเงิน 66 ล้าน ที่สำนักงานทนายคลายทุกข์
โดย หนุ่ม เผยว่า จริง ๆ ต้องบอกว่าผมไม่ได้อยากให้เป็นข่าวเลย เพราะตั้งแต่เป็นข่าวเรื่องมือที่ 3 ผมออกมาพูดเพียงแค่ครั้งเดียวในรายการพี่หนุ่ม กรรชัย เพราะกลัวจะกระทบถึงลูก ไม่อยากให้บานปลาย แต่มันก็เริ่มมีข่าวออกมาจากบางเพจ จากบางบุคคลว่า หนีไปบวช หนีไปอยู่กับเมียน้อย อะไรก็แล้วแต่ มันเริ่มมีกระแสหนักขึ้นเรื่อย ๆ และตัดสินใจที่จะออกมาพูดในครั้งนี้เพื่ออธิบายในเรื่องที่เกิดขึ้น เรื่องที่ผมไปฟ้องต่อศาลเพื่อเคลียร์ปัญหาเรื่องการยักยอก มันคือปัญหาภายใน ไม่ใช่การใช้สื่อมากดดันว่าผมไม่เลี้ยงลูก ชั่วร้ายเท่านั้น เป็นแบบนี้
ที่ผ่านมา ตลอดเวลาการเป็นนักร้องและอยู่ด้วยกันมาไม่เคยสงสัยเรื่องเงินเลย แม้แต่จ่ายค่าไฟผมเองยังจ่ายไม่เป็นเลย เพราะมีหน้าที่ทำงานหาเงินอย่างเดียว แต่ตอนที่ตกลงและคุยกันทางภรรยาคืนเงินมาเพียงแค่ 2-3 แสน มันก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเดี๋ยวนะ ผมยังต้องรับผิดชอบเงินเดือนเขาทุกเดือน รวมถึงรับผิดชอบค่าใช้จ่ายของลูกอีกหลายแสน ซึ่งเกินจำนวนเงินที่เขาคืนผมด้วยซ้ำ เลยทำให้มาคิดว่าแล้วเงินผมไปไหนหมด และเขาก็ไม่เคยให้เหตุผลเรื่องเงิน ผมได้เป็นเงินเดือน เดือนละ 4 หมื่นบาท ได้เท่านั้น และหลังจากนั้นก็ได้มีการเช็กสเตทเม้นย้อนหลัง ก็พบว่ายอดโอนเงินเข้าบัญชีภรรยาตลอด
หนุ่ม เผยต่อว่า ผมเคยถามเขาว่าทำไมบ้านเราถึงไม่มีเงิน 10 ล้านสักทีละ ผมคุยกันในไลน์นะครับ คุยมาตลอด ผมเป็นนักร้องที่น้อยเนื้อต่ำใจมาก ทุกครั้งเวลาที่เราไปแบงก์กัน ผมเป็นกรรมการผมจะต้องเป็นคนเซ็นต์เพื่อเบิกเงิน และผมเป็นคนเดียวเท่านั้นที่เบิกเงินได้ คำถามคือ ทำไมเงินถึงเข้าบัญชีภรรยาได้โดยที่ผมไม่ได้เป็นคนเซ็นต์ และ 2 ทุกครั้งที่เวลาผมไปแบงก์ สมมติว่าผมทำงานตั้งแต่มกราคมจนถึงมิถุนายน สมมติว่าผมมีรายได้เดือนละ 2 ล้าน สมมติว่าเราได้ 10 ล้าน ผมตีให้แบบฟุ่มเฟือยกันสุดๆเลยใช้เงินครึ่งนึง อาจจะเหลือเงินสัก 5 ล้าน แต่ไม่ครับ เงินจะเหลือประมาณ 2 ล้าน 3 ล้าน พอเราทำงานมาครึ่งปี หรือ 1 ปี เราจะรู้สึกว่าเงินของเราไปไหน คำตอบที่ได้ก็คือว่า ก็มันมีค่าใช้จ่าย มันมีนั่น มีนี่ ทุกอย่างมันย้อนกลับมา และมันไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นตอนที่ผมมีประเด็นข่าวกับเขานะ มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ตอนเป็นวงกะลาด้วยซ้ำ จนมาเป็นนักร้องเดี่ยว 9 ปี 10 ปีนี้ ทุกอย่างมันเลยกระจ่างตอนที่ผมดูสเตทเม้น
ผมคุยกับเขามาตลอด ผมคุยมาหลายเดือนแล้วนะ และตอนนี้ผมเป็นหนี้อยู่ประมาณ 10-20 กว่าล้าน ถ้าบริหารเงินผมได้จริง ผมเป็นนักร้องมา 26 ปี ทำไมผมถึงเป็นหนี้ 20 ล้าน หนี้บ้าน หนี้รถทุกคัน หนี้คอนโด แต่พอมาเห็นสเตทเม้นแล้วก็เริ่มมาพบพี่เดชา (ทนายเดชา) แล้วก็บอกว่าผมไม่ได้จะเอาเงิน 66 ล้านคืนนะ นี่แค่ช่องทางเดียวนะ ยังมีบัญชีอื่นอีก ต่อให้มันเป็นร้อยล้านผมก็ไม่เอาคืน แต่ผมขอเขามาตลอดว่าปิดหนี้ให้หน่อย แล้วถ้าเป็นไปได้ขอเงิน 5 ล้านได้ไหม แต่ถ้า 5 ล้านไม่ได้ไม่เป็นไรปิดหนี้ให้หน่อย แล้วก็จบกัน
ส่วนเรื่องที่ผมเห็นบางคอมเมนต์ว่า อยากหย่าขนาดนี้เลยหรอ? ไม่เลยครับ ความจริงแล้วทางภรรยาบอกว่าจะหย่าประจำ บอกอยู่เรื่อยๆในช่วงหลัง ผมบอกเรายังหย่าไม่ได้เพราะเงินของฉันมันอยู่ที่ไหน เราต้องคุยกันเรื่องนี้ก่อน นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น
ผมรู้สึกผิดที่ผมทำสิ่งนั้น หลังจากนั้นมันก็เป็นเรื่องที่อยู่กันไม่ได้ พอแยกทางต้องตกลงกันว่าจะเอายังไงต่อ ปัญหาคือเราตกลงกันไม่ได้ ผมทำงานมาทั้งชีวิต ผมรู้สึกว่ามันยุติธรรมกับผม มันกลายเป็นว่าผมต้องผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูก ค่าหมอลูก รายจ่ายรวม ๆ 2 บ้าน ก็ประมาณ 7 แสน
2 ปีช่วงที่ผมแยกออกจากบ้าน ตั้งแต่เป็นข่าวเรื่องมือที่สาม ผมไม่ได้เอาเงินออกมาใช้เลย ผมได้แค่เงินเดือนเดือนละ 4 หมื่น ซึ่งรายรับมันอยู่กับเขา 100% สเตทเม้นมันไม่โกหกหรอก ผมพูดอะไรก็ได้ เขาพูดอะไรก็ได้ ทุกอย่างมันมีเส้นทางเงินชัดเจน มันไม่ต้องอธิบายอะไรเยอะเลย ถ้าไม่ชัดไม่ฟ้องแน่นอน ถึงจบเรื่องนี้ผมยังส่งค่าเลี้ยงดูลูกอยู่ดี จริงๆ ผมไม่ได้โกรธเขานะ ผมไม่ได้ต้องการเห็นใครฉิบหายหรือล้ม ผมแค่อยากได้ในส่วนที่เป็นธรรมกับผมพอ