เปิดเบื้องหลัง ‘สืบสันดาน’ ซีรีส์รสจัดจ้านสไตล์ไทย ในโปรดักชันระดับสากล
“กรุงเทพธุรกิจ” พูดคุยกับ นักแสดงและผู้กำกับจาก ซีรีส์เรื่อง “สืบสันดาน” ถึงบรรยากาศเบื้องหลังการทำงานและประเด็นที่แฝงอยู่ในซีรีส์
เรียกว่าเป็นกระแสตั้งแต่ที่ตัวอย่างปล่อยออกมา สำหรับ “สืบสันดาน” ซีรีส์ดรามา-ระทึกขวัญ เรื่องล่าสุดจาก “Netflix” ที่ร่วมมือกับ กันตนา โมชั่น พิคเจอร์ส ด้วยโปรดักชันสุดพรีเมียมและการประชันฝีมือของทั้งนักแสดงดาวรุ่งและทัพนักแสดงระดับตำนาน
“กรุงเทพธุรกิจ” ได้พูดคุยกับ “กานต์-ศิวโรจณ์ คงสกุล” ผู้กำกับซีรีส์ รวมถึงนักแสดงนำ ทั้ง “ญดา-นริลญา กุลมงคลเพชร” และ “บี๋-ธีรพงศ์ เหลียวรักวงศ์” ถึงบรรยากาศเบื้องหลังการทำงานในซีรีส์เรื่อง “สืบสันดาน” ที่จะพร้อมให้รับชมในวันที่ 18 กรกฎาคม 2567 นี้
หากจะดูกันตามความหมายแล้ว สืบสันดาน หมายถึง ผู้สืบสายโลหิตโดยตรงลงมา ได้แก่ ลูก หลาน เหลน ลื่อ ซึ่งตรงกับความหมายของแก่นเรื่องของซีรีส์นี้ โดยศิวโรจณ์กล่าวว่า “ตอนแรกชื่อไทยตั้งยากมาก แต่พอเจอคำว่า ‘สืบสันดาน’ รู้เลยว่าเวิร์ค ชื่อนี้เข้าถึงได้ง่าย สามารถตอบทุกอย่างได้เลย เราจะสืบทอด ส่งต่อสันดานที่ดีหรือสันดานเลวให้แก่ลูกหลานของเราต่อไปดี”
ส่วนชื่อภาษาอังกฤษของเรื่อง คือ “Master of the house” มีตัวย่อคือ MOTH แปลว่า ผีเสื้อกลางคืน ดังนั้นในซีรีส์เราจึงได้เห็นผีเสื้อกลางคืนสอดแทรกเป็นสัญลักษณ์อยู่ในเรื่อง โดยผีเสื้อกลางคืนก็ถือว่าเป็น
ความงามที่มันหลบซ่อนอยู่ เปรียบเปรยเป็น “ชนชั้น” ที่ซ่อนอยู่ในสังคม เพราะบางสายพันธุ์ก็สวยงาม หายาก มีมูลค่าสูง ผู้คนต่างเชิดชู แต่บางสายพันธุ์ก็ไม่ได้มีค่าในสายตามนุษย์ ถูกข่มเหง
“สืบสันดาน” ถือเป็นการประชันบทบาทของนักแสดงมากฝีมือไว้อย่างคับคั่ง แต่ไม่เคยได้เห็นนักแสดงเหล่านี้มาร่วมงานกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้กำกับตั้งใจอยากจะสร้างเคมีทางการแสดงใหม่ ๆ “วงการบันเทิงไทยมีนักแสดงหลายคนที่มีศักยภาพ ความสามารถอยู่มากมาย เราต้องดึงพวกเขาให้มาอยู่ในสเกลงานคุณภาพ ซึ่งเมื่อเกิดการปะทะกันแล้วมันเป็นเคมีที่ลงตัวจนได้” ศิวโรจณ์กล่าว
ญดาได้เล่าว่าบรรยากาศการทำงานในกองถ่ายนั้น แตกต่างไปจากกองอื่น ๆ ที่เคยร่วมงานด้วย แม้ว่าจะมีการเวิร์คชอปกันมาก่อนแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาถ่ายทำ ก็ยังมีการพัฒนาตัวละครอยู่เรื่อย ๆ ทุกคนมาช่วยกันแชร์ความเห็นว่ามีความรู้สึกับตัวละครนี้อย่างไร
“เนื่องด้วย Netflix ทำงานวันละ 12 ชั่วโมง และเน้นความสมจริง ทำให้เวลาถ่ายทำเราโฟกัสกันทีละฉากเลย ในวันหนึ่งเราอาจถ่ายแค่ 4-5 ฉาก หรือถ้ามีฉากใหญ่ก็จะถ่ายแค่ซีนเดียวทั้งวัน ซึ่งตอบโจทย์ตรงที่ว่าพี่กานต์ไม่อยากทํางานในรูปแบบที่ซ้ำซากจำเจ วิธีนี้ทำให้คนทำงานกระตือรือร้น อยากให้ผลงานออกมาเป็นมาสเตอร์พีซ” ญดากล่าว
บี๋กล่าวเสริมว่า “ซีนแรกของผม คือ ซีนเจ้าสัวตกระเบียง ผมถ่ายซีนนี้ทั้งวันเลย เพราะเราปั้นกันเต็มที่ ตอนตกต้องเพอร์เฟกต์ ต้องเห็นหน้า ต้องมีเสียงร้อง ต้องมีผีเสื้อ ให้ฉากสมบูรณ์”
ด้วยวิธีการทำงานของผู้กำกับที่เน้นสัญชาตญาณเป็นหลัก ก็ส่งผลให้ได้มิติทางการแสดงที่แตกต่างออกไป โดยญดากล่าวว่ารู้สึกดีใจที่ทำงานในรูปแบบนี้ เพราะจะช่วยให้มีสมาธิในการทำงาน มีเวลาให้ได้ทดลอง ค้นคว้าและทดลองทำอะไรใหม่ ๆ จนเกิดเป็นฉากที่ดีเกินคาดช่วยส่งเสริมให้เนื้อเรื่องสนุกยิ่งขึ้น
ศิวโรจณ์เชื่อว่าการแสดงที่ดีไม่ใช่การป้อนข้อมูลเข้าไปให้นักแสดง เพราะมนุษย์มีเลือดเนื้อ มีความรู้สึก และไม่จำเป็นต้องเร่งถ่ายทำให้วันหนึ่งได้ซีนเยอะที่สุด แต่ควรปล่อยให้นักแสดงได้พัก มีอารมณ์ที่ดี พร้อมเข้าไปถ่ายทำให้ได้ที่สุด
สำหรับบทบาทที่ญดาได้รับ คือ “ไข่มุก” คนรับใช้ที่ได้แต่งงานกับเจ้าสัว ซึ่งเธอยอมรับว่าตัวละครนี้เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อน “ไข่มุกเป็นตัวละครที่มีหลายเลเยอร์ เป็นตัวละครที่เก็บความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ ไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้ แม้แต่ตัวเองก็ไม่เคยได้รู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงด้วยซ้ำว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ต้องการอะไร”
เป็นโชคดีที่ญดาได้ร่วมงานกับนักแสดงมากฝีมือ ที่ช่วยให้เธอได้เข้าใจตัวละครได้มากขึ้น และมีวิธีกพัฒนาการแสดงได้ดี “พี่ ๆ เขาไม่ได้รับผิดชอบแค่ทำการบ้านมาก่อนว่าแต่ละฉากต้องแสดงยังไง แต่พี่ ๆ เขาไปค้นหาต่อหาว่าตัวละครของเขากำลังจะทำอะไร คิดอะไรอยู่ ซึ่งหนูก็แอบเก็บเอาวิธีเหล่านี้มาใช้ในการวิเคราะห์ตัวละครด้วย”
“ตอนเรื่องร่างทรง หนูคิดว่ามันยากมากแล้ว แต่เจอเรื่องนี้หนูก็รู้สึกอึ้งเหมือนกัน ด้วยความที่ประสบการณ์ของเราน้อย มุมมองบางอย่างเรายังมองไม่แตกฉาน ไม่ได้ลึกซึ้งเหมือนกับที่พี่ ๆ หรือแม้แต่การทํางานกับพี่กานต์ ผู้กำกับ ก็ช่วยให้หนูได้พัฒนาตัวเองมากขึ้น”
สำหรับบทเจ้าสัวก็ถือเป็นการพลิกบทบาทของบี๋ด้วยเช่นกัน “ปรกติผมมักจะเล่นเป็นโจรเป็นผู้ร้าย เป็นพ่อเลี้ยง เป็นมาเฟีย พอต้องมาเป็นเจ้าสัวจิตใจดี นิสัยอบอุ่น มันเลยต้องใช้เวลา ใช้ความคิดในการประกอบตัวประกอบร่างตัวเจ้าสัวขึ้นมา”
นอกจากนี้ บี๋ยอมรับว่าการเข้าฉากกับนักแสดงแต่ละคน ก็ต้องใช้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นเมื่อต้องเข้าซีนกับลูกชายทั้ง 2 คน ก็ต้องทำให้ดูเย็นชา แต่พอเข้าซีนกับญดาก็ต้องเป็นอบอุ่น
ในมุมของผู้กำกับและนักแสดงมองว่า “สืบสันดาน” ก็ยังคงเป็นซีรีส์แบบไทย ๆ ที่ยกระดับขึ้นให้มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล “เนื้อเรื่องสืบสันดานคือบทละครไทยเลย แต่ว่าเราถ่ายทอดออกมาในรูปแบบใหม่ มุมมองใหม่ที่ยังไม่ได้เห็นมาก่อน ซึ่งนี่คือความแปลกใหม่ที่สืบสันดานจะให้แก่คนดู” ญดากล่าว
ศิวโรจณ์ยังเสริมถึงแง่มุมที่น่าสนใจของ สืบสันดาน ต่อไปว่า “ผมคิดว่าประเด็นที่น่าสนใจของเรื่องนี้คือ ‘เราจะควบคุมอำนาจหรือความโลภได้ดีแค่ไหน’ หรือประเด็นที่ว่าเราต่างตื่นมาเพื่อเรียกร้องสิ่งนั้น แต่กำลังทำร้ายใครอยู่หรือเปล่า ซึ่งบางทีมันอาจจะทำลายความสัมพันธ์ ทำให้ครอบครัวแตกแยก สังคมหรือประเทศพังได้หากเราใช้อำนาจ ใช้ความโลภ หรือใช้ความอยากเต็มที่เกินไป เราจะสามารถยับยั้งสิ่งเหล่านี้ได้แค่ไหนบนพื้นฐานความเป็นมนุษย์ หรือพูดได้อีกอย่างคือ ‘เรารู้ตัวไหมว่าบางทีเรากำลังเหยียบย่ำเพื่อนมนุษย์คนอื่น เพื่อขึ้นไปสู่การได้มาซึ่งอะไรบางอย่าง’ ซึ่งประเด็นนี้น่าสนใจ ผมว่าผู้ชมน่าจะสนุกเมื่อได้รับชมละคร และได้เก็บมาคิดไปกับชีวิตตัวเองด้วยครับ”
ญดาฝากให้คนดูติดตามชมซีรีส์เรื่องนี้ “ฝากซีรีส์เรื่องสืบสันดานนะคะ ซีรีส์เรื่องนี้เรายึดมาตามความชอบของคนไทยเป็นหลัก เหมือนเป็นอาหารรสชาติคุ้นปากคนไทย แต่เรายกระดับเปลี่ยนให้มันพรีเมียมขึ้นมา แต่ยังคงมีคัลเจอร์ความเป็นไทยอยู่ในนั้น พวกเราทุกคนตั้งใจกันทำมาก สามารถรับชมได้ทาง Netflix ในวันที่ 18 กรกฎาคมนี้”