“นรก” ไม่ได้มีแค่ “อเวจี” ชวนรู้จัก 8 ขุมนรกในพุทธศาสนา
เมื่อวลีสุดฮิต “ตกนรกอเวจีปอยเปตแสนล้านภพแสนล้านชาติ” ในโลกโซเชียล ทำให้ช่วงนี้หลายคนอยากรู้เรื่องราว “นรกอเวจี” ตามความเชื่อทางศาสนาพุทธมากขึ้น แล้วรู้หรือไม่? ความจริงแล้ว อเวจี เป็นแค่ส่วนหนึ่งของนรกเท่านั้น
โลกของ “นรก” หรือ “นรกภูมิ” ในศาสนาพุทธนั้นคือ ดินแดนหนึ่งที่เชื่อกันว่าผู้ที่ทำบาปตอนยังเป็นมนุษย์เมื่อเสียชีวิตแล้วจะต้องไปเกิดในนรก และถูกลงโทษตามคำพิพากษาของมัจจุราช โดยตามไตรภูมิกถาแล้ว นรกภูมิเป็นดินแดนหนึ่งในกามภพอันเป็นหนึ่งในภพทั้งสาม คือ กามภพ รูปภพ และอรูปภพ รวมเรียกว่า "ไตรภพ" หรือ "ไตรภูมิ"
นรกของพระพุทธศาสนาต่างจากนรกของศาสนาอื่นๆ ในฝั่งตะวันตกอยู่สองเรื่อง คือ 1.ชาวตะวันตกเชื่อว่าเมื่อเราตายไปจะไม่ได้ไปเกิดและรับโทษในนรกภูมิตามคำพิพากษาของพระเจ้า แต่เป็นเพราะบาปกรรมที่ตนได้กระทำเมื่อมีชีวิต และ 2.ระยะเวลาถูกลงโทษในนรกเป็นไปตามโทษานุโทษ ไม่ได้ชั่วกัปชั่วกัลป์ แต่ก็กินเวลานานมาก เมื่อพ้นโทษจากนรกแล้วจะได้กลับไปเกิดในโลกที่สูงขึ้นตามแต่กรรมดีที่ได้กระทำไว้หรือตามแต่ผลกรรมที่เหลืออยู่ แล้วแต่กรณี
สำหรับ คติไตรภูมินั้นโลกนรก หรือ “นิรยภูมิ” เป็นส่วนหนึ่งของอบายภูมิหรือทุคติภูมิ 4 ประกอบด้วยพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา มีนรกอีกหลายขุมซ้อนทับกันหลายชั้น แต่ละชั้นก็มีนรกบริวารรวมนับร้อยขุม
นิรยภูมิจะแบ่งออกเป็น “มหานรก” มีทั้งหมด 8 ขุมใหญ่ ที่ตั้งซ้อนทับเป็นชั้นๆ และแยกกันอย่างชัดเจนอยู่ลึกลงไปใต้โลกมนุษย์ เรียงจากชั้นบนสุดลงไปยังชั้นล่างสุด ซึ่งสามารถแบ่งจากโทษเบาสุดไปจนถึงโทษหนักสุดได้ดังนี้
1. สัญชีวนรก คือ นรกไม่มีวันแตกดับ เป็นนรกสำหรับผู้ที่เบียดเบียนผู้อื่น สัตว์นรกจะถูกทรมานจากนิรยบาลด้วยสารพัดวิธีจากคมอาวุธจนตาย แต่ก็จะมี “ลมกรรม” พัดผ่านให้คืนชีพมาเสวยโทษทัณฑ์เรื่อยๆ ต้อง เกิด-ตาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นจนครบอายุขัย อายุของสัตว์นรกในสัญชีวนรก คือ 500 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 9 ล้านปีโลกมนุษย์
2. กาฬสุตตนรก คือ นรกเส้นด้ายดำ เป็นนรกสำหรับผู้ที่ทำร้ายผู้มีพระคุณหรือทำลายชีวิตสัตว์โลก เมื่อสัตว์นรกถูกตีด้วยด้ายดำจนเกิดเส้นตามร่างกาย จะถูกเฉือนด้วยคมอาวุธตามรอยนั้น อายุของสัตว์นรกในกาฬสุตตนรก คือ 1,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 3 โกฏิ (1 โกฏิ เท่า 10 ล้าน) กับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์
3. สังฆาฏนรก คือ นรกบดขยี้ เป็นนรกสำหรับผู้ที่ไร้ความเมตตา ชื่นชอบการทารุณกรรม สัตว์นรกจะถูกกระหน่ำตีด้วยฆ้อนเหล็กและบดทับด้วยลูกไฟกับภูเขาเหล็ก อายุของสัตว์นรกในสังฆาฏนรก คือ 2,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 14 โกฏิกับอีก 5 ล้านปีโลกมนุษย์
4. โรรุวนรก คือ นรกแห่งเสียงคร่ำครวญ นรกสำหรับเหล่าคนโลภ ฉ้อโกง ร่างของสัตว์นรกจะถูกตรึงให้นอนคว่ำหน้า หัว มือ และเท้าจมอยู่ในดอกบัวเหล็กที่เปลวเพลิงลุกท่วม ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด แต่ไม่ตาย อายุของสัตว์นรกในโรรุวนรก คือ 4,000 ปี โดย 1 วันของนรกขุมนี้เท่ากับ 23 โกฏิกับอีก 4 ล้านปีโลกมนุษย์
5. มหาโรรุวนรก คือ นรกแห่งเสียงคร่ำครวญอย่างยิ่งยวด นรกสำหรับคนจิตใจโหดเหี้ยม อำมหิต ทำความชั่วทั้งหลายด้วยจิตอาฆาตพยาบาท ดอกบัวเหล็กของนรกขุมนี้จะเพิ่มคมตามกลีบดอก โดยสัตว์นรกต้องจมอยู่ในดอกบัวเหล็กทั้งตัว อายุของสัตว์นรกในมหาโรรุวนรก คือ 8,000 ปี โดย 1 วันนรก เท่ากับ 921 โกฏิกับอีก 6 ล้านปีโลกมนุษย์
6. ตาปนรก คือ นรกแห่งความร้อนรุ่ม นรกสำหรับคนบาปที่เต็มไปด้วยโลภะ โทสะ โมหะ และความเห็นแก่ได้ สัตว์นรกจะถูกหลาวเหล็กแท่งใหญ่ราวต้นตาลเสียบพร้อมเปลวไฟพวยพุ่ง ก่อนถูกสุนัขนรกฉุดกระชากลงมากิน อายุของสัตว์นรกในตาปนรก คือ 16,000 ปี โดย 1 วันนรกเท่ากับ 1,842 โกฏิกับอีก 12 ล้านปีโลกมนุษย์
7. มหาตาปนรก คือ นรกแห่งความร้อนรุ่มอย่างยิ่งยวด เป็นนรกสำหรับผู้ที่เคยฆ่าคนและฆ่าสัตว์เป็นหมู่มาก ๆ ไม่คำนึงถึงชีวิตผู้อื่น ต้องอยู่ในกำแพงและภูเขาเหล็กที่เต็มไปด้วยหนามแหลม พร้อมลมกรดพัดพาร่างไปโดนหนามเสียบ อายุของสัตว์นรกขุมนี้คือ ครึ่งกัลป์ (1 กัลป์ เท่ากับระยะเวลาที่อายุของมนุษย์ไขลงจากอสงไขยปี จนถึง 10 ปี แล้วไขขึ้นจาก 10 ปี จนถึงอสงไขยปีอีกรอบ ครบ 1 คู่ เรียกว่า 1 กัลป์ ซึ่งอสงไขยปีเท่ากับเลข 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 140 ตัว)
8. อเวจีนรก คือ นรกอันแสนสาหัสไร้ความปรานี เป็นมหานรกที่ลึกและกว้างใหญ่ที่สุด เป็นนรกสำหรับผู้ทำกรรมหนักอย่างหาที่สุดมิได้ เช่น ฆ่าบุพการี ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต และยุยงให้คณะสงฆ์แตกแยก ขุมนรกล้อมด้วยกำแพงเหล็กที่เปลวไฟลุกท่วม สัตว์นรกจะถูกเพลิงเผาผลาญด้วยอิริยาบถต่างๆ ทั้ง นั่ง ยืน หรือนอน ตามกรรมของตน อยู่ห้องสี่เหลี่ยมและหลาวเหล็กเสียบทะลุร่างตรึงให้แน่นิ่งไม่สามารถขยับร่างกายได้ อายุของสัตว์นรกในอเวจีนรก คือ 1 กัลป์
นอกจากนี้ในแต่ละขุมยังมี “ยมโลกนรก” อยู่อีก 320 ขุม อยู่รอบ 4 ทิศ ทิศละ 10 ของมหานรกแต่ละขุม เรียกว่า “อุสสทนรก” ดังนี้
1. คูถนรก เต็มไปด้วยหนอนตัวใหญ่คอยกัดกินสัตว์นรกที่ผ่านเข้ามา
2. กุกกุฬนรก เต็มไปด้วยเถ้าถ่านคอยเผาสัตว์นรกให้กลายเป็นจุณ
3. อสิปัตตนรก มีต้นมะม่วงใหญ่หลอกล่อสัตว์นรกมาพักพิง จากนั้นใบมะม่วงจะกลายเป็นหอกพุ่งแทงสัตว์นรก รวมถึงมีกำแพงเหล็กติดเปลวเพลิงขวางกั้นพร้อมสุนัขนรกและแร้งนรกคอยรุ่มฉีกกินสัตว์นรก
4. เวตรณีนรก เต็มไปด้วยน้ำเค็มและเครือหวายหนามเหล็กล้อมคอยทิ่มแทงให้เกิดแผล มีไฟลุกท่วมกลางน้ำกับดอกบัวกลีบคมที่มีเปลวเพลิงติดอยู่ตลอด มีนิรยบาลใช้เบ็ดเกี่ยวลากขึ้นมาบนฝั่งเพื่อทำทัณฑ์ทรมานต่อ
และ “นรก” ก็ไม่ได้มีอยู่แค่ใต้ดินของโลกมนุษย์เราเหมือนอย่าง “นรกอเวจี” เท่านั้น แต่ยังมีนรกที่อยู่ไกลออกไปนอกโลกในจักรวาลอันไกลโพ้นอีกด้วย นั่นก็คือ “โลกันตนรก” เป็นนรกขุมที่ยิ่งใหญ่อีกขุมหนึ่ง เป็นขุมนรกสำหรับผู้ที่กระทำทรมานบุพการีหรือทำร้ายผู้ทรงศีล
ในโลกันตนรกมีสภาพมืดสนิท แสงดาวแสงเดือนและแสงตะวันก็ส่องไปไม่ถึง เสมือนคนหลับตาในเดือนดับข้างแรม สัตว์นรกที่มาเกิดในโลกันตนรก จะมีสภาพแปลกประหลาด มีสรีระร่างกายใหญ่โต มีเล็บมือและเล็บเท้ายาว ต้องใช้เล็บมือและเท้าเกาะอยู่ตามเชิงเขาจักรวาลห้อยโหนโยนตัว โดยเอาหัวลงมาข้างล้างชั่วนิรันดร์และต้องทรมานอยู่ในความมืด หากพลัดตกลงไปเบื้องล่างก็จะเป็นทะเลดำที่เป็นน้ำกรดและมีความเย็นเฉียบ ทำให้ต้องรีบตะเกียกตะกายกลับขึ้นไปห้อยโหนเช่นเดิม
จะเห็นได้ว่า “นรก” ในทางศาสนาพุทธนั้นมีความซับซ้อนมากมายหลายขุม เพื่อให้ครอบคลุมแก่ผู้ที่ทำบาปแตกต่างกันไป หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเพียงกุศโลบายที่ไม่มีอยู่จริง แต่อย่างน้อยเรื่องราวเหล่านี้ก็ถือเป็นเครื่องเตือนใจให้ชาวพุทธได้ระลึกอยู่เสมอว่า ในยามมีชีวิตอยู่นั้นควรกระทำแต่ความดี เมื่อเสียชีวิตไปแล้วจะได้ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในโลกนรกทั้งใต้ดินและนอกจักรวาล
อ้างอิงข้อมูล : MGR Online, ศิลปวัฒนธรรม, รู้จักเมืองนรก และ WIN news