ย้อนรอยตำนานความดัง ‘One Direction’ บอยแบนด์อังกฤษผู้พลิกโฉมวงการดนตรี
ย้อนรอยตำนานความดัง “One Direction” บอยแบนด์อังกฤษผู้พลิกโฉมวงการดนตรี และสร้างวัฒนธรรม “แฟนด้อม” ในโซเชียลมีเดีย
KEY
POINTS
- “One Direction” บอยแบนด์จากอังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก มีอิทธิพลต่อป๊อปคัลเจอร์ทั่วโลกแม้จะแอคทีฟอยู่แค่เพียง 5 ปี
- ทำยอดขายอัลบั้มได้ประมาณ 70 ล้านชุด และเป็นเจ้าของสถิติโลก Guinness World Records ถึง 6 รายการ
- แฟนคลับของวง ได้วางรากฐานการสร้าง “แฟนด้อม” ในโซเชียลมีเดียให้แก่แฟนคลับศิลปินรุ่นต่อมา
กลายเป็นข่าวช็อกโลกเมื่อสื่อทั่วโลกรายงานว่า “เลียม เพย์น” อดีตสมาชิกวง “One Direction” บอยแบนด์ชื่อก้องโลก ถูกพบว่าเสียชีวิตนอกโรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงบัวโนสไอเรส อาร์เจนตินา ในวัย 31 ปี
“One Direction” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “1D” (วันดี) บอยแบนด์จากอังกฤษที่มีสมาชิกทั้งสิ้น 5 คน ประกอบด้วย เลียม เพย์น, ไนออล ฮอแรน, แฮร์รี สไตล์ส, หลุยส์ ทอมลินสัน และ เซน มาลิก ซึ่งพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมาก มีอิทธิพลต่อป๊อปคัลเจอร์ทั้งในสหราชอาณาจักรและทั่วโลก
บอยแบนด์อังกฤษที่ดังที่สุด
ทั้ง 5 คน เข้าร่วมแข่งขันในรายการ “X Factor” รายการประกวดร้องเพลงของอังกฤษ เมื่อปี 2010 ในฐานะศิลปินเดี่ยว แต่ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมของ “ไซมอน โคเวลล์” และ “นิโคล เชอร์ซิงเงอร์” ได้จับพวกเขาทั้ง 5 คนมารวมกันและปั้นเป็นบอยแบนด์ โดยพวกเขาได้อันดับ 3 ของรายการ แต่ 1D ก็โด่งดังกลายเป็นที่รู้จักระดับโลก
พวกเขาเปิดตัวด้วยเพลง “What Makes You Beautiful” และได้กลายเป็นหนึ่งในเพลงฮิตที่สุดของวง มีเนื้อเพลงมอบพลังให้กับคนหนุ่มสาวที่อาจต้องเผชิญคำพูดไม่ดี และรักตัวเองมากขึ้น อีกทั้งความน่ารักสดใสในวัย 16-18 ปีของพวกเขา ทำให้เชื่อมโยงผู้คนเข้าด้วยกันผ่านเพลงป๊อป บรรเทาความเครียดทางการเมืองและแรงกดดันในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย
ภายในหนึ่งปีหลังจากการเปิดตัว 1D ก็ได้รับการต้อนรับจากแฟน ๆ จำนวนมากทั่วโลก พวกเขามีอัลบั้มเต็มทั้งหมด 5 อัลบั้ม ก่อนที่ในปี 2016 ทุกคนจะตัดสินใจหยุดพักวง แยกย้ายกันไปทำผลงานเพลงเดี่ยว แต่อิทธิพลของพวกเขาไม่ได้น้อยไปกว่าศิลปินที่อยู่มานานหลายทศวรรษ พวกเขาทำยอดขายอัลบั้มได้ประมาณ 70 ล้านชุดในปี 2020
นอกจากนี้ 1D ยังเป็นศิลปินกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ที่อัลบั้ม 4 ชุดแรกสามารถทะยานขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ต Billboard 200 ได้ และยังคงเป็นเจ้าของสถิติโลก Guinness World Records ถึง 6 รายการอีกด้วย
ความสำเร็จของ 1D ในช่วงต้นทศวรรษ 2010 ยังทำให้ดนตรีป๊อปอังกฤษกลับมาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็น เอ็ด ชีแรน, The Wanted และ Little Mix เป็นที่รู้จักมากขึ้น และช่วยนำดนตรีป๊อปที่เน้นร็อกกลับมาสู่กระแสหลักอีกครั้ง เห็นได้จาก 5 Seconds of Summer ที่โด่งดังสุดขีดหลังจากเป็นศิลปินเปิดการแสดงให้กับ 1D ในทัวร์คอนเสิร์ต
สมาชิก One Direction สมัยอัลบั้มแรก
(จากซ้ายไปขวา) เซน มาลิก, ไนออล ฮอแรน, แฮร์รี สไตล์ส, หลุยส์ ทอมลินสัน และ เลียม เพย์น
วัฒนธรรม “แฟนด้อม”
1D เกิดขึ้นมาพร้อมกับยุคเฟื่องฟูของอินเทอร์เน็ต ช่วงเริ่มต้นของบริการสตรีมมิงและการถือกำเนิดของ “ยูทูบ” และ “ทวิตเตอร์” (X ในปัจจุบัน) ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงแฟนเพลงได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันแฟนคลับก็สามารถสร้างคอนเทนต์ เช่น แต่งฟิกชัน ทำคลิป แต่งรูปภาพ แบ่งปันข่าวสาร และพูดคุยกันได้ง่ายมากขึ้นผ่านแฮชแท็ก รวมถึงสร้างกระแสคู่จิ้น คู่ชิปความสัมพันธ์แบบมิตรภาพดี ๆ ของผู้ชาย (Bromance) ให้เกิดขึ้นในวงกว้าง
พลังแฟนด้อมยังช่วยให้ 1D ได้ไปเดบิวต์ในสหรัฐ หลังจากที่ออกอัลบั้มแรกในอังกฤษ แฟนคลับในสหรัฐต่างเรียกร้องให้ศิลปินคนโปรดมาทำการแสดงในสหรัฐด้วยการใช้ #Bring1DtoUS พูดคุย ทำแฟลชม็อบและคลิปมิวสิควิดีโอ DIY ที่รวบรวมคลิปจากแฟน ๆ ทั่วสหรัฐ จนติดเทรนด์อยู่สม่ำเสมอ
นอกจากนี้ ชนะรางวัลขวัญใจมหาชนจากการโหวตหลายเวที เช่น Teen Choice Awards ที่ได้รางวัลไปทั้งสิ้น 28 รางวัลจากทั้งหมด 31 รางวัลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง อีกทั้งความไร้ขอบเขตของอินเทอร์เน็ตยังช่วยให้ 1D ได้แฟนคลับกลุ่มใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่กลุ่มคนขาวเท่านั้น แต่ลุกลามไปทั่วโลก
ถือได้ว่า Directioners (ไดเร็กชันเนอร์) แฟนคลับของวง ได้วางรากฐานการสร้าง “แฟนด้อม” ในโซเชียลมีเดียให้แก่แฟนคลับศิลปินรุ่นต่อ ๆ มา ทั้งไทย ตะวันตก หรือแม้แต่ในวงการ K-POP ก็ตาม และตลอดเวลาที่ผ่านมา แฟนคลับยังคงมารวมตัวกัน ฟังเพลง และเฉลิมฉลอง โดยในวันครบรอบวงอายุ 14 ปีแฟน ๆ จัดงานเฉลิมฉลองขึ้นทั่วโลก
One Direction ในอัลบั้มสุดท้ายที่มี 4 คน
หลังจากที่เซน มาลิก ประกาศออกจากวง
“เลียม เพย์น” เสียงที่ขาดไม่ได้ของ One Direction
ผลงานเพลงของ 5 อัลบั้ม ของ 1D กลายเป็นเพลงฮิตยุค 2010 ตั้งแต่เพลงป๊อปสุดเร้าใจจากอัลบั้มแรก ไปจนถึงเพลงป๊อปร็อกจากอัลบั้มสุดท้าย ด้วยแนวเพลงที่เปลี่ยนไป เพย์นกลายเป็นเสียงร้องที่วงขาดไม่ได้ เสียงร้องของเขาเต็มไปด้วยพลังและมีชีวิตชีวา สามารถร้องเสียงสูงได้ ร้องประสานก็ดี ช่วยเติมเต็มให้เพลงสมบูรณ์
เพย์นมีส่วนร่วมในการแต่งเพลงของ 1D มากมาย ตั้งแต่อัลบั้ม Midnight Memories เป็นต้นมา ซึ่งรวมไปถึง “Story of My Life” หนึ่งในเพลงฮิตที่สุดของวง ส่วนในอัลบั้ม Four ที่ Billboard ยกย่องให้เป็นอัลบั้มที่สมบูรณ์ที่สุดของ One Direction เขาก็ฝากฝีมือการแต่งเพลงชั้นยอดอย่าง “Fireproof” “Clouds” “Fool's Gold” และ “No Control” เป็นต้น
หลังจากร่วมเขียนเพลง 6 เพลงในอัลบั้ม Made in the A.M. ปี 2015 เพย์นก็เริ่มมาทำเพลงเดี่ยวของตนเอง โดยเขาให้สัมภาษณ์กับ Billboard ในปี 2017 ก่อนที่จะปล่อยซิงเกิลเดี่ยวเพลงแรก “Strip That Down” ว่า “พูดตรง ๆ นะ ผมไม่ได้คิดจะทำเพลงเดี่ยว ผมตั้งใจจะแต่งเพลงและทำต่อไป แต่แล้วผมก็คิดว่าผมพยายาม ทำมาตั้งแต่ตอนอายุ 14 ปีแล้ว คงไม่ฉลาดนักถ้าปฏิเสธข้อเสนอนี้’” ซึ่งเลียมก็ทำตามสัญญานั้นสำเร็จ เพลง “Strip That Down” ขึ้นถึงอันดับ 10 ใน Hot 100
หลังจากนั้นยังคงร่วมงานกับศิลปิน และมีผลงานออกมาเรื่อย ๆ ในดนตรีหลายหลากแนว ทั้งฮิปฮอป อาร์แอนด์บี และแดนซ์ ทั้งในฐานะนักแต่งเพลงและผู้ร่วมงาน โดยล่าสุดเขาออกซิงเกิล “Teardrops” เมื่อเดือนมีนาคม 2024 และมีแผนจะปล่อยอัลบั้มชุดที่ 2 ด้วย
แม้ว่า 1D จะทำกิจกรรมแค่เพียง 5 ปี แต่ผลงานเพลงของวงยังคงถูกเปิดอยู่จนถึงปัจจุบัน และถูกหล่อหลอมอยู่ในจิตใจของคนรุ่นมิลเลนเนียลและคนเจน Z ทั่วโลก ที่เติบโตมาพร้อมกับพวกเขา
ที่มา: Billboard, Billboard 2, Independent, The Conversation