70 ปี AUA สถาบัน "เรียนภาษา" ที่โด่งดังในยุค 90 และหวังครองใจผู้เรียนปัจจุบัน

ถอดความคิด AUA สถาบันสอนภาษาในไทยที่มีอายุยาวนานกว่า 70 ปี กับการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่เพื่อสื่อสารและสร้างฐานกับกลุ่มผู้เรียนภาษาอังกฤษ ท่ามกลางการแข่งขันของโรงเรียนสอนภาษา
ในยุค web 2.0 ที่โซเชียลมีเดียยังไม่แพร่หลายมากนัก หนึ่งในหัวข้อสุดฮิตที่บรรดานักเรียนนักศึกษาต่างตั้งไว้ตามเว็บบอร์ดโรงเรียนหรือรอติดตามคำตอบในสังคมออนไลน์คือคำถามที่ว่า “เรียนภาษาอังกฤษที่ไหนดี”
นั่นเพราะว่า “การเรียนภาษา” ในช่วงเวลานั้น หมายถึงการต้องลงทุนจ่ายเงินเพิ่มนอกจากการเรียนปกติ ซึ่งการได้คำตอบจากผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ต่างอะไรจากการอ่านรีวิว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ
ท่ามกลางสารพัดคำตอบ ซึ่งแปรได้ตามจำนวนโรงเรียนสอนภาษาที่มีอยู่มากในประเทศไทย แต่ถึงเช่นนั้นหนึ่งในสถาบันสอนภาษาที่ต้องมีชื่ออยู่ในทุกๆครั้งที่มีการตั้งคำถามคือ สถาบันสอนภาษาเอยูเอ (AUA)
“เอยูเอ” เป็นสถาบันภาษาที่ผูกพันกับผู้เรียนมานาน ทั้งยังเป็นสถาบันสอนภาษาแห่งแรกๆ ที่สอนภาษาไทยให้กับชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและคิดอยากเรียนภาษาไทย ซึ่งจนถึงปัจจุบันนี้ตัวเลขที่สถาบันฯ บันทึกไว้นับตั้งแต่เปิดทำการเมื่อ พ.ศ.2495 คือ มีผู้เรียนภาษากับเอยูเอแล้วถึง 2ล้านคน
“เราน่าจะเป็นสถาบันสอนภาษาแรกๆ ที่เปิดทำการในประเทศไทย และสักประมาณเมื่อ 20-30 ปีก่อน จะเรียกว่ายุค 90 ก็ได้ เรามีสาขามากกว่า 16-18 สาขา ทั้งในกรุงเทพและในภูมิภาคต่างๆ ขณะที่ในปัจจุบันบริบทของการเรียนภาษาก็ต่างไปบ้าง ทั้งจำนวนโรงเรียนสอนภาษาที่มากขึ้น และยิ่งในช่วงโควิด-19 เรายอมรับว่า มันเป็นช่วงที่ท้าทายเรามาก ซึ่งเราก็พยามปรับมาตลอด และในช่วงปี 65 หลังจากผ่านครึ่งปี เราเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น” เอกพงษ์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการบริหาร โรงเรียนสอนภาษาเอยูเอ อธิบาย
เอกพงษ์ ณ ระนอง ผู้อำนวยการบริหาร โรงเรียนสอนภาษาเอยูเอ ในวันแถลงข่าวครบรอบ 70 ปี
- โรงเรียนภาษาอายุ 70 ปี
หากใครผ่าน ถนนราชดำริ ในช่วง 1-2 ปีมานี้ ก็น่าจะเห็นอาคารสมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกาในพระบรมราชูปถัมภ์ American University Alumni Association under the Royal Patronage (AUA) ซึ่งถูกปรับปรุงใหม่ จากอาคารเก่าสีขาวทรุดโทรมอายุหลายสิบปี สู่สถาปัตยกรรมโดดเด่นด้วยอิฐสีแดงนับล้านก้อน บนพื้นที่ประวัติศาสตร์เดิม
สมาคมนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา ถูกริเริ่มใน พ.ศ.2467 เมื่อครั้งสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ กรมหลวงสงขลานครินทร์ เป็นองค์ประธานในงานชุมนุมเลี้ยงอาหารค่ำครั้งแรกของกลุ่มนักเรียนเก่าสหรัฐอเมริกา จากนั้นจึงเกิดโรงเรียนสอนภาษาขึ้นด้วยจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างประชาชนชาวไทยกับชาวอเมริกันให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ผ่านการเรียนภาษาอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.2495 และกิจการดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
“ถ้าถามว่า อะไรที่ทำให้ AUA ยังอยู่และได้รับความนิยม อย่างแรกผมมองว่า เราเป็นสถาบันที่มีราคาค่าเรียนค่อนข้างต่ำ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในราคาตลาด ขณะเดียวกันครูผู้สอนเราเป็น Native Speaker (ประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารเป็นภาษาหลัก) ซึ่งแนวทางการเป็นสถาบันภาษาที่มีรากมาจากสมาคมฯ ที่เป็น Non-Profit Organization (ไม่แสวงหากำไร) ทำให้สถาบันไม่จำเป็นที่ต้องสร้างผลกำไรที่มากเพื่อตอบสนองผู้ร่วมทุน ดังนั้นเราจึงสามารถทำราคาที่ต่ำได้ และปัจจุบันเราก็ทำราคาที่คนทุกกลุ่มเข้าถึงได้ในราคาเริ่มที่ 4,500 บาท ในจำนวน 20 ชั่วโมง”
แนวทางการทำสถาบันให้ Mass ที่สุด ด้วยโครงสร้างสถาบัน การทำราคา การมีจำนวนสาขาที่ครอบคลุมในแต่ละภูมิภาค เคยเป็นแนวทางที่ AUA ใช้มาตลอด แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน สถาบันสอนภาษาที่มีอายุยาวนานเช่นนี้ก็ถูกท้าทายจากบริบทการเรียนที่เปลี่ยนไป ทั้งจากการมีสถาบันภาษาเกิดใหม่ๆที่ขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สถาบันภาษาที่เป็นธุรกิจสาขาย่อย ติวเตอร์ที่มีฐานนักเรียนจากโซเชียลมีเดีย
“เราเห็นสถานการณ์มาตลอด จริงอยู่ที่มีสถาบันเกิดขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันก็ปิดตัวไปจำนวนมากเช่นกัน และจนถึงวันนี้เราก็ยังเชื่อว่า ความเป็นสถาบันของเรายังมีคุณภาพ ทั้งวิชาการ ผู้สอน เราจึงไม่ใช่สถาบันที่หายไปจากตลาด”
“อย่างไรก็ตามสิ่ง ที่เราเจอในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมานี้ และก็น่าจะเป็น ความท้าทายแบบเดียวกับที่หลายโรงเรียน หลายธุรกิจเจอ นั่นคือโควิด-19 ซึ่งเมื่อผมได้เข้ามาเมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ.2564) เราเปิดเรียนได้แค่ 2-3 เดือนเท่านั้น และต้องเจอกับ Fixed cost (ค่าใช้จ่ายประจำ) นั่นทำให้เราเลือกที่จะปิดบางสาขา และถือโอกาสนี้ปรับรูปแบบใหม่”
- ผสานเทคโนโลยีสู่สถาบันภาษายุคใหม่
ปัจจุบัน เอยูเอมีจำนวนสาขารวม 8 สาขา แบ่งเป็นกรุงเทพ 4 สาขา และในจังหวัดอื่นรวม 4 สาขา และแม้ทุกวันนี้โควิด-19 จะยังไม่ไปไหน แต่ในช่วงปี 65 สัญญาณในภาคธุรกิจต่างๆ เริ่มกลับมาดีขึ้น เช่นเดียวกับ AUA ที่ผู้บริหารมองว่า เริ่มกลับมาฟื้นตัว
ในโอกาสครบรอบ 70 ปีของสถาบันสอนภาษา AUA จึงปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อสร้างฐานผู้เรียน และทำให้ AUA ยังครองใจและถูกผู้คนนึกถึงเมื่อคิดจะเรียนภาษาอังกฤษ
“ปัจจุบันในแต่ละปีเรายังมีนักเรียนที่ยังคง Active อยู่ในระดับ 20,000 คนต่อปี ซึ่งถือว่ายังไปได้ และจากนี้ไปเราก็จะทำการตลาดเพิ่มเติม เพื่อสื่อสารกับกลุ่มนักเรียนเจนฯใหม่ๆ และเราคาดหวังว่าเมื่อสถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้นเรื่อยๆ ตัวเลขผู้เรียนน่าจะสูงขึ้นเป็น 2 เท่า”
กลยุทธ์ของเอยูเอ ในปัจจุบันและการก้าวสู่อนาคต เอกพงษ์ กล่าวว่า อย่างแรกคือการปรับปรุงหลักสูตรให้ครอบคลุมผู้เรียนมากขึ้นจากเดิม เช่น หลักสูตรภาษาอังกฤษทั่วไปและกลุ่มคนทำงานอย่าง English for Communication, English for Business หลักสูตรสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น เช่น English for Academic Purposes, IELTS Preparation ทั้งยังรวมถึงหลักสูตรที่ต้องการทักษะเฉพาะทางเช่น Effective Writing, Research Writing และ Thai for Communication หลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนชาวต่างชาติ
“นอกจากนี้ เอยูเอยังมีหลักสูตร Junior English for Communication สำหรับผู้เรียนระดับมัธยมต้น ซึ่งหลักสูตรนี้นอกเหนือจากการพัฒนาทักษะภาษาทั่วไปแล้ว ยังเน้นการเสริมสร้างทักษะของ Global Citizenship หรือ การเป็นพลเมืองโลก ให้มีความสามารถในการสื่อสาร การคิดสร้างสรรค์ ความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ ซึ่งนอกจากการเรียนในห้องเรียนแล้ว ผู้เรียนทุกคนยังสามารถพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษผ่านกิจกรรม AUA Clubs ที่มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบตามความสนใจ ไม่ว่าจะเป็น Foodie Club, Movie Night, Conversation Time และ Board Games Club เป็นต้น”
- เพิ่มสัดส่วน ลูกค้าองค์กร
ถึงตรงนี้ การครบรอบ 70 ของเอยูเอ ไม่ใช่แค่การเฉลิมฉลอง แต่คือการวางหมุดหมายใหม่ของโรงเรียนสอนภาษาที่เคยโด่งดังเมื่อหลายสิบปีก่อน ให้กลับมาใหม่ในยุคปัจจุบัน ซึ่ง ผู้บริหารสถาบัน มองว่า นอกจากกลุ่มลูกค้านักเรียน นักศึกษา คนทำงานที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักแล้ว จากนี้ไปเอยูเอ จะรุกตลาดการอบรมองค์กร ซึ่งเอยูเอ ทำอย่างต่อเนื่อง และมีฐานลูกค้านับร้อยองค์กรอยู่แล้ว
“ในช่วงการปรับเป็นเรียนออนไลน์ เราพบว่า กลุ่มคนที่มาเรียนภาษาเพิ่มมากขึ้นคือกลุ่มคนวัยทำงาน ซึ่งคิดเป็น 60% จากฐานผู้เรียนใหม่ทั้งหมด ผนวกกับภายหลังที่องค์กรต่างๆ ให้พนักงานทำงาน On-site เราเห็นความต้องการของกลุ่มองค์กรที่ต้องการเพิ่มทักษะภาษาให้กับพนักงาน ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 64 สูงขึ้นประมาณ 20%”
ภาษาอังกฤษในอุตสาหกรรม, ภาษาอังกฤษของสายวิศวกรรม, ภาษาสำหรับธุรกิจต่อเรือ , ภาษาอังกฤษของธุรกิจ FMCG และอีก ฯลฯ คือตัวอย่างหนึ่งที่ทีมวิชาการของ AUA จะออกแบบให้ลูกค้าองค์กร ซึ่งสัดส่วนลูกค้ากลุ่มนี้เอยูเอมองว่า จะช่วยผลักดันให้ธุรกิจสอนภาษายังไปได้และเติบโตยิ่งขึ้น และนอกจากนี้ในปี 2566 เอยูเอมีแผนที่จะขยายสาขาในกรุงเทพและต่างจังหวัดมากขึ้น เช่นเดียวกับในอนาคตที่สถาบันยังมองถึงการขยายสาขาไปยังกลุ่มประเทศ CLMV
ทั้งหมดคือความเคลื่อนไหวของสถาบันสอนภาษา ที่เคยโด่งดังในอดีตและยังหวังครองใจผู้เรียนในยุคปัจจุบัน
ให้คำถามที่ว่า "เรียนภาษาที่ไหนดี" ยังคงมี AUA อยู่ในทุกๆ ความคิดเห็น