10 อันดับ 'ไวน์แพง' จากงานประมูล 'โรมาเน กงติ' ยังครองแชมป์
'โรมาเน กงติ' หรือ 'โฮรมาเน กงติ' ยังครองอันดับ 1 'ไวน์แพงที่สุด' ของโลกใบนี้ จากงานประมูลไวน์ในหลายงานที่ผ่านมา และจากข้อมูลที่เผยแพร่ล่าสุด
โรมาเน กงติ หรือ โฮรมาเน กงติ (Romanée Conti) หรือ Socete Civile du Domaine de la Romanée Conti ที่มีตัวย่อว่า ดีอาร์ซี (DRC) ยังครองความเป็นหนึ่งในอันดับ ไวน์แพง ที่สุดของโลก
ข้อมูลที่เผยแพร่ออกมาล่าสุด ไวน์อภิมหาแพง มีดังนี้
ไร่โรมาเน กงติ ยังคงปลูกองุ่นด้วยวิธีธรรมชาติ
อันดับ 1 โดเมน เดอ ลา โรมาเน กงติ 1945 (Domaine de la Romanée Conti 1945) ได้ชื่อว่าเป็นไวน์แพงที่สุด ด้วยราคา 558,000 ดอลลาร์สหรัฐ จากการประมูลที่สภาบันประมูลโซลธ์บี (Sotheby’s) นครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2018 คนที่ประมูลได้เป็นเศรษฐีชาวอาเซียน โดยวินเทจนี้ผลิตเพียง 600 ขวด
ในงานประมูลดังกล่าวมี ไวน์ โดเมน เดอ ลา โฮรมาเน กงติ 1945 จำนวน 2 ขวด อีกขวดหนึ่งทำราคาได้ 496,000 ดอลลาร์
โรมาเน กงติ 1945
โดเมน เดอ ลา โฮรมาเน กงติ 1945 ทั้ง 2 ขวดนั้นเป็นไวน์สะสมส่วนตัวของโรแบรต์ ดรูน (Robert Drouhin) อดีตประธานบอร์ดบริหารของของเมซง โจเซฟ ดรูน (Maison Joseph Drouhin) พ่อค้าไวน์ชื่อดังแห่งแคว้นเบอร์กันดี ในช่วงปี 1957-2003
อันดับ 2 สครีมมิ่ง อีเกิ้ล กาแบร์กเนต์ โซวีญยอง 1992 (Screaming Eagle Cabernet Sauvignon 1992) ไวน์โลกใหม่ตัวเดียวที่ติดอันดับท็อปเทนไวน์แพง ถูกประมูลไปในงานที่นาปา แวลลีย์ ด้วยราคา 500,000 ดอลลาร์
สครีมมิ่ง อีเกิ้ล
สครีมมิ่ง อีเกิ้ล เป็นหนึ่งในคัลท์ไวน์ (Cult wines) ที่สร้างชื่อให้กับวงการ ไวน์แคลิฟอร์เนีย เป็นอย่างมาก Cult มาจากคำว่า Cultivate ต้องมีความพิถีพิถันทุกกระบวนการผลิตทุกขั้นตอน และผลิตน้อยมากเพราะพื้นที่น้อย ปัจจุบันมีอยู่ 20 กว่าราย
อันดับ 3 ชาโต ลาฟิต ร็อธส์ชิลด์” วินเทจ 1869 (Château Lafite 1869) จากการประมูลของโซลธ์บีที่ฮ่องกงเมื่อปี 2010 จำนวน 1 ขวด ด้วยราคา 233,972 ดอลลาร์ โดยชาโต ลาฟิต ร็อธส์ชิลด์ เป็น 1 ในเสือแห่งเมด็อก เมืองบอร์กโดซ์
ชาโต ลาฟิต ร็อธส์ชิลด์ 1869
ก่อนหน้านั้น Chateau Lafite Rothschild 1787 ซึ่งค้นพบในเซลลาร์ในกรุงปารีส มีตักอักษร “Th. J” เชื่อว่าเป็นของโธมัส เจฟเฟอร์สัน (Thomas Jefferson) อดีตประธานาธิบดีคนที่ 3 ของสหรัฐ เมื่อครั้งมาปฏิบัติภารกิจในฝรั่งเสส ถูกประมูลที่สถาบัน Christie’s ลอนดอน เมื่อปี 1985 ด้วยราคา 156,450 ดอลลาร์
ชาโต ลาฟิต ร็อธส์ชิลด์ 1787
อันดับ 4 และ 5 ชาโต ดีเคม (Chateau d’ Yquem) สุดยอดไวน์ขาวหวานของโลก วินเทจ 1811 ขายที่ร้านลา ตูร์ ดาฌังต์ (La Tour d’Argent) ร้านอาหารเก่าแก่ในกรุงปารีส ในราคา 120,000 ดอลลาร์ แพงเป็นอันดับ 4
ส่วนอันดับ 5 เป็นวินเทจ 1847 ขายที่ร้าน Zachys sale ใน Beverly Hills แคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2004 ด้วยราคา 71,675 ดอลลาร์สหรัฐ
ชาโต ดีเคม 1811
ชาโต ดีเคม (Chateau d’ Yquem) ผลิตโดยกรรมวิธีที่เรียกว่า โนเบิ้ล รอต (Noble Rot) หรือโบทายทิส (Botrytis) คือปล่อยให้แสงแดดแผดเผาองุ่นจนน้ำระเหยไปหมดเหลือแต่น้ำตาลจึงนำมาบีบคั้นน้ำทำไวน์ เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการทำไวน์หวาน Noble Rot ในบอร์กโดซ์ ปัจจุบันอยู่ในชั้นสูงสุดหรือ Supérieur Grand Crus ของ The Official Classification of Sauternes – Barsac 1855 และอยู่ในอาณาจักรของ LVMH กลุ่มเจ้าสินค้าหรูราคาแพง
ชาโต ดีเคม 1847
อันดับ 6 อองรี ฌาแยร์ วอสน์ โฮรมาเน ครอส ปารังโตซ์ 1978 (Henri Jayer Vosne-Romanée Cros Parantoux 1978) ขวดแม็กนั่ม (magnum) หรือ 1 ลิตรครึ่ง ขายไปในราคา 144,893 ดอลลาร์ เป็นไวน์แดงทำจากองุ่นปิโนต์ นัวร์ โดยนาย Henri Jayer ตำนานและสุดยอดฝีมือคนหนึ่งในแคว้นเบอร์กันดี ของฝรั่งเศส
อองรี ฌาแยร์ 1978
อันดับ 7 โดเมน เดอ ลา โฮรมาเน กงติ 1943 (Domaine de la Romanée-Conti 1943) นอกจากอันดับ 1 แล้วโฮรมาเน กงติ ยังติดอันดับ 6 แต่เป็นวินเทจ 1943 ราคา 68,200 ดอลลาร์ แสดงถึงแสนยานุภาพของสุดยอดไวน์ตัวนี้
อันดับ 8 ชาโต มูตอง ร็อธส์ชิลด์ 1945 (Château Mouton-Rothschild 1945) เมื่อปี 1997 ที่สถาบันประมูลคริสตี้ ลอนดอน มีผู้ประมูล Chateau Mouton Rothschild 1945 ขนาด Jeroboam หรือ 4.5 ลิตร (6 ขวดปกติ) ไปด้วยราคา 114,614 ดอลลาร์ ถ้าเทียบเป็นขวดธรรมดา (750 ml) ก็ตกขวดละ 23,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โรมาเน กงติ 1943
ชาโต มูตอง ร็อธส์ชิลด์, ปูญาค 1945 วินเทจนี้เป็นไวน์แดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษ คะแนน 100 เต็ม ฉลากเป็นรูปตัว “วี” (V) หมายถึงชัยชนะ (Victory) เนื่องจากก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ท่านบารอน ฟิลิปป์ เดอ ร็อธส์ไชลด์ (Baron Philippe de Rothschild) เจ้าของไวน์ไปเป็นทหารกู้ชาติที่อังกฤษ ต่อต้านเยอรมนีที่ยกทัพมาครอบครองฝรั่งเศส และต้องหนีหัวซุกหัวซุนเพราะมีเชื้อสายยิว
ชาโต มูตง ร็อธส์ชิลด์ 1945
เมื่อรอดตายท่านบารอนจึงกลับไปยังเมืองบอร์กโดซ์ (Bordeaux) แล้วให้ฟิลิปป์ ฌูเลียง (Philippe Jullian) ศิลปินชาวฝรั่งเศสออกแบบฉลากเป็นรูปตัว V ดังกล่าว หมายถึงชัยชนะของสงครามโลกครั้งที่ 2 และชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ของตัวบารอนเอง
อันดับ 9 ชาโต เชอวาล บลอง 1947 (Château Cheval-Blanc 1947)
ขวดขนาด 6 ลิตรหรืออิมพีเรียล (Imperial) 1 ขวด ประมูลคริสตี้ ลอนดอน ปี 2010 ราคา 304,375 ดอลลาร์
Château Cheval-Blanc หมายความว่า “ปราสาทม้าขาว” (White Horse Castle) เดิมเป็น 1 ใน 4 ไวน์แซง เตมิลยอง เปรอะมิเยร์ กรองด์ ครูส์ คลาสเซ กลุ่ม เอ (Saint-Emilion Premiér Grand Crus Classés A) มาโดยตลอดนับแต่มีการจัดชั้นครั้งแรก แต่ถอนตัว (พร้อมชาโต โอโซน) ออกจากการจัดเกรดของบัญชี 2022 เพราะมีเรื่องไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น แต่การถอนตัวดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อการขายแม้แต่น้อย เพราะคอไวน์ยังแย่งกันซื้อเหมือนเดิม ปัจจุบันอยู่ในอาณาจักรของ LVMH
ชาโต เชอวาล บลอง 1947
อันดับ 10 โดเมน เลอฮรัว มูซิญี 1991 (Domaine Leroy Musigny 1991) “Leroy” คือตระกูลที่เป็นหุ้นส่วน "โดเมน เดอ ลา โฮรมาเน กงติ" สุดยอดไวน์แพงอันดับ 1 ที่มีปัญหาขัดแย้งกันแล้วแยกออกมาทำเอง โดยไวน์แดง Domaine Leroy Musigny 1991 ขวดขนาด 9 ลิตร ถูกประมูลในรายการ Acker's 2021 ที่ Delaware สหรัฐ ด้วยราคา 460,650 ดอลลาร์ ขณะที่วินเทจ 1993 ทำราคาได้ 450,000 ดอลลาร์
โดเมน เลอเฟลฟ มงต์ราเชต์ 2010
อันดับ 11 เป็นของแถมสำหรับคนรักไวน์ขาว ดราย (Dry White Wine) เพราะทั้ง 10 อันดับไม่มีไวนขาว ดราย เลย มีแต่ไวน์ขาว หวาน โดเมน เลอเฟลฟ มงต์ราเชต์ 2010 (Domaine Leflaive Montrachet 2010) ตัวนี้เป็นไวน์ขาวดราย ที่ทำจากองุ่นชาร์โดเนย์ (Chardonnay) ประมูลในรายการ Acker's third-annual Grande Fête de Bourgogne auction เมื่อปี 2021 ด้วยราคา 43,575 ดอลลาร์ เป็นขวดแม็กนั่มหรือ 1.5 ลิตร ใครจะเชื่อว่าไวน์ขาวดรายจะราคาแพงระยับขนาดนี้
ไร่โรมาเน กงติ
มีคนถามว่าไวน์ทั้งหมดนั้นยังดื่มได้หรือไม่ ? ส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีคำตอบ เพราะคนที่ประมูลได้หรือซื้อไปนั้น มักจะไม่ได้ดื่ม แต่นำไปขายต่อหรือกิจกรรมอย่างอื่นเพื่อผลกำไรมากกว่า