“ยักษ์กะโจน”ธุรกิจเกษตร ดีต่อผู้บริโภคและโลก
“ยักษ์กะโจน” ธุรกิจเกษตร ส่งเสริมให้ปลูกแบบปลอดสารพิษ 100 เปอร์เซ็นต์ รับพืชผักจากลูกศิษย์ที่ปลูกกินจนเหลือเก็บมาขาย จากเครือข่ายทั่วประเทศ มีปลาจากประมงขนาดเล็ก ส่งตรงถึงผู้บริโภค เป้าหมายคือ ล้างพิษทั้งคนปลูกและคนกิน แบบยั่งยืน
You Are what You Eat เป็นความรู้ขั้นพื้นฐานที่ใครๆ ก็รู้ แล้วมีทางเลือกไหม ต้องตั้งคำถามกับผู้ปลูก หรือเหล่าบรรดาเกษตรกร
จึงได้คำตอบว่า ฝ่ายผู้ปลูกได้เริ่มต้นแล้ว พวกเขาผลิตพืชผลปลอดภัย 100 % และจำหน่ายในนาม ยักษ์กะโจน เป็นผู้เริ่มต้นธุรกิจที่หวังจะเปลี่ยนแปลงโลก
งานนี้ได้ผลประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ทั้งคนกินและคนปลูก แถมยังช่วยแก้ปัญหาโลกร้อน Climate Change ได้อีกด้วย
พิเชษฐ์ โตนิติวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ธรรมธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคมจำกัด ร้านยักษ์กะโจน กล่าวว่า
ร้านนี้เป็นเพียงหน่วยธุรกิจหนึ่ง เครื่องมือหนึ่ง ของโครงการใหญ่ทั้งหมด ที่ ยักษ์จับมือโจน ทำธุรกิจหนาวแน่ๆ (หัวเราะ)
พร้อมกับอธิบายเพิ่มเติมว่า นี่คือชื่อเต็มของโครงการ หมายถึง อาจารย์ยักษ์-วิวัฒน์ ศัลยกำธร กับ โจน จันได
ดำเนินธุรกิจโดย หนาว-พิเชษฐ์ จดทะเบียน ทำธุรกิจ วิสาหกิจเพื่อสังคม โดยมีธุรกิจ 3 ประเภท คือ อาหาร สุขภาพ และการท่องเที่ยว
เงื่อนไขการเป็นศิษย์ “ยักษ์กะโจน”
อาหาร ของ ยักษ์กะโจน จำหน่ายอยู่ 5 ช่องทางก็คือ ตลาดนัดธรรมชาติ , รถพุ่มพวงของทำธุรกิจ,ร้านอาหารยักษ์กะโจน ,การขายออนไลน์ และมีการขายส่ง
พิเชษฐ์ โตนิติวงศ์ ผู้จัดการทั่วไปอธิบายว่า ร้านยักษ์กะโจน เป็นเพียง 1 ใน 5 ช่องทางเท่านั้นเอง แต่คอนเซ็ปต์ชัดเจนมากคือร้านนี้จะใช้ผลผลิตที่ปลูกจากดินของลูกศิษย์ที่มาจากยักษ์กะโจนเท่านั้น
"เราจะไม่ไปซื้อของจากตลาดมาให้คนกิน คำว่าศิษย์ยังมีเงื่อนไขรายละเอียดอีกคือ ต้องผ่านการอบรมที่มีเลขรุ่น ไม่ใช่ดูผ่านเฟซบุ๊ค
ยูทูปแล้วบอกว่าเป็นลูกศิษย์ ต้องไปค้างคืนกินนอนอบรมกันผ่านเครือข่ายกสิกรรมธรรมชาติ มีทั่วประเทศ
เงื่อนไขที่สองคือ ต่อให้เป็นลูกศิษย์แต่คุณปลูกเพื่อนำมาขาย เราก็ไม่รับซื้อ ลูกศิษย์ต้องปลูกเพื่อให้ตัวเองพอกินก่อน พึ่งพาตนเองก่อน
เช่น ปลูกขิง ข่า ตะไคร้ไว้กินในครัวเรือน ไม่ใช่มีแปลงปลูกผักเพื่อขายอย่างเดียว แล้วเอาเงินไปซื้ออย่างอื่นกิน อันนี้ไม่ใช่วัตถุประสงค์ของเรา"
ภาพโดย : ศุกร์ภมร เฮงประภากร
เกษตรกรต้องคิดใหม่
พิเชษฐ์ โตนิติวงศ์ เล่าต่อไปว่า เป้าหมายของ ยักษ์กะโจน ก็คือ ต้องการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน สังคมแห่งความเป็นธรรม
เปลี่ยนแปลงสังคมของคนปลูกที่คิดแบบเดิมๆ คือ คนปลูกปัจจุบันปลูกทุกอย่างเพื่อหารายได้ เพื่อเอาเงินกลับมาซื้อกิน
นี่คือสิ่งที่เกษตรกรต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ ถ้าสังคมคนปลูกยังเหมือนปัจจุบัน ก็ไม่มีทางเปลี่ยนโลกได้ ไม่มีทางที่จะอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน
“พิเชษฐ์ โตนิติวงศ์” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ธรรมธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคมจำกัด
“ถ้าคุณยังคิดแบบเดิม คุณก็จะเข้าไปถางป่า ปลูกข้าวโพด ปลูกยางพารา อ้อย มันสำปะหลัง โลกก็จะยิ่งวิบัติ
ที่บอกว่า Climate Change ก็เพราะคนปลูกคิดแบบนี้ แต่ผมว่าหลักคิดนี้ก็มีเบื้องหลังเหมือนกันนะ
เบื้องหลังเรื่องนี้ก็คือ มาจากคนกินนั่นแหละ เพราะคนกินไม่สนใจสังคมคนปลูก ดังนั้นยักษ์กะโจน ก็ต้องไปเปลี่ยนแปลงสังคมคนกินด้วย
ภาพจาก : เฟซบุ๊คยักษ์ กะ โจน : Yak Ka Jon
ให้ตระหนักถึงที่มาของอาหาร ถ้าคนกินตระหนัก มีสำนึก มีความคิด เขาจะรู้ทันทีว่าอาหารแบบไหนที่เขาไม่ควรกิน
ถ้ายังกินก็หมายถึงส่งเสริมให้คนปลูกคิดแบบเดิม สังคม ประเทศชาติก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น มีแต่จะเลวร้ายลง
คนปลูกก็จะคิดว่าทำไงให้ได้ตังค์เยอะที่สุด กู้เงินธ.ก.ส.มาลงทุน ทำเสร็จเจ๊ง ไปขอกู้วงเงินเพิ่มเป็นวงจรอยู่แบบนี้”
ที่คุณหนาวพูดหมายถึง คนปลูกจะเปลี่ยนแปลง และประสบความสำเร็จได้ คนกินก็ต้องเปลี่ยนแปลงด้วย นอกจากนั้น
พวกเขาคิดว่า คนกินต้องรู้ว่า ทุกคำที่คุณกินเข้าไป ต้องเปลี่ยนแปลงสังคมได้
ภาพจาก : เฟซบุ๊คยักษ์ กะ โจน : Yak Ka Jon
ล้างพิษในดิน เพื่ออาหารที่ดี
เริ่มต้นจากสุขภาพของคนกิน ภายใน1 อาทิตย์ถ้าคุณกินอาหารอย่างรู้ที่มา ไม่ใส่สารเคมี สารพิษ อาหารเหล่านั้นก็จะสามารถเข้าไปดูดซึมดูดซับอาหารที่มีพิษตกค้างอยู่ในร่างกาย
หรือร่างกายอักเสบจากการกินอาหารที่มีสารเคมี ลดการเป็นมะเร็ง ไม่เกิดโรคที่ไม่มีเชื้อโรค เช่นความดัน เบาหวาน หัวใจ คอเลสเตอรอล
“ที่เราอบรมการเกษตร ก็ต้องล้างพิษในดิน ห่มดิน ต้องใช้น้ำหมักสมุนไพรรสจืดไปล้างพิษที่ตกค้างในดิน
นี่แหละคือการเปลี่ยนแปลงที่ยักษ์กะโจนต้องการ ในสังคมคนกิน ถ้าคนกินไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายมันไม่ครบวงจร
เราในฐานะคนกลาง เป็นโซ่ข้อกลาง ก็จะพยายามทำให้เกิดสังคมแห่งการแบ่งปัน สังคมแห่งความเป็นธรรมเกิดขึ้นให้ได้”
พูดถึงสินค้าใน ร้านยักษ์กะโจน พิเชษฐ์ เล่าต่อว่า ก็มีข้าวกล้องสันป่าตอง พืชผักตามฤดูกาล ผักพื้นบ้านหลากหลายแต่ละภาค
ส่งมาที่ห้องเย็นรามอินทรา 109 แล้วจัดส่งกระจาย 3 สาขา อนาคตในกรุงเทพฯ อาจจะมีถึง 10 สาขา
คนที่มากินอาหารที่ร้านยักษ์กะโจน ก็จะเจอผักแปลกๆ ไม่เคยรู้จักมาก่อน
“อย่างช่วงนี้มีผักเชียงดาจากเชียงใหม่ ผักโสมไทย บางคนก็ไม่รู้จัก มี 300 กว่าชนิด ช่วงนี้อะโวคาโดเยอะมากมีหลากหลายสายพันธุ์
แตงไทยที่นี่ก็ขึ้นชื่อมาก เนื้อแน่น หอม ฟักทอง มะละกอ ก็เหมือนกัน อะไรที่ปลูกด้วยดินและไม่มีสารเคมี จะอร่อยกว่าพืชผลที่ใช้ปุ๋ย
และยาฆ่าแมลง ฯลฯ ที่นอกจากอร่อยน้อยกว่าแล้ว ยังมีสารตกค้างก่อให้เกิดโรค อย่างเช่นมะเร็ง ฯลฯ”
ภาพจาก : เฟซบุ๊คยักษ์ กะ โจน : Yak Ka Jon
ธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม
ยักษ์กะโจน สาขาหมู่บ้านสัมมากร นอกจากมีร้านอาหารปรุงอาหารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว ยังมีห้องเบเกอรี่
ในแบบฉบับที่ยักษ์กะโจนต้องการ มีห้องมาร์ทจำหน่ายสินค้าจากเครือข่ายลูกศิษย์ นอกจากพืชผักปลอดภัยแล้ว
ยังมีอาหารทะเลจากประมงพื้นบ้าน จากชุมพร และทะเลตะวันออก บางปู จันทบุรี และตราด
แล้วแต่ว่าชาวประมงจะจับอะไรมาได้ในแต่ละฤดู หน้ามรสุมบางที่จับปลาไม่ได้ หรือได้ปลาตัวเล็กมา
ซึ่งพวกเขาก็ได้หาแหล่งประมงขนาดเล็กอื่นๆมาเสริม เพื่อส่งเสริมอาชีพชาวประมง และผู้บริโภคได้อาหารดี ปลอดภัย ในราคาไม่แพงนัก
“ไปที่ร้านนี้ บางทีเราอาจจะพบปลาชื่อแปลกๆ เช่นปลาโฉมงาม ปลาสุจิน ปลาสีกุน ปลาสีรัง ปลาใบปอ ปลาใบขนุน ปลาน้ำดอกไม้
ปลาหลังเขียว นี่คือชื่อปลาที่ชาวบ้านรู้จัก แต่คนในเมืองอาจไม่รู้จัก”คุณหนาว กล่าว
นอกจากนี้กล่าวเพิ่มว่า เรายังมี ข้าวกล้องสันป่าตอง เป็นโปรดักแชมเปี้ยน กินเพื่อล้างพิษ ในร้านเราเสิร์ฟข้าวฟรีเพียงแค่คุณสั่งกับข้าว 1 อย่าง
"ตอนนี้เรากำลังเปิดขายหุ้น 1,500,000 หุ้นให้คนทั่วไป หุ้นละ 101 บาท เราเป็นธุรกิจวิสาหกิจเพื่อสังคม โดยรัฐรับรอง
โดยไม่ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ 10 ปี ต่อจากนี้เราจะสร้างฐานคนกิน และมีระบบปันผลแบบสหกรณ์ครับ”
ร้านยักษ์กะโจน ปัจจุบัน (พศ.2565) มี 3 สาขาในกรุงเทพฯ ที่หมู่บ้านสัมมากร ,ย่านบรรทัดทอง และถนนพระราม 2 (โรงเรียนรุ่งอรุณ)
"ยักษ์กะโจน" สาขาสัมมากร อยู่ที่รามคำแหง 112(ซอย 29-31) เขต สะพานสูง เปิดบริการทุกวันเวลา 11.00-20.00 น. (สั่งอาหารได้ถึง 19.30 น.) โทร. 062-604 9119