วิลาสินี สิงห์สัจจเทศ เปิดอาณาจักร 50 ปี Jaspal ดีไซน์สู่ ‘ความหลากหลาย’
วิลาสินี สิงห์สัจจเทศ ทายาทรุ่น 3 แบรนด์แฟชั่นไทย Jaspal เผยทิศทางสู้ศึกในตลาดแฟชั่นหลังแบรนด์มีอายุครบ 50 ปี พร้อมเปิดตัวลายโมโนแกรมประจำแบรนด์ครั้งแรก มั่นใจอะไรเปิดช็อปแรกต่างประเทศที่กัมพูชา
Jaspal (ยัสปาล) เป็นชื่อแบรนด์แฟชั่นไทย ขณะเดียวกันก็เป็นชื่อบริษัทด้วย นั่นก็คือ “บริษัท ยัสปาล จำกัด” มีฐานะเป็นบริษัทผู้ออกแบบและจัดจำหน่ายแบรนด์เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แอคเซสเซอรี่และสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์
การเกิดขึ้นของแบรนด์ Jaspal เริ่มขึ้นในปีพ.ศ.2490 เมื่อ มร.ยัสปาล ซิงห์ นักธุรกิจชาวอินเดีย ริเริ่มนำเข้าผลิตภัณฑ์ผ้าลินินและเครื่องนอนคุณภาพสูงมาจำหน่ายในประเทศไทยที่ย่านพาหุรัด ของกรุงเทพฯ
ต่อมาในปีพ.ศ.2515 เขาจึงก่อตั้งร้านจำหน่ายสินค้าแฟชั่นแบรนด์ Jaspal ขึ้นเป็นครั้งแรกที่ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์
ถึงวันนี้ (พ.ศ.2565) “บริษัทยัสปาล” ไม่ได้มีเพียงแบรนด์ Jaspal แต่เติบโตในฐานะผู้สร้างอาณาจักรแฟชั่นที่ประกอบไปด้วยแบรนด์แฟชั่น CPS Chaps, LYN, CC Double O, Lyn around, Jelly Bunny, Misty Mynx, Royal Ivy Regatta และ Quinn
ปัจจุบัน แบรนด์แฟชั่น Jaspal เติบโตมายาวนานครบ 50 ปี โดยมีนางสาว วิลาสินี สิงห์สัจจเทศ ทายาทรุ่นที่ 3 เข้ามาสานต่อธุรกิจที่คุณปู่ “มร.ยัสปาล ซิงห์” สร้างขึ้น ในตำแหน่งผู้อำนวยการแบรนด์ Jaspal และ Misty Mynx ร่วมสร้างปรากฏการณ์ใหม่ๆ ให้กับแฟชั่นไทยเป็นระยะ โดยเฉพาะการนำแบรนด์ Jaspal “คอลลาบอเรต” กับซูเปอร์โมเดลระดับโลก ดีไซเนอร์ระดับตำนานของวงการแฟชั่นโลก เซเลบริตี้และศิลปินอินเตอร์มากมาย
วิลาสินี สิงห์สัจจเทศ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาบริหารธุรกิจ เอกการตลาด จากวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล และปริญญาโท ด้าน Fashion marketing จาก London Collage of Fashion ประเทศอังกฤษ
ความพิเศษในโอกาสครบรอบ 50 ปี นับเป็นครั้งแรกที่ Jaspal ก้าวไปอีกขั้นด้วยการออกแบบ ลวดลายโมโนแกรม ให้เป็นสัญลักษณ์ประจำแบรนด์ พร้อม คอลเลคชั่นฉลองครบรอบ 50 ปี ย้ำเตือนว่าแบรนด์จะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร
คุณวิลาสินีเข้ามาทำงานให้กับ Jaspal ตั้งแต่เมื่อใด
“พอเรียนปริญญาตรีจบก็เข้ามาฝึกงานที่บริษัทค่ะ แล้วไปเรียนต่อปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ หลังเรียนสำเร็จก็เข้ามารับผิดชอบธุรกิจในปี 2549 ร่วมกับพี่ชาย (วิเศษ สิงห์สัจจเทศ) ในแบรนด์ยัสปาล เริ่มเรียนรู้ด้านการตลาด คอลเลคชั่น เลือกลายผ้า คุณภาพผ้า แลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกับทีมดีไซเนอร์และทีมการตลาด ทำงานตั้งแต่วันนั้นยาวมาจนถึงวันนี้”
Jaspal ออกคอลเลคชั่นปีละกี่ครั้ง
“เราทำคอลเลคชั่นสปริง/ซัมเมอร์ ออทั่ม/วินเทอร์ เหมือนแบรนด์แฟชั่นต่างประเทศ แต่เดี๋ยวนี้โลกเปลี่ยนไป ทุกคนอยากใด้ของใหม่เรื่อยๆ เราก็มีการออกของใหม่ค่อนข้างถี่ จึงไม่ใช่แค่ปีละ 4 ครั้ง แต่มีของใหม่ให้ลูกค้าเราตลอด ในหนึ่งซีซั่นจะมีของใหม่เข้าเรื่อยๆ แต่เทรนด์ใหญ่ๆ เรากำหนดด้วย สปริง/ซัมเมอร์ ออทั่ม/วินเทอร์”
ที่มาของชื่อแบรนด์ Jaspal
“ยัสปาล เป็นชื่อของคุณปู่ค่ะ ท่านย้ายจากประเทศอินเดียมาทำงานที่ประเทศไทย ตอนคุณพ่อ (วิสิทธิ์ สิงห์สัจจเทศ) คิดค้นแบรนด์นี้ จึงนำชื่อคุณปู่มาตั้งเป็นชื่อแบรนด์”
นิยามตัวตนหรือดีเอ็นเอของความเป็นยัสปาล
“เป็น Leading Fashion Brand (แบรนด์แฟชั่นชั้นนำ) ที่เป็นแบรนด์ไทย แต่เรามีภาพลักษณ์ความเป็นสากล (global perception) เราเกาะติดเทรนด์แฟชั่นมาตลอด แต่ก็เป็นผู้นำแฟชั่นด้วย
นอกเหนือจากเป็นแฟชั่น เราต้องมีคุณภาพที่ดี มีบริการที่ดี เริ่มตั้งแต่ผ้า โดดเด่นมาตลอด คือมีคุณภาพจากหลายแหล่งในต่างประเทศ การตัดเย็บที่เรียบร้อย แล้วเราขายในราคาที่จับต้องได้ ลูกค้าที่ซื้อเราไปจะรู้เลยว่าคุณภาพดี เพราะใส่ได้นาน
เรายังเป็นแบรนด์แฟชั่นที่มีความร่วมสมัย (contemporary) แต่มีความโก้ หรู และมีความสนุกเข้าไปด้วย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ค่อนข้างหลากหลาย เรามีเสื้อผ้าที่เหมาะกับหลายโอกาส บางทีก็มีตั้งแต่กลางวันถึงกลางคืน ลุคสมาร์ทแคชวล ลุคสตรีทแวร์เล็กๆ ลุคบิซิเนส และวีคเอนด์แวร์”
ความพิเศษของคอลเลคชั่นฉลอง Jaspal เติบโตครบ 50 ปี
“50 ปีปีนี้ เราได้นำ อักษรตัว J เป็นตัวแทนโลโก้ยัสปาลมาวางซ้อนกันให้มีความเป็นสามมิติ ดูมีความทันสมัยและเป็นแฟขั่น เป็นลาย โมโนแกรม ครั้งแรกของแบรนด์
เราอยากสื่อสารถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคตของแบรนด์ เพราะฉะนั้นความเป็นสามมิติจึงตอบโจทย์ในเรื่องของการเดินทางของแบรนด์ ออกแบบโดยเอเยนซี่ที่นิวยอร์กที่เราทำงานด้วยกัน
พร้อมกับวางโมโนแกรมให้เป็นลายทาง คือให้เป็นลวดลายที่เรานำมาใช้เป็นลายพิมพ์ลงบนเสื้อผ้า รวมไปถึงแอคเซสซอรี่ส์ กระเป๋า รองเท้า ผ้าพันคอ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีในความหลากหลาย มิกซ์แอนด์แมตช์ใส่ได้หลายโอกาส ไปจนถึงคอลเลคชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งตัวแคมเปญโมโนแกรมนี้ เราไปถ่ายทำที่นิวยอร์ก”
ทำไมเลือกนิวยอร์ก
“ยัสปาลมีความเป็นไอคอนิกอย่างหนึ่งของประเทศไทย เวลาเราเลือกทำงาน เราอยากทำงานกับที่ที่มีความเป็นไอคอนิกเหมือนกัน
เราก็เลยไปเลือก ‘สนามบินนานาชาติ จอห์น เอฟ. เคนเนดี’ ที่นิวยอร์ก ที่นี่โดดเด่นด้วยงานสถาปัตยกรรมยุค 70 สไตล์ออร์แกนิคโมเดิร์น รูปทรงเรขาคณิต อันเป็นสัญลักษณ์ของมหานครนิวยอร์ก เป็นไอคอนิกอย่างหนึ่ง
และตอบโจทย์คอนเซปต์ของเราที่ใช้คำว่า Time Flies หมายถึงเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับการเดินทางของแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่งตลอด 50 ปี เราพัฒนาตัวเองมาตลอดกับโลกที่เปลี่ยนไป และเราก็จะเดินทางต่อไปข้างหน้า
นางแบบนายแบบที่เราเลือกมาครั้งนี้ก็มีความหมาย เพราะเป็นคอลเลคชั่นที่โชว์ ความหลากหลาย มีความหลากหลายในไลฟ์สไตล์ เพศ มีความเอ็กซ์คลูซีฟ เป็นทิศทางที่ยัสปาลต้องการเดินทางในอนาคตสำหรับการดีไซน์เสื้อผ้า”
อีกหนึ่งเรื่องที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้ ยัสปาลคอลแล็บส์กับดีไซเนอร์ต่างประเทศหลายครั้ง
“ใช่ค่ะ นอกเหนือจากชื่อเสียง ก็จะเลือกคนที่เราคิดว่าเหมาะกับแบรนด์ เพื่อให้ลูกค้าได้อะไรใหม่ๆ จากเรา และเราก็ได้ลูกค้าใหม่ๆ ที่เป็นแฟนคลับของศิลปินหรือดีไซเนอร์ที่เราทำงานด้วย”
ในช่วงแรก Jaspal ได้สร้างปรากกฏการณ์ครั้งสำคัญในวงการแฟชั่นของไทยกับการร่วมงานกับซูเปอร์โมเดลระดับโลก Cindy Crawford (ซินดี ครอว์ฟอร์ด), Claudia Schiffer (คลาวเดีย ชิฟเฟอร์), Gisele BÜndchen (จิเซล บุนเชน)
ต่อเนื่องมาถึงเซเลบริตี้ระดับโลกมากมาย Kate Moss (เคต มอส), Milla Jovovich (มิลลา โยโววิช), Alexa Chung (อเล็กซา ชุง)
Jaspal ร่วมงานกับ Claudia Schiffer
คอลเลคชั่นคอลแล็บพิเศษครั้งแรกกับปรมาจารย์ดีไซเนอร์ระดับโลก คือการร่วมงานกับ Karl Lagerfeld (คาร์ล ลาเกอร์เฟลด์) ต่อมา Orla Kiely (ออร์ลา คีลี่) ดีไซเนอร์ชื่อดังจากประเทศอังกฤษ โดดเด่นในการออกแบบลายพิมพ์, Andre (อังเดร) ศิลปินกราฟิตี้ชาวสวีเดนชื่อดังระดับโลก
ตามมาด้วย Hattie Stewart (แฮตตี้ สจ๊วต) ศิลปินชาวอังกฤษ, Lynnie Z (ลินนี่ ซี) อาร์ติสต์ชื่อดังจากลอนดอน, Megan Hess (เมแกน เฮส) นักวาดภาพประกอบด้านแฟชั่นและออกแบบกราฟิกฝีมือระดับโลก, Diane von Fürstenberg (ไดแอน วอน เฟอร์สเทนเบิร์ก) ดีไซเนอร์ระดับปูชนียบุคคลแห่งวงการแฟชั่นอเมริกา
รวมไปถึง คาแรกเตอร์ยอดนิยมที่มีแฟน ๆ ชื่นชอบทั่วโลก เช่น Smiley (สมายลี่), Disney (ดิสนีย์), Garfield (การ์ฟิลด์) และล่าสุดกับการคว้าลิขสิทธิ์ Official Licensed Products เป็นแบรนด์แฟชั่นเพียงหนึ่งเดียวในไทย ในการออกแบบร่วมกับทางฟีฟ่า กับสินค้าที่ได้รับลิขสิทธิ์อย่างเป็นทางการ FIFA World Cup Qatar 2022
"ทั้งหมดนี้นับเป็นการตอกย้ำมาตรฐานแบรนด์สัญชาติไทยที่ได้รับการยอมรับจากแบรนด์ดังระดับโลก การทำงานกับคนดังเหล่านี้ ขั้นแรกคือการสื่อสาร เขาจะมีแนวทางในเรื่องแพทเทิร์น สี การพิมพ์ ทุกอย่างเป๊ะมาก จนได้เป็นโพรดักต์ที่ลงตัวที่สุด
เขามีมาตรฐานสูง เป็นโกลบอลแบรนด์ที่เป็นอินเตอร์เนชั่นนัลแบรนด์ เราต้องมีมาตรฐานนั้น ทำให้เราผลักดันตัวเองขึ้นไปอีกขั้นเพื่อเป็นโกลบอลแบรนด์อย่างจริงจัง เพราะมีลูกค้าต่างชาติที่เป็นฐานแฟนคลับของดีไซเนอร์หรืออาร์ติสต์ที่เขาอยากเข้ามาซื้อของเราด้วย
เพราะฉะนั้น สินค้าเราคุณภาพต้องได้ โดยเฉพาะสี จริงจังมาก ห้าหกครั้งไม่ผ่าน เราต้องทำให้ได้ อย่างเราทำคอลเลคชั่นเสื้อผ้าและเครื่องหนัง บางทีตัววัตถุดิบไม่เหมือนกัน เราก็ต้องทำให้สีตรงกันให้ได้”
ก้าวต่อไปของยัสปาล ต่อจาก 50 ปีนี้
“การที่เรามี global perception มาตั้งแต่วันแรกที่เราเปิดแบรนด์ เราก็ทำให้ตัวเองพัฒนาในโลกแฟชั่นมาตลอด ไม่เคยหยุดนิ่ง เราพยายามหาอะไรใหม่ๆ มาทำให้แบรนด์ดูมีชีวิตชีวาตลอดเวลา
การที่เราได้ทำคอลลาบอเรชั่น เป็นก้าวที่เราได้เรียนรู้ลูกค้าต่างชาติ ลูกค้าในประเทศ ลูกค้าในละแวกเอเชียด้วยกันเอง
เมืองไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว เราได้ลูกค้าที่เดินทางเข้ามาซื้อเสื้อผ้าเรา เขาเริ่มรู้จักในแบรนด์ยัสปาล
จากตอนนี้เป็นขั้นที่เราพร้อมจะก้าวเพื่อขยายตลาดต่างประเทศ โดยปีหน้า (พ.ศ.2566) เราจะเปิดร้านที่ กัมพูชา เป็นที่แรก ประมาณกุมภาพันธ์ และจะขยายต่อไป
จากการที่เราคอลลาบอเรตและทำเว็บไซต์ ภาพลักษณ์ที่คนรู้จักเราในความเป็นโกลบอล มีลูกค้าที่สั่งออนไลน์ เราพร้อมขยายการเดินทางต่อในประเทศ ในต่างประเทศเราอาจเปิดอีก 2-3 สาขา กำลังยืนยันสถานที่กันอยู่ เราพร้อมที่จะไปแล้ว แต่ต้องใช้เวลาในการหาทำเลที่เหมาะสม”
ทำไมเลือกกัมพูชาเป็นประเทศแรก
“เรามีผู้จัดซื้อจากกัมพูชามาซื้อเราสักพักแล้ว จนเรามั่นใจว่าตลาดดี ลูกค้าชอบ แบรนด์เป็นที่รู้จัก โอกาสตอบรับน่าจะดี ค่อยๆ ต่อยอดไป และต้องดูการผลิตของเราด้วย
การจะไป(ต่างประเทศ)คือการเพิ่มสต็อค ลูกค้าเรามีทั้งเวียดนาม ลาว อีกเยอะมากที่รอเราอยู่ แต่ก่อนก็มีนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาก็ซื้อเราเยอะมากด้วยเช่นกัน”
การแข่งขันในตลาดแฟชั่นตอนนี้มีความท้าทาย ยากง่าย ในสายตา Jaspal อย่างไรหรือไม่
“ตลาดแฟชั่นเป็นธุรกิจที่ท้าทายมาตลอด ยัสปาลเองก็เป็นแบรนด์ที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เราอยู่มาได้ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้เราก็ยังจะเดินต่อไปข้างหน้า เพราะเราก็พร้อมหาอะไรใหม่ๆ ทำตลอดเวลา เราพัฒนาในเรื่องสินค้าให้เหมาะสมกับโลกและคนที่เปลี่ยนไป
ตลาดแฟชั่นแข่งขันกันจริง แต่การแข่งขันก็ทำให้เราทำงานหนัก ทำให้เราดีขึ้นไปด้วย เราก็ต้องไม่หยุดนิ่ง ผู้ซื้อมีทางเลือก แต่ถ้าของเราดี ของเราสวย คุณภาพเราดี บริการเราดี เราก็อยู่ได้ค่ะ”
*************
ภาพ : ศุกร์ภมร เฮงประภากร
