เช็ค 5 ข้อ เป็นโรค 'Eating disorder' 'พฤติกรรมการกินผิดปกติ' หรือไม่
กินมากกว่าปกติ กินน้อยกว่าที่ควร เป็นสัญญาณของโรค 'พฤติกรรมการกินผิดปกติ' 'Eating disorder' เป็นโรคที่มีความสัมพันธ์กับสภาวะจิตใจ กินเยอะอันตรายจากไขมันสะสม กินน้อยร่างกายขาดสารอาหาร อาจถึงขั้นเสียชีวิต
มีรายงานว่า คนอเมริกันมากกว่า 30 ล้านคน ทุกช่วงวัย ทุกเพศ มีปัญหาเป็นโรค พฤติกรรมการกินผิดปกติ ประมาณว่า 13% ของผู้หญิงอเมริกันอายุ 50 ปีขึ้นไป เป็นโรค Eating Disorder
ถ้าจำกันได้ นักร้องสาวเสียงหวานแห่งวง The Carpenters - Karen Carpenter เสียชีวิตจากอาการ อะนอเร็กเซีย (Anorexia Nervosa) ด้วยกลัวอ้วนอย่างมากหรือเป็น โรคคลั่งผอม หนึ่งในอาการของโรคพฤติกรรมการกินผิดปกติ
สำรวจพฤติกรรมการกินผิดปกติหรือไม่ (Cr.lanermc.org)
สำรวจตัวเอง 5 ข้อว่าเข้าข่ายโรค พฤติกรรมการกินผิดปกติหรือไม่ ดังนี้
1 เคยทำให้ตัวเองอาเจียน หรือไม่
2 มีความกังวลว่าตัวเองไม่สามารถควบคุมปริมาณอาหารที่ตัวเองกิน ใช่หรือไม่
3 มีน้ำหนักลดไปมากกว่า 6 กิโลกรัม ใน 3 เดือน ใช่หรือไม่
4 เชื่อว่าตัวเองอ้วน ทั้ง ๆ ที่คนอื่นบอกว่าคุณผอมเกินไป หรือไม่
5 คิดว่าอาหารมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของคุณมาก หรือมีความหมกมุ่นจนกระทั่งวิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไปเพราะอาหาร ใช่หรือไม่
หากคำตอบตรงกับ 5 ข้อข้างต้น ตั้งแต่ 2 ข้อขึ้นไป และหากมีอาการเหล่านี้ เช่น ไม่สามารถควบคุมปริมาณอาหารที่กินได้ หรือกินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม บางทีหลังกินเสร็จแล้วมีอาการคลื่นไส้และวิ่งไปอาเจียน หรือกังวลว่าตนเองอาจอ้วนจนออกกำลังกายอย่างหนัก และมีความรู้สึกอยากผอมลง
อาการเหล่านี้คือสัญญาณเตือนว่า อาจเข้าข่ายโรคพฤติกรรมการผิดปกติ หรือ Eating Disorder
(Cr.pixabay)
รู้จัก Eating Disorders ประเภทต่าง ๆ
1 อะนอเร็กเซีย (Anorexia Nervosa)
หรือ โรคกลัวอ้วน, โรคคลั่งผอม ผู้ป่วยมีความคิดหมกมุ่นเกี่ยวกับรูปร่างที่ผิดปกติ คิดว่าต้องรักษารูปร่างให้ผอมบางอยู่เสมอ กลัวน้ำหนักขึ้นแม้จะมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์อยู่แล้ว
อะนอเร็กเซียมี 2 ประเภท คือ กลุ่มที่พยายามจำกัดปริมาณการกินอาหาร หรือออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น และกลุ่มที่กินอาหารมากผิดปกติเป็นช่วงสั้น ๆ แล้วล้วงคอให้อาเจียน หรือใช้ยาระบายเพื่อลดน้ำหนัก ผู้ที่เป็นอะนอเร็กเซียมีน้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์เมื่อเทียบกับคนทั่วไปที่อายุเท่ากันและส่วนสูงใกล้เคียงกัน
อาการที่พบบ่อยคือ ร่างกายผอมแห้ง ทนความหนาวไม่ได้ อ่อนเพลีย ประจำเดือนมาไม่ปกติ เวียนศีรษะและเป็นลมจากการขาดน้ำ ท้องอืด และท้องผูกอย่างรุนแรง เมื่อเวลาผ่านไปอาจทำให้กระดูกบาง ผมบางและร่วง เล็บเปราะง่าย หากอาการรุนแรงอาจส่งผลต่อการทำงานของสมอง หัวใจ อวัยวะภายในล้มเหลว และเสียชีวิต
2 บูลิเมีย (Bulimia Nervosa)
เป็นโรคที่ผู้ป่วยจะกินอาหารปริมาณมากในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยควบคุมตัวเองไม่ได้ และรู้สึกผิดหลังจากที่กินมากเกินไป จึงพยายามกำจัดอาหารที่กินเข้าไปด้วยการล้วงคอให้อาเจียน หรือใช้ยาระบาย ยาขับปัสสาวะ หรือสวนทวาร และออกกำลังอย่างหนักเพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
ผู้ป่วยบูลิเมียมักหมกมุ่นอยู่กับน้ำหนักและรูปร่างของตนเอง กลัวน้ำหนักขึ้น มีพฤติกรรมเข้าห้องน้ำไปอาเจียนหลังกินอาหารบ่อย ๆ เวียนหัวและเป็นลมจากการขาดน้ำ
การอาเจียนและใช้ยาระบายบ่อยอาจทำให้มีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน และฟันผุจากกรดในกระเพาะอาหารที่ทำลายผิวเคลือบฟัน ท้องเสียโดยไม่ทราบสาเหตุ และฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน หากอาการรุนแรงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
พฤติกรรมกินไม่หยุด หนึ่งใน Eating Disorder (Cr.utahaddictioncenters.com)
3 โรคกินไม่หยุด (Binge Eating Disorder)
สามารถกินอาหารได้มากแม้จะไม่รู้สึกหิว และไม่สามารถควบคุมตัวเองให้หยุดกินได้จนกว่าจะรู้สึกแน่นท้องหรือไม่สบายตัว
ผู้ป่วยจะไม่ได้จำกัดปริมาณการกิน นับแคลอรี่ของอาหารที่กิน หรือมีพฤติกรรมล้วงคอหรือใช้ยาระบายเพื่อกำจัดอาหารที่กินเข้าไปเหมือนผู้ป่วยอะนอเร็กเซียและบูลิเมีย แต่เมื่อกินเสร็จแล้วจะรู้สึกรังเกียจหรือโกรธที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ และรู้สึกอายที่กินอาหารในปริมาณมาก จึงมักแอบเลี่ยงไปกินอาหารคนเดียว
โรคกินไม่หยุดอาจนำไปสู่โรคเรื้อรัง เช่น โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวานชนิดที่ 2 โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคหลอดเลือดสมอง
(Cr.wexnermedical.osu.edu)
4 โรคเลือกกินอาหาร (Avoidant restrictive food intake disorder: ARFID)
ต่างจากการเลือกกินของเด็กเล็กหรือเลือกกินทั่วไป แต่ผู้ป่วยจะขาดความสนใจในการกินอาหาร หลีกเลี่ยงการกินอาหารที่มีลักษณะจำเพาะบางอย่าง เช่น สี เนื้อสัมผัส กลิ่น และรสที่ไม่ชอบ หรือหลีกเลี่ยงการกินเพราะกลัวการสำลัก อาเจียน ท้องเสีย และแพ้อาหาร
การเลี่ยงการกินอาหารไม่ได้เกิดจากเหตุผลทางศาสนาหรือความกลัวน้ำหนักขึ้นเหมือน Eating Disorder ประเภทอื่น หากความผิดปกตินี้เกิดในเด็กอาจส่งผลต่อการเจริญเติบโต น้ำหนักตัวไม่เป็นไปตามวัย ในผู้ใหญ่อาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงมากและขาดสารอาหาร ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพตามมา
(Cr.image by Kamran Aydinov on freepik)
5 ภาวะการเคี้ยวกลืนอาหารแล้วขย้อนออก (Rumination Disorder)
เป็นความผิดปกติที่ผู้ป่วยสำรอกอาหารที่เคยเคี้ยวและกลืนไปก่อนหน้านี้ออกมา จากนั้นจะเคี้ยวซ้ำแล้วกลืนเข้าไปใหม่หรือบ้วนทิ้ง ซึ่งการสำรอกอาหารไม่ได้เกิดจากอาการจุกเสียดท้องหรือคลื่นไส้ และไม่ได้เกิดจากโรคประจำตัวหรือ Eating Disorder ประเภทอื่น และจะเกิดอาการในลักษณะซ้ำ ๆ อย่างน้อย 1 เดือน
การสำรอกอาหารบ่อย ๆ อาจทำให้ทารกขาดสารอาหารอย่างรุนแรง และอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต ในผู้ใหญ่อาจทำให้กินอาหารน้อยลงและหลีกเลี่ยงการกินอาหารต่อหน้าคนอื่น ซึ่งอาจทำให้น้ำหนักตัวลดลงต่ำกว่าเกณฑ์ได้
กินคลีนมากไปเป็นหนึ่งในภาวะ Eating Disorder (Cr.Devon Breen Pixabay)
6 ภาวะการกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร (Pica)
จัดเป็น Eating Disorder ประเภทหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอยากกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหาร และไม่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น น้ำแข็ง กระดาษ สบู่ ดิน เส้นผม ฝุ่น ไหมพรม โคลน และกรวด ซึ่งการกินสิ่งที่ไม่ใช่อาหารอาจเสี่ยงต่อการได้รับบาดเจ็บ ติดเชื้อ และขาดสารอาหาร
พบได้บ่อยในเด็ก คนที่ตั้งครรภ์ และคนที่เป็นโรคออทิสติก หรือมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา อย่างไรก็ตาม เด็กเล็กที่อายุต่ำกว่า 2 ปี ที่ชอบหยิบสิ่งของชิ้นเล็ก ๆ เข้าปากถือเป็นพัฒนาการตามวัย และไม่จัดเป็นความผิดปกติ
ยังมีความผิดปกติทางการกินในรูปแบบอื่น ๆ แต่พบได้น้อย เช่น ภาวะสำรอกหรือกำจัดอาหารที่กินออกจากร่างกาย (Purging Disorder) ภาวะการกินมากผิดปกติในช่วงกลางคืน (Night Eating Syndrome) และภาวะคลั่งกินคลีน (Orthorexia)
(Cr.pvproductions/Freepik)
Eating Disorder รักษาอย่างไร
ควรพบแพทย์ เพื่อรับการวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างเหมาะสม ซึ่งการรักษาอาจแตกต่างกันไปตามประเภทและความรุนแรงของโรค โดยแพทย์อาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือหลายวิธีร่วมกัน เช่น
โภชนบำบัด (Nutrition Therapy) เป็นการประเมินและวางแผนการกินอาหารของผู้ป่วยตามหลักโภชนาการ
จิตบำบัด (Psychotherapy) เช่น การบำบัดความคิดและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy) ซึ่งมักใช้รักษาผู้ป่วยอะนอเร็กเซีย บูลิเมีย และโรคกินไม่หยุด และครอบครัวบำบัด (Family Therapy) สำหรับผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่น เพื่อให้คนในครอบครัวช่วยดูแลพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม
การใช้ยา เช่น ยาต้านเศร้า ยาต้านอาการทางจิต และยาควบคุมอารมณ์ ซึ่งยาเหล่านี้ไม่ได้ช่วยรักษา Eating Disorder โดยตรง แต่อาจช่วยรักษาอาการซึมเศร้าหรือวิตกกังวลที่อาจเป็นต้นเหตุของความผิดปกติทางการกิน โดยช่วยยับยั้งความอยากอาหารที่ผิดปกติ และจัดการกับความคิดหมกมุ่นในการกินได้
อ้างอิง : น.พ.ณชารินทร์ พิภพทรรศนีย์ จิตแพทย์ รพ.BMHH, poppad.com, breathelifehealingcenters.com