อักษรศรี พานิชสาส์น : จีนยุคก้าวกระโดด ผู้พลิกเกมโลก
อีกมุมของนักเศรษฐศาสตร์ที่เรียกตัวเองว่า นักสังเกตการณ์จีน เดินทางไปทุกมณฑลในจีน และมองว่า "ผู้นำจีน"กำลังจะเป็นผู้พลิกเกมโลก...
“ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์ไม่ได้มานั่งสุมหัวแล้วคิดกันเอง แต่ขับเคลื่อนด้วยการวิเคราะห์ฐานข้อมูล ทำ social listening จับกระแสความกังวลของสังคม เพื่อแก้ปัญหาออกแบบนโยบายได้ตรงจุด”
“การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไฮเทคก็จริง แต่ถ้ามาจัดระเบียบชีวิตคนจีนมากเกินไป ก็แน่นอน ย่อมมีคนอึดอัดและไม่เห็นด้วย”
แค่สองประโยคสั้นๆ ที่รศ.ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เล่า คงชวนให้คิดในประเด็นอื่นๆ ได้อีก โดยเฉพาะเกมมหาอำนาจระหว่างจีนกับสหรัฐฯ แล้วไทยจะเรียนรู้จากจีนเรื่องไหนได้บ้าง
อดีตผู้อำนวยการศูนย์วิจัยยุทธศาสตร์ไทย-จีน สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ นักเขียนที่มีผลงานหนังสือเกี่ยวกับจีน 9 เล่ม และผลงานวิจัยมากกว่า 20 เรื่อง รวมทั้งเป็นวิทยากรด้านเศรษฐกิจจีน และยุทธศาสตร์จีน ยังสนุกกับการวิเคราะห์เรื่องจีนๆ เพราะวันนี้จีนไปไกลถึงดาวอังคาร
ขอบอกก่อนว่า บทสัมภาษณ์ใน จุดประกาย กรุงเทพธุรกิจ ครั้งนี้ อาจารย์อักษรศรี กระเทาะเปลือกโมเดลจีนให้อ่านแบบคร่าวๆ
“ในตอนแรก เคยมองว่า คอมมิวนิสต์และทุนนิยมไม่น่าไปด้วยกันได้ ตอนที่เพิ่งเริ่มศึกษาเรื่องจีน เราเคยใช้แว่นตะวันตกมองจีน ก็เลยไม่เข้าใจระบบจีน” เธอตั้งคำถาม และนี่คือบทสนทนาที่จะพาไปรู้จักจีน...
รองศาสตราจารย์ดร.อักษรศรี พานิชสาส์น อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ทำไมสนใจและศึกษาจีนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายสิบปี
เริ่มสนใจจีนจริงจังปี 1992 ยุคเติ้งเสี่ยวผิง จุดเริ่มต้นความสนใจตอนนั้น ดิฉันไปเรียนปริญญาโทอยู่ที่ Johns Hopkins สหรัฐ อาจารย์ฝรั่งนำคลิปภาพเติ้งเสี่ยวผิงไปที่เซินเจิ้นมาให้วิเคราะห์ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เรียกว่า Deng’s Southern Tour จึงเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นภาพความเจริญของจีนที่น่าทึ่ง
ไม่เหมือนที่เคยคิดไว้ คือ ช่วงนั้น เคยมีภาพลักษณ์จีนที่ล้าหลัง และเพิ่งเรียนจบปริญญาตรีคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาฯ คิดแบบเศรษฐศาสตร์กระแสหลัก ก็เลยสงสัย ระบบคอมมิวนิสต์จีนจะไปกับระบบทุนนิยมได้อย่างไร
และแปลกใจกับภาพที่เติ้งเสี่ยวผิงไปเยือนเซินเจิ้น จีนมีความทันสมัยและมีตึกสูงระฟ้า ไม่ได้ล้าหลังอย่างที่คิด แต่มีเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
ที่สนใจเพราะระบบจีนไม่เหมือนใคร ปกครองแบบคอมมิวนิสต์ แต่เศรษฐกิจแบบทุนนิยม แล้วระบบแบบนี้จะไปด้วยกันได้หรือ จะล้มครืนสักวันไหม ตอนนั้นคิดแบบนักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่ไม่เข้าใจระบบแบบจีน
เกาะติดจับตามาเรื่อยๆ จีนก็ไม่ย่ำแย่สักที มีระบบเฉพาะของจีนเอง โมเดลจีน ดิฉันมองว่า มันก็เหมาะกับบริบทจีน เขาไม่เลียนแบบตำราฝรั่ง แต่สามารถนำพาประเทศมาถึงจุดนี้ ถือเป็นความสำเร็จที่น่าสนใจเรียนรู้
จากวันนั้นถึงวันนี้ผ่านมา 30 ปีแล้ว ก็ยังเกาะติดพัฒนาการของจีนด้วยความสนุกและมีอะไรใหม่ๆ ให้ค้นคว้าหาคำตอบตลอด ดิฉันขอเรียกตัวเองว่า นักสังเกตการณ์จีน
- แรกๆ มองจีนด้วยความรู้แบบตะวันตก จากนั้นศึกษาจีนอย่างลึกซึ้ง?
ถ้าเรื่องใดที่ดิฉันมี Passion สนใจใฝ่รู้ในเรื่องอะไร ก็จะทุ่มเทเต็มที่ หลายสิบปีที่ผ่านมา ด้วยความอยากรู้สภาพที่แท้จริงของจีนด้วยตาตัวเอง จึงเดินทางไปลงพื้นที่ในประเทศจีนครบทุกมณฑล (31 มณฑล) เริ่มไปจีนอย่างจริงจังในปี 2000 ตระเวนเดินทางจนครบในปี 2009 ใช้เวลา 9 ปี จะมีนักวิชาการไทยไม่กี่คนที่บ้าลุยลงพื้นที่จีนขนาดนี้ คนไทยทั่วไปมักนิยมไปแค่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ จีนชายฝั่ง
แต่ดิฉันบุกไปจนถึงสุดชายแดนจีนตอนในทางตะวันตก มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งของดิฉัน เจาะลึกมณฑลจีนตะวันตก และเจาะลึกการค้าไทยและมณฑลจีน น่าจะเป็นงานแรกๆ ของประเทศไทยที่เน้นศึกษาความสัมพันธ์ในระดับมณฑล ตระเวนลงพื้นที่ทั่วประเทศจีน เช่น ซินเจียงและทิเบตก็เดินทางไปแล้วสองรอบ หนิงเซี่ยและชิงไห่คนไทยไม่ค่อยรู้จักก็ไปมาแล้ว
(สีจิ้นผิง ผู้นำจีน)
อะไรทำให้อยากเดินทางไปทุกมณฑลของจีน
ต้นแบบที่ทำให้ดิฉันมุ่งมั่นเดินทางไปลงพื้นที่จีนให้ครบทุกมณฑล คือ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระองค์เสด็จเยือนจีนครบทุกมณฑล พระราชนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับจีนหลายเล่ม ดิฉันมีทุกเล่ม ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้อักษรศรีไปจีนให้ครบทุกมณฑล
- โฉมหน้าใหม่ของจีนเกิดขึ้นในยุคไหน
หากย้อนไปตั้งแต่ยุคเหมาเจ๋อตง จะเป็นคอมมิวนิสต์ ทุกอย่างควบคุมโดยรัฐ ปิดประเทศ โดดเดี่ยวตัวเอง ต่อมา สู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ยุคเติ้งเสี่ยวผิงเน้นปฏิรูปเศรษฐกิจจีน เอากลไกตลาดเข้ามาทำงานกับกลไกรัฐ เน้นดึงดูดต่างชาติเข้ามา ถือเป็นจุดเปลี่ยนของระบบเศรษฐกิจ ภาคเอกชนจีนเติบโต
ล่าสุด ในยุคสีจิ้นผิง ดิฉันเรียกว่า ผู้มาเปลี่ยนเกม (Game Changer ) หลายอย่างแตกต่างจากยุคเติ้งเสี่ยวผิง คือ เน้นสร้างจีนให้แข็งแกร่ง และไม่เดินตามเกมฝรั่ง จีนจะพลิกเกม ผลักดันแนวทางของจีนเอง เช่น ระบบนำทางที่โลกทั้งใบใช้ระบบ GPS ของฝรั่ง แต่จีนไม่ใช้และบล็อกระบบ GPS ไม่ให้เข้าจีน
แล้วมุ่งพัฒนาระบบนำทางของจีนเอง เรียกว่า The BeiDou Navigation Satellite System (BDS) ระบบสัญญาณนำทางดาวเทียมเป่ยโต่ว และนอกจากจะใช้ในจีน ยังเริ่มส่งออกระบบ BDS ไปให้หลายประเทศใช้ด้วย รวมทั้งระบบ 5G ของจีนที่ส่งออกไปด้วย
สีจิ้นผิงมาสร้างการเปลี่ยนแปลงให้จีน พัฒนาเทคโนโลยีแบบก้าวกระโดดหลายด้าน ยุคนี้ จีนกลายเป็นสังคมไร้เงินสด ชาวบ้านคนจีนจ่ายเงินโดยใช้วิธีสแกนผ่านแอพฯ แม้กระทั่งขอทานจีนก็ไม่ต้องการเงินสด แต่ขอเงินที่ใช้การโอนผ่าน QR code จีนก้าวข้ามระบบบัตรเครดิตมาเป็นสังคมที่ใช้ e-wallet ระบบสแกนจ่ายเงินออนไลน์
ยุคสีจิ้นผิง ให้ความสำคัญกับการมุ่งสู่เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม มีการใช้ประโยชน์จากการจัดการฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นจำนวนมาก ตัวอย่าง แอปพลิเคชั่นชื่อดังของจีน คือ TikTok เริ่มพัฒนาโดยจาง อีหมิง เจ้าของบริษัทไบต์แดนซ์ (ByteDance) แค่ภายใน 10 ปี จางอี้หมิงกลายเป็นบุคคลที่รวยกว่ามาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก เฟซบุ๊ค นี่คือ ความพยายามเอาชนะฝรั่ง และความพยายามที่จะไม่เดินตามเกมโลกของจีนในยุคสีจิ้นผิง
อีกตัวอย่าง คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ จีนก้าวข้ามจากยุคเครื่องยนต์สันดาปไปสู่การพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า EV และพัฒนาแบตตารี่รถยนต์ไฟฟ้า จีนเน้นการพัฒนาครบวงจรทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ
จนในขณะนี้ แบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าจีนจากเซินเจิ้น คือ BYD กลายเป็นรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก และมาลงทุนในไทยด้วย ตอนนี้ จีนไปไกลถึงขั้นมีรถแท็กซี่ไร้คนขับ และเมืองเซินเจิ้นกลายเป็นเมืองอัจฉริยะและใช้รถยนต์ EV ทั้งเมือง
รถยนตร์ไร้คนขับในจีน
- สาเหตุที่จีนก้าวกระโดด เพราะแนวทางพรรคคอมมิวนิสต์จีนด้วยไหม
ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริง คือ จีนยุคนี้เป็นคอมมิวนิสต์ที่ไฮเทค และคิดใหญ่มองไกล มีการวางยุทธศาสตร์ระยะยาวที่จะพัฒนาประเทศด้วยเทคโนโลยี สีจิ้นผิง เป็นผู้นำที่เชิดชูบทบาทพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเข้มข้น ระบุชัดเจนใน “ความคิดสีจิ้นผิง” ที่ใส่ในรัฐธรรมนูญประเทศจีนตั้งแต่ปี 2018 ว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
และมีอำนาจควบคุมทุกอย่างในประเทศ พรรคคอมมิวนิสต์จีนใหญ่กว่ากองทัพจีน และใหญ่กว่าทุกองค์กรในจีน กลไกพรรคแทรกซึมทุกอย่างในจีน ทั้งทางตรงและทางอ้อม
พรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่ใช่พรรคที่ล้าหลัง แต่กลับรู้จักใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี การออกแบบนโยบายของจีน เขาใช้ระบบวิเคราะห์จากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ใช้ Social Listening รับฟังข้อกังวลของชาวจีน ใช้เทคโนโลยีเอไอ
ทำให้รู้ว่าความทุกข์ของคนในชาติคือเรื่องอะไร อย่างเช่น ปัญหาเด็กติดเกม พ่อแม่แก้ปัญหาไม่ได้ สี จิ้นผิง ก็ออกกฎว่า เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปีเล่นเกมได้ไม่เกิน 3 ชั่วโมงต่อสัปดาห์และครั้งละไม่เกิน 1 ชั่วโมง พรรคคอมมิวนิสต์จีนบอกว่า เกมคือ ฝิ่นทางจิตวิญญาณ ก็ได้ใจพ่อแม่จีนที่รัฐเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในครอบครัวที่ตัวเองแก้เองไม่ได้ ลูกไม่ฟัง
มีการตั้งหน่วยงาน Cyberspace Administration of China หรือ CAC ที่เป็นเสมือนตำรวจอินเตอร์เน็ตมากำกับดูแลสื่อโซเชียลด้วย สีจิ้นผิง มาเป็นผู้นำตั้งแต่ปี 2013 ก็เริ่มตั้งหน่วยงาน CAC นี้ในปี 2014 เลย เขาป้องกันปัญหาตั้งแต่ก่อนที่จะมีปัญหาข่าวปลอม หรือข้อมูลขยะในสื่อโซเชียลยังไม่หนักขนาดนี้
และแน่นอนว่า หน่วยงานนี้มาคุมสื่อโซเชียลจีนด้วย พร้อมๆ ไปกับการสอดส่อง จับกระแสความทุกข์หรือความไม่สบายใจของชาวเน็ต เช่น ปัญหาลูกติดเกม ปัญหาโรงเรียนกวดวิชาแพง ปัญหาไรเดอร์จีนถูกเอาเปรียบจากบริษัทนายจ้าง แล้วทางการจีนก็นำข้อมูลเหล่านั้นมาออกแบบนโยบายเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงจุด เน้นใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา และระบบเอไอมาจัดการ
เพื่อให้เห็นเหรียญอีกด้าน แน่นอนว่า การที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนไฮเทคก็จริง แต่การเข้ามาจัดระเบียบทุน หรือจัดระเบียบชีวิตคนจีนมากไป คนก็อึดอัด ไม่พอใจ เช่น กรณีนโยบาย Zero COVID ที่ตึงเกินไป อาจจะเริ่มมีคนต่อต้านมากขึ้น
ในมุมนี้ ดิฉันคิดว่า น่ากังวล แล้วความเหมาะสมและสมดุลจะอยู่ตรงไหน จึงเป็นเรื่องที่ต้องจับตา โดยเฉพาะรายชื่อผู้นำจีนชุดใหม่ 7 คน น่าจะมีแนวโน้มไปทางสายเข้มงวดในเรื่องการจัดระเบียบอย่างเข้มข้น
- ยุทธศาสตร์แบบนี้ ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำโลก ?
จีนมีความฝันที่จะเป็นเบอร์หนึ่งของโลกด้วยเทคโนโลยี ยุคสีจิ้นผิง จีนไม่ใช่แค่ทรงอำนาจทางเศรษฐกิจ แต่ทรงอำนาจด้านเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า รวมไปถึงเทคโนโลยีด้านอวกาศ จีนส่งยานอวกาศไปดาวอังคารแล้ว
สีจิ้นผิงแต่งตั้งนักวิทยาศาสตร์ วิศวกร ขึ้นมาเป็นผู้บริหารหลายมณฑล เช่น ซินเจียง และหูหนาน ที่สำคัญ หนึ่งในเจ็ดผู้นำจีนชุดล่าสุด คือ ติงเซวียเสียง (Ding Xuexiang) ก็เป็นวิศวกรด้านวิทยาศาสตร์ ดูแลด้านเทคโนโลยีของพรรคคอมมิวนิสต์จีน
นี่คือ ความไม่ธรรมดาของคอมมิวนิสต์จีน ดังนั้น ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดดของจีนทำให้สหรัฐฯ หวั่นไหว และเริ่มจำกัดการส่งออกสินค้าเทคโนโลยีชั้นสูงให้จีน เริ่มทำสงครามเทคโนโลยีกับจีนอย่างชัดเจน
- ชาวโลกบางส่วนไม่ค่อยเห็นด้วยกับการจัดการของจีนในเรื่องฮ่องกง ไต้หวัน ซินเจียง ?
ไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ทางการจีนประกาศชัดว่า ทั้งฮ่องกง ไต้หวัน ซินเจียง และทิเบต เป็นกิจการภายในของจีน เป็นเรื่องของจีน จะไม่ยอมให้ประเทศใดมาล้ำเส้นจนเกินงาม สีจิ้นผิงประกาศในหลายวาระอย่างชัดเจนว่า ชาติอื่นไม่ต้องมายุ่งกับเรื่องภายในประเทศของจีน
และในวาระครบรอบ 100 ปีพรรคคอมมิวนิสต์ สีจิ้นผิงได้ประกาศหน้าจัตุรัสเทียนอันเหมินว่า “จะไม่ยอมให้อิทธิพลภายนอกมากดขี่รังแก หากใครบังอาจทำเช่นนั้น จีนจะจับหัวโขกกับกำแพงที่สร้างด้วยเลือดเนื้อคนจีน 1,400 ล้านคนให้เลือดกระเด็น “
- แล้วความขัดแย้งระหว่างจีนกับอเมริกา จะมองเรื่องนี้อย่างไร
ในวาระที่ 3 ของสีจิ้นผิง ปมความขัดแย้งกับสหรัฐฯ น่าจะเข้มข้นมากขึ้น จีนใช้นโยบายตาต่อตา ฟันต่อฟันในการตอบโต้สหรัฐฯ ยิ่งมีการแทรกแซงจีนในประเด็นไต้หวันของสหรัฐฯ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงที่จะนำไปสู่ปัญหารุนแรงขึ้น ประเด็นนี้จึงน่าเป็นห่วง
จีนจะไม่ยอมก้มหัวให้กับสหรัฐและพันธมิตร เช่น ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย ซึ่งเข้าร่วมกลุ่มอินโดแปซิฟิก สำหรับชาติใดที่มีประเด็นขัดแย้งเชิงภูมิรัฐศาสตร์กับจีน ก็จะใช้นโยบายแข็งกร้าว แต่สำหรับประเทศที่จีนต้องการดึงมาเป็นพวก ก็จะเน้นสร้างความเป็นมิตรกับจีน อย่างเช่นอาเซียนและไทย จีนมองว่าไม่ใช่คู่แข่งจีน ก็จะชวนมาร่วมมือกัน
- อำนาจทางการค้าของจีนมีผลกระทบต่อไทยอย่างไร
ขณะนี้ เศรษฐกิจไทยมีความผูกพันโยงใยกับจีนสูงมาก จีนเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย จีนเป็นนักลงทุนอันดับต้นที่เข้ามาลงทุนในไทย ที่สำคัญ ก่อนโควิด มีคนจีนมาท่องเที่ยวปีละ 10 ล้านคน ใช้เงินเฉลี่ยคนละห้าหมื่นบาท ก็นำเงินเข้ามาประเทศไทยปีละกว่าห้าแสนล้านบาท
ในเชิงเศรษฐกิจ จีนจึงมีอิทธิพลต่อไทยสูงมาก เมื่อเกิดวิกฤตโควิด ไม่มีนักท่องเที่ยวจีนมาไทย อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเราก็ถูกกระทบหนัก ดังนั้น บทเรียนจากนี้ไป เราควรกระจายความเสี่ยงให้มากกว่านี้ ไม่ควรไปผูกติดกับเศรษฐกิจจีนมากเกินไป
ก่อนเกิดโควิด ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวจีน แต่ยังมีนักศึกษาจีนเข้ามาเรียนในไทยหลายหมื่นคน มีครูสอนภาษาจีนหลายพันคนมากระจายอยู่หลายจังหวัด การเข้ามาของจีนในสังคมไทย จึงมีทั้งเรื่องวัฒนธรรม ภาษา ไลฟสไตล์
- คนไทยจะเอาแบบอย่างวิธีคิดหรือแนวทางทำการค้าจากจีนเรื่องไหนได้บ้าง
สิ่งที่ไทยควรเรียนรู้จากจีน คือ การไม่หยุดพัฒนาตัวเองด้วยแรงฮึด จีนตื่นตัวในการพัฒนายกระดับตัวเองอย่างต่อเนื่อง จีนสามารถปรับจากที่เคยผลิตและส่งออกสินค้าที่เน้นปริมาณและไร้คุณภาพ กลายมาเป็นสินค้าแบรนด์ รวมไปถึงสินค้าที่มีนวัตกรรม ยกตัวอย่างแบรนด์ Lenovo และ Xiaomi
ที่สำคัญในยุคนี้ จีนไม่ได้ส่งออกแค่สินค้า แต่หันมาเน้นส่งออกแพลตฟอร์มจีน เช่น TikTok และส่งออกการค้าออนไลน์ เช่น อาลีบาบา รวมทั้งส่งออกเทคโนโลยี 5G คิดว่า ในอนาคต จีนก็จะส่งออก “เงินหยวนดิจิทัล” ด้วย
- 5 ปีข้างหน้ากับผู้นำสีจิ้นผิง จะเดินนโยบายอย่างไร
ชัดเจนว่า จีนจะเป็นมหาอำนาจของโลก ไม่ใช่แค่ด้านเศรษฐกิจ แต่รวมไปถึงด้านเทคโนโลยีและความมั่นคง ที่สำคัญ สีจิ้นผิงต้องการเป็นผู้พลิกเกมโลก จีนพยายามที่จะเป็นผู้นำด้านการพัฒนายุคใหม่ของโลก แนวนโยบายต่างประเทศของจีน จะไม่เน้นเพียงแค่ข้อริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ที่ร่วมมือกับประเทศในแนวเส้นทางสายไหม
ในขณะนี้ สีจิ้นผิงยังพยายามที่จะผลักดัน “แผนริเริ่มการพัฒนาของโลก” หรือ Global Development Initiative (GDI) โดยบอกว่า โลกสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์การพัฒนาของจีนตามแนวทางของภูมิปัญญาจีน