‘La Braci’ ไฟน์ไดนิ่ง เทรนด์ใหม่ ตื่นตาตื่นใจกับ Oyster Flambéed ไฟลุกโชน

‘La Braci’ ร้านอาหารสไตล์ ไฟน์ไดนิ่ง เปิดใหม่ ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ร้านนี้เน้นเทคนิคการปรุงอาหารจากไฟฟืน ตื่นตาตื่นใจกับเมนู Oyster Flambéed ใช้เทคนิคปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของยุโรป Flambadou น่าประทับใจ
La Braci ร้านอาหารเทรนด์ใหม่ ในคอนเซปต์ แคชชวลไฟน์ไดนิ่ง ร้านนี้อยู่ที่ชั้นลอยของตึก One City Centre ใจกลาง ย่านเพลินจิต (ตรงข้ามเซ็นทรัล เอ็มบาสซี) นำเสนอ ความอร่อย ของอาหารตะวันตก หรูหราแบบ ไฟน์ไดนิ่ง ตอบโจทย์คนเมือง เดินทางสะดวกไม่ไกลจากสถานี BTS เพลินจิต
หมูหวานชวนชิม ประทับใจในทุกๆอย่างตั้งแต่ การออกแบบสภาพแวดล้อมของ อาคาร ให้ความรู้สึกราวกับว่าเรากำลังอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ภายในร้านตกแต่งแบบโมเดิร์น ผสมผสานกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน
ทางเจ้าของร้านอธิบายว่า เขาต้องการให้เสมือนเราอยู่ในถ้ำหิน เน้นเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นโทนสีของไม้ ให้ความรู้สึกหรูหราและผ่อนคลายไปพร้อมๆกัน รองรับลูกค้าได้เพียง 50 ที่นั่งเท่านั้น
สิ่งที่ประทับใจอีกอย่างก็คือ ที่ La Braci แห่งนี้เขาเน้นเทคนิคการปรุงอาหาร โดยการใช้ไฟจากฟืน หมูหวานชวนชิม นั่งอยู่ตรงหน้าเตาไฟพอดี ได้ชมการทำงานของเชฟอย่างใกล้ชิด เพลิดเพลินมากๆ ทางทีมงานของเชฟถามว่านั่งตรงนี้ร้อนไหม? ตอบได้เลยว่าไม่ร้อน เนื่องจากแอร์ของทางร้านเย็นฉ่ำได้ใจ
คิดว่า ร้านอาหารไฟน์ไดนิ่ง แห่งนี้เหมาะสำหรับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นมื้อพิเศษสำหรับครอบครัว การพบปะเพื่อนฝูง หรือดินเนอร์สุดโรแมนติก ทางร้าน La Braci ให้ความสำคัญกับการสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเอง
ผ่านการออกแบบครัวระบบเปิดที่สามารถมองเห็นการทำงานของเชฟและทีมงาน เห็นเรื่องราวกระบวนการสร้างสรรค์เมนูของแต่ละจาน พร้อมทั้งสัมผัสกลิ่นหอมอันยั่วใจจาก เตาฟืน ที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับอาหารแต่ละเมนู
หมูหวานชวนชิม นั่งยิ้มกับบรรยากาศ มองเห็นหนึ่งในเชฟเจ้าของร้าน กำลังทำ Oyster Flambéed อยู่ตรงหน้า รู้สึกว๊าวมากๆ หากใครต้องการชิมเมนูนี้ราคา 1 ชิ้น 350 บาท++ เป็นเมนูเรียกน้ำย่อยที่โดดเด่น ด้วยการใช้เทคนิคปรุงอาหารแบบดั้งเดิมของยุโรป Flambadou
Oyster Flambéed ไฟลุกโชน
เชฟจะเผาโลหะทรงกรวยจนร้อนจัด และเติมไขมันลงไปให้หลอมละลาย แล้วหยดลงบนลงบนหอยนางรมสด ความร้อนจะช่วยให้หอยนางรมสุกกำลังดี มีกลิ่นหอมของการย่างถ่านนิดๆ เพิ่มเสน่ห์ไม่เหมือนใครของเมนูนี้
แล้วยังมี ซอสครีมเบลอบล๊อง และน้ำมันต้นหอม เพิ่มลูกเล่นด้วย มะนาวคาเวียร์ ที่ให้รสเปรี้ยวสดชื่นในทุกคำ เสิร์ฟมาอย่างงดงามบนเปลือกหอย เป็นประสบการณ์ที่ทั้งอร่อยและตื่นตาตื่นใจในคราวเดียวกัน
มาพูดถึงเมนูจานหลักกันบ้าง นั่งมองเชฟย่างเนื้อไฟลุกโชนตั้งแต่แรก พออาหารจานหลักอย่าง Wood-Fired Australian Wagyu Angus Beef Flank ราคา 750บาท ++ มาเสิร์ฟ โอ้โห....ได้ลิ้มรสชาติของอาหารที่ถูกใจ
ซึ่งที่เด็ดของอาหารจานนี้อยู่ที่ความหอมของถ่านไม้ ที่ทางร้านใช้นำมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ โดยจานนี้เสิร์ฟคู่กับหอมผัดคาราเมลที่ใช้ขั้นตอนการทำที่พิถีพิถัน และยังมีบร็อกโคลีนี ที่ย่างเกรียมตัดรสเข้มข้นของเนื้อวัว
และที่จะขาดไปไม่ได้คือ Rof Emulsion สูตรของทางร้านเองซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากซอส chimichurri ของแอฟริกาตะวันตก เพื่อเติมกลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพร ช่วยปรับสมดุลให้กับความเข้มข้นของวากิวและทำให้จานนี้ครบรส
ใครไม่ทานเนื้อขอนำเสนอ อาหารทะเลจานกุ้งแทน Wood Fire Giant River Prawn ราคา 800 บาท++ เป็นกุ้งแม่น้ำเนื้อแน่นเด้งมันเยิ้มเพิ่มรสชาติด้วย และซัลซ่ามะเขือเทศเปรี้ยวสดชื่น พร้อมโรย wolffia หรือผำ ที่หาทานยาก เพิ่มเทกซ์เจอร์ในทุกคำ หมูหวานชวนชิม เลือกเนื้อ ส่วนเพื่อนสาวเลือกจานกุ้ง เพราะเธออยากลอง
Sean Lai เชฟเจ้าของ ‘ร้าน La Braci’ กล่าวว่า “ปรัชญาการทำอาหารของเรา เกิดจากความเคารพอย่างลึกซึ้งต่อทั้งประเพณีและนวัตกรรม เราตั้งใจรังสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารสไตล์ไฟน์ ไดนิ่งแบบสบายๆ
แต่ทันสมัย เชิดชูเสน่ห์ดั้งเดิมของการปรุงอาหารด้วยไฟที่จุดจากไม้ที่ผสานกับเทคนิคสมัยใหม่ เป้าหมายของเราคือการส่งเสริมให้รสชาติตามธรรมชาติของวัตถุดิบที่เราคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันได้เปล่งประกายอย่างเต็ม
ภาคภูมิด้วยวิถีแห่งความซับซ้อน และละเอียดอ่อนที่ได้จากไฟ และควัน แต่ละจานเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอนเพื่อรังสรรค์ประสบการณ์ที่น่าจะจดจำ”
และ รสชาติของอาหาร ที่เขามุ่งเน้นการใช้ไฟสร้างรสชาติที่เลิศล้ำ และเชื่อมโยงผู้คนเข้าหากัน ซึ่งไม่ได้มีแค่รสชาติ และกลิ่นหอมของการย่างด้วยไม้ฟืน แต่ยังยกระดับคุณภาพเกินความคาดหวังในราคาที่เข้าถึงได้อีกด้วย
ร้านอาหารแห่งนี้บริหารงานโดยเชฟเจ้าของร้าน Sean Lai และ วชิรวิทย์ ธนันต์รัตน์ (เชฟแบงค์) กรรมการบริษัทและผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ร่วมกับทีมเชฟชาวไทยฝีมือเยี่ยมเพื่อสร้างสรรค์ประสบการณ์การรับประทานอาหารเหนือระดับ
ความพิเศษของที่นี่ก็คือ นอกจากเชฟจะปรุงอาหารสดๆใหม่ๆให้เราได้เห็น ได้กลิ่น อยู่ตรงหน้าแล้ว เชฟยังเดินออกมาจากครัวเปิด และแนะนำเมนูที่ตนรังสรรค์ขึ้นให้กับเราโดยตรงอีกด้วย ทำให้เราได้สัมผัสบรรยากาศที่เป็นกันเอง ท่ามกลางเปลวไฟอันอบอุ่น