'ทาทา ยัง' คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ในช่วงวัยที่เปลี่ยนไป
ช่วงวัยที่เปลี่ยนไป แม้จะเป็น ‘ทาทา ยัง’ คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ก็ยังความฝันและเป้าหมายในชีวิต นอกจากเป็นนักร้อง ยังเป็นดีเจ โดยมีหมุดหมายอยากเป็นดีเจระดับโลก
อมิตา มารี ยัง หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม ทาทา ยัง นักร้องลูกครึ่งไทย-อเมริกัน เข้าสู่วงการด้วยการเป็นนักร้องประกวดระดับชาติเมื่ออายุ 11 ปี เป็นนักร้องมืออาชีพสังกัดจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ เมื่ออายุ 14 ปี มีผลงานมากมาย จนกระทั่งไปสังกัดค่าย เรโท เรคคอร์ด และ โคลัมเบีย โซนี่บีเอ็มจี ก่อนจะไปที่ โซนี่ มิวสิค
เธอโลดแล่นในวงการบันเทิง เป็นทั้งนักร้อง นักแสดง ก่อนตัดสินใจใช้ชีวิตครอบครัวกับ'ฉัตรอดุลล์ สีณพงศ์ภิภิธ' มีบุตรชายด้วยกัน ชื่อ เร สีณพงศ์ภิภิธ ปัจจุบันทาทาเป็น คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ที่มีลูกชายวัย 7 ขวบเป็นแรงบันดาลใจ
ล่าสุดเธอค้นพบอาชีพที่สอง เป็น ดีเจเพลงแนว House ให้เซ็ตเครื่องก็ทำได้ จัดเซ็ตเพลงแบบมืออาชีพจนเป็นที่ยอมรับ เมื่อครั้งยังวัยเยาว์ เธอใฝ่ฝันอยากเป็นซุปเปอร์สตาร์ ก็ทำได้แล้ว ในอนาคตแม้ไม่แน่นอน เธออยากได้อีกตำแหน่งคือ ดีเจระดับโลก
ส่วนในเรื่องรูปร่างหน้าตาที่เปลี่ยนไป เธอบอกว่า Don’t Care ใครจะชอบหรือไม่ชอบ เพราะอายุกว่า 40 ปีแล้วจะ ให้เหมือนตอน 14 ได้อย่างไร มาดูกันที่ผลงานจะดีกว่า...
อยากให้ทาทาเล่าถึงช่วงเวลาที่หายไป ?
ทำไมใครๆ ก็พูดแบบนี้ เพื่อนๆ ทาทาก็เหมือนกัน จริงๆ ก็ไม่ได้หายไปไหนนะคะ คือด้วยโควิดและก็หลายๆอย่าง ด้วยอายุด้วย ที่เหมือนเราต้องค้นหาตัวเอง ว่าในอายุช่วงนี้ เราจะทำอะไรดีนะ อะไรที่เหมาะกับเราในช่วงเวลานี้ โลกก็เปลี่ยนไปเยอะเหลือเกิน
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวงการดนตรี หรืออะไรก็ตาม เราก็หา Position ตัวเอง เช่นเราจะอยู่วงการบันเทิงต่อไหม คือทาทาไม่เคยคิดจะทิ้ง เพียงแต่คิดว่ายังจะทำเบื้องหน้าอยู่ไหม หรือจะเลื่อนไปทำเบื้องหลัง ถึงเวลานั้นแล้วหรือยัง หรือทำทั้งสองอย่าง
อัพเดทชีวิตการทำงานของทาทาสักนิด ?
งานเยอะมาก ทั้งงานร้องเพลงและงานดีเจ ตัวทาเองมาสนใจตอนช่วงโควิด แต่จริงๆ อยากเล่น อยากเป็นดีเจมานานมากแล้ว อาจจะเป็นเพราะมีคนพูดแบบนี้กับทาว่า แปลกจังเลย เป็นนักร้องได้เงินเยอะ ทำไมถึงอยากเป็นดีเจ ในความเป็นจริงการเป็นดีเจระดับโลก ได้เงินเยอะมาก
เป้าหมายของทาไม่คิดว่าจะอยู่แค่นี้ ไม่คิดว่าจะเล่นแค่เมืองไทย และการเป็นดีเจไม่มีเรื่องอายุ รูปลักษณ์ เราก็ไม่ใช่คนหน้าตาน่าเกลียด เพียงแต่เป็นสาวร่างใหญ่ จริงๆ ไม่สำคัญ อยู่ที่การเปิดเพลงของคุณมากกว่า พอได้ทำจริงๆ ใช้เครื่องจริงๆ มันก็ไม่ง่ายเลย
สำหรับงานดีเจเริ่มฝึกอย่างไร
ทาเริ่มที่ศูนย์ ตอนนี้สามารถต่อเครื่องได้ ใช้เครื่องได้หลากหลาย เล่นไวนิลได้ อาชีพนี้ยากมาก เราถนัดการเป็นนักร้อง เพราะเป็นอาชีพที่เราทำมานาน ชั่วโมงบินไม่เหมือนกัน
ทาไม่ได้เอาต้นทุนของนักร้องมาใช้กับดีเจ เพราะคนละเรื่องกันเลย เหมือนกันตรงที่เอนเตอร์เทนเนอร์ เรารู้ว่าคนดูต้องการอะไร เวลาเราร้องสามารถบอกคนได้ว่าช่วยร้องหน่อย แต่ดีเจทำไม่ได้ ต้องเปิดเพลงอย่างเดียวเท่านั้น ทำยังไงให้คนมีส่วนร่วม
ทาทา ยัง ในนามของดีเจเพลงHOUSE
ต้องดูว่า ตอนนี้กี่โมง เล่นเพลงแบบไหน วันนั้นเจอคนแบบไหน ตอนเป็นนักร้องก็เหมือนกัน เราต้องดูว่าคนดูเป็นแบบไหน ดีเจทำไม่ได้ถ้าใครเอาไมค์มาวางข้างบูธดีเจ ทาจะโกรธมาก แต่ตอนนี้กำลังจะทำเพลงแล้ว เอาเสียงทาไปอยู่ในนั้น
เราเล่น เพลงHOUSE เป็นแนวที่ไม่ง่ายและเป็นกลุ่มเฉพาะ ตลาดไม่ได้กว้างเหมือนแนว EDM(ดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์) หรือ TECHNO ทาจะไม่พูดเด็ดขาดว่าเป็นดีเจที่เล่นได้ทุกแนว เพราะทาว่ามันไม่มีจุดยืน เหมือนมีคนถามว่า เราเป็นนักร้องแนวอะไร อ๋อ! ร้องได้ทุกแนว ก็ไม่ใช่ เพราะเราไม่ใช่นักร้องลูกทุ่ง
ทำไมถึงเลือกเล่นแนว เพลงHOUSE
เพราะทาเป็นคนชอบเพลงหนัก แต่ House (เพลงแนวหนึ่งของดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์)จะมีทั้งความหนัก และเบา มีโมเมนตัมของมัน มีไดนามิคของมัน มันมี Vocal ซึ่งเวลาเราเล่นดนตรีผสมผสานกัน คือการเชื่อมแต่ละซาวด์ ก็จะมิกซ์ไม่เหมือนกัน House ก็จะมิกซ์อีกแบบ Techno ก็จะมิกซ์อีกแบบ อุปกรณ์ปุ่มก็ไม่เหมือนกัน ต้องมีลูกเล่น ต้องมีชั่วโมงบิน การได้เล่นกับคนสำคัญมาก
ทาทา ยัง มักมาฝึกฝนฝีมืออยู่ที่ Iconic Vinyl Studio (สุขุมวิท 53)
การเป็นดีเจเรียนรู้อย่างไร
เริ่มจากลองเอาเพลงที่ชอบมาต่อกัน แล้วมิกซ์ในคอมพิวเตอร์ แล้วเอาไปให้เพื่อนที่เป็นดีเจเปิด นั่นก็คือคุณปลาวาฬ อิสระ เป็นเพื่อนสนิทกัน และวาฬก็ชอบเพลงแนวเดียวกัน บอกว่า เฮ้ย ! มิกซ์ได้อย่างนี้เลยเหรอ คือเพลงดีมาก พอบินกลับกรุงเทพฯ ก็เลยไปยืมเครื่องจากเพื่อนที่เป็นดีเจ เอาเครื่องมาต่อที่บ้าน จะมี Input Output บางอย่างเกี่ยวกับนักร้อง เราก็ใช้เซ้นส์นั้นมา
โทรหาเพื่อนบ้าง เริ่มจากไม่รู้เลย และท้าทายเอาชนะว่าต้องทำให้ได้ เล่นได้แบบตาสีตาสาเลยนะ เล่นไม่เนียนหรอก แต่สามารถทำความเข้าใจด้วยตัวเอง คนชมว่าเก่ง ก็เก่งสิวะ ไม่หลับไม่นอนเลย ต้องทำให้ได้ อย่ามาท้า ในที่สุดก็มาที่ Iconic Vinyl Studio (สุขุมวิท 53) เพื่อนที่เป็นดีเจ.ก็เวียนกันมาสอน
และเราก็มีเครื่องอยู่ที่บ้าน เป็นอีกเรื่องที่โชคดี ตอนนี้ถือว่าเล่นได้จนพอใจมาก เล่นมา 3 ปีกับอีก 2 เดือน ปีแรกอยู่บ้านเล่นเกือบทุกวัน อย่างน้อยวันละ 2-3 ชั่วโมง ไปจน 6 ชั่วโมง เพราะว่าเราต้องเล่นเป็นเซ็ต ต้องยืนอย่างนั้นจริงๆ เราก็พยายามเล่น หาเพลงใหม่ ซับซ้อนเหมือนกัน ต้องเรียนโปรแกรมของ Pioneer เราต้องดาวน์โหลดเพลงมาก่อน
เพลงคุณภาพดีๆ เราก็ต้องซื้อลิขสิทธิ์ให้ถูกต้อง เราเป็นศิลปินเข้าใจตรงนี้ดี ขั้นตอนเยอะจริงๆ เพลงแนว House 7 นาทีเปิดฟังหลายรอบมาก เพื่อให้รู้จุดว่าจะ Drop ตรงไหน เป็นอาชีพที่ท้าทายมาก แต่ทาสนุกกับมัน
ตอนนี้มีงานไปเล่นที่ไหนบ้าง
เดือนกรกฎาคมอาจจะต้องไปฮอลแลนด์ วันที่ 24 กุมภาพันธ์มีโปรโมเตอร์จากฮอลแลนด์มาดู ตอนนั้นไปเล่นที่ภูเก็ต ด้วยความที่ทารู้จักกับนาคาเดีย เป็นดีเจไทยที่ไปดังระดับโลก แต่เค้าเล่นเพลงแนว TECHNO อยู่เบอร์ลิน 20 กว่าปีแล้ว
เราก็ถูกแนะนำให้ไปทัวร์ เพื่อแนะนำตัวให้คนได้เห็น ได้รู้จักว่าเราเป็นยังไง ถ้าเราจะเอาดีทางด้านนี้ บางคนได้เห็นเซ็ตของทาแล้วเสนอชื่อ เพื่อที่จะได้ไปดูเฟสติวัลใหญ่ๆ ที่โน่น เราก็จะได้รู้ว่าจะต้องก้าวไปอีกสเต็ปยังไง
เรื่องของสุขภาพเป็นอย่างไรบ้าง
ตอนนี้ก็ดีอยู่นะคะ ขอให้ดีแบบนี้ตลอดไป แต่จะดีมาก ถ้าได้นอนเยอะกว่านี้ ไม่โทษใคร โทษตัวเอง คือ ทาเป็นคนที่ชอบใช้ความคิดตอนกลางคืน รู้สึกว่ามันเงียบ อาจเป็นเพราะเราเติบโตมาแบบไม่ค่อยได้ใช้ไลฟสไตล์ตอนกลางวัน ก็เป็นอีกเรื่องที่ลูกสอนเรา เมื่อก่อนตอนร้องเพลงก็ร้องกลางคืน ทาต้องนอนอย่างน้อย 4 หรือ 5 ชั่วโมง บางทีน็อคไปเลย 15 ชั่วโมงก็มี คือมันไม่ไหว
ตอนนี้ไทรอยด์ก็ไม่มีแล้ว ปีที่แล้วเข้าโรงพยาบาลบ่อย เป็นผลจากโควิดด้วย ไม่ใช่ Long Covid แต่เป็น Attack ทำให้ระบบเลือดไม่ดีมากๆ ค่าอักเสบในร่างกายก็สูงอยู่ในภาวะที่ดูปกติ แต่ยังอันตรายห้ามล้ม เพราะเม็ดเลือดขาวต่ำมาก ซีเรียสมาก
และทาอยากให้คนเข้าใจเรื่องนี้อย่างหนึ่งว่า ทาใช้ชีวิตมาตั้งแต่อายุ 14 ปี และใช้มากกว่าเด็กอายุ 14 ควรใช้ ทั้งร่างกาย ศักยภาพสมองในการใช้ความคิด วันนี้อายุ 43 อยากให้คนดูเห็นใจบ้าง
มีหลายคนบอกว่า ทาทาไม่เหมือนเดิม ?
ทาคงไม่เหมือนเดิม เพราะว่าทาใช้ชีวิตหนักมาก ถามว่าตอนอายุ 14 เด็กทั่วไปทำอะไร เรียนหนังสือ เล่น ไม่ต้องทำงาน ไม่ต้องคิดอะไรเลย ถามว่าถ้ากลับไปได้ ทาอยากกลับไปอายุเท่าไหร่ อยากกลับไป 6-8 ขวบ ไม่ต้องคิดอะไรเลย ทาขี่จักรยาน ดูทีวี ไม่ต้องมานั่งคิดเรื่องหนี้สินต่างๆ ที่เราต้องมี
แต่ตอนนั้นก็มีความสุขที่ชีวิตประสบความสำเร็จ ?
ใช่ค่ะ มีความสุข ทารู้สึกว่ามันเป็นพร ที่ทาได้ทำอะไรมากกว่าคนอื่นในอายุที่น้อย แต่ตอนนี้มันมีเรื่องที่ทาเสียความรู้สึก บางคนก็มองว่าทำไมทาไม่แข็งแรงเลย ทำไมป่วยตลอด ส่วนรูปร่างทา บอกเลยว่าไม่แคร์ คือมีช่วงที่ทาแคร์ อย่างที่บอกจะให้สต๊าฟไว้ให้เหมือนตอนอายุ 14 ทาทำไม่ได้
พวกคุณที่เป็นคนดูต้องมองด้วยว่า ถ้าเป็นแบบนั้นแปลกแล้วนะ ทาคงไม่ใช่คน คือทาก็ตามอายุ ทาเป็นคนเชื่อในธรรมชาติของชีวิต การเปลี่ยนแปลงของรูปร่าง หน้าตาของคนที่อายุมากขึ้น คือทายอมรับมันมากกว่าจะให้ทาไปทำศัลยกรรม ในอายุเท่านี้เราดูแลมาได้แค่นี้ ถึงเราจะเป็นสาวร่างแบบนี้ แต่หน้าเรา ยังโอเค ไม่แคร์อะไรแล้ว และเราก็เป็นแม่คน
สรุปความสุขของทาทาในปัจจุบันนี้มีอะไรบ้าง
มีความสุขในช่วงชีวิตตอนนี้ ที่โควิดคลี่คลายสักที 3 ปี 4 ปีที่ผ่านมามัน SUFFER มากสำหรับคนที่เป็นนักร้อง เพราะว่าตัวเราเองก็ไม่สามารถไปร้องเพลง ไปทำอะไรได้ ถึงต้องเปลี่ยนมาเป็นดีเจ ขณะเดียวกันเราก็ได้อีกอาชีพที่เสริมขึ้นมา ทำรายได้ให้เราได้ด้วย
ความสุขของทาทา แน่นอนว่า คือลูก เร คือทุกอย่างของทา แต่ทาก็ต้องทำทุกอย่างเพื่อตัวเองเหมือนกัน เพื่อจะทำให้เขาได้ เราต้องรักตัวเองมากๆ เพราะว่าเราต้องไปต่อเพื่อเขา
ชีวิตต้องบาลานซ์ นี่คือสิ่งที่ทำยาก มากนะคะ สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่ที่รักลูกมาก เราต้องวางแผนชีวิตให้ดี ถือว่าโชคดีมากที่เรามายืนตรงนี้ และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องไม่ละเลย เมื่อดีแล้วเราต้องพัฒนา ไม่ใช่เพื่อที่จะได้อยู่ต่อไปเรื่อยๆนะคะ การเป็นตำนานมันคงต้องปฏิบัติตัวแบบนี้ คือคุณต้องไม่หยุดพัฒนา
'เร สีณพงศ์ภิภิธ' ลูกชายสุดที่รักของ ทาทา ยัง
ที่ผ่านมาทาทาได้เรียนรู้อะไรจากลูกชายบ้าง
เขาสอนทาในหลายๆ เรื่อง สอนให้อดทนมากขึ้น เชื่อว่าหลายๆ คนที่มีลูก จะเข้าใจคำนี้ จากที่เมื่อก่อนเป็นคนแบบนี้เราก็เปลี่ยนเป็นอีกเวอร์ชั่นของเรา คือการเป็นแม่กลายเป็นคนตื่นเช้า ก่อนหน้านั้น 3-4 ปีทาขับรถไปส่งลูกที่โรงเรียนทุกเช้าแล้วไปรับ ช่วงนั้นเป็นช่วงเริ่มโควิด ก่อนหน้านั้นอยู่อนุบาลใกล้บ้านเราก็ไปส่งเขา รู้สึกเป็น Morning Time ที่ดี
พอเขาย้ายไปเข้าประถม1 บางกอกพัฒนา ก็เป็นชาเลนจ์ที่สุดๆไปเลยถนนบางนารถติดมาก ก็ต้องแข่งกับเวลา ทำให้เข้าใจว่าชีวิตคนทำงานออฟฟิศ โรงเรียนลูกเข้าเร็วมาก 7.20 น. ถึงเข้าใจคนทำงานว่าโห นี่คือสิ่งที่เขาเจอตอนเช้าทุกวัน เขาถึงต้องฟังรายการวิทยุ เป็นคนที่ไม่เคยสังสรรค์กับใครกลายเป็นมีแก๊งคุณแม่ มาคุยเรื่องปัญหาของลูกกัน พาลูกไปเที่ยวกัน
ช่วง 3-4 ปีต้องรับส่งลูกไปโรงเรียน แล้วมีเรื่องอื่นที่ทำเพื่อลูกอีกไหมคะ
ทาเป็นคนชอบทำอาหารอยู่แล้ว ทำอาหารให้ลูกทาน คิดว่าการมีลูกมันง่าย แต่จะเลี้ยงลูกยังไงให้ดี เป็นบุคคลที่ดีในสังคม เพราะเรา Worry เรื่องนี้ ก็ต้องปลูกฝังตั้งแต่เริ่ม เป็นตัวอย่างให้ลูก บางเรื่องเราก็ต้องใจเย็นมาก เช่น มีใครแกล้งลูกที่โรงเรียน คนเป็นแม่ก็ต้องโกรธ เราก็ต้องพยายามเข้าใจสถานการณ์ ต้องไม่โกรธ
สิ่งหนึ่งที่เราปลูกฝังเขา ก็คือ ความเป็นสุภาพบุรุษ จะบอกเสมอว่าถ้าเจอผู้หญิงโดนแกล้ง ให้เรไปช่วยเค้า ไม่ได้หมายถึงเอาตัวเองเข้าแลก การช่วยมีหลายวิธี คือ เรสามารถไปบอกคนแกล้งว่า หยุดนะอย่าทำแบบนี้ แล้วไปเรียกครูมา อย่าคิดว่าเพื่อนจะหาว่าเราเป็นคนขี้ฟ้อง
เพราะนั่นคือวิธีแก้ไขที่ถูกต้องมากกว่าการไปลงไม้ลงมือกัน ซึ่งเราก็รู้สึกภูมิใจเวลาได้รับคำชมจากคุณแม่ๆห้องเรียนเดียวกัน
ทาทาชอบทำกับข้าวตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่เด็กเลยค่ะ เป็นครอบครัวที่ทำกับข้าว คุณแม่จะทำได้ทั้งอาหารไทยและ Western คุณพ่อก็จะทำอาหารฝรั่ง และแม่นมหรือพี่เลี้ยงทา ก็จะทำได้ทั้งสองอย่าง เพราะเรียนรู้จากทั้งคุณพ่อและคุณแม่ ก็สืบทอดมาถึงเรา คุณยายทำอาหารไทยเก่งมาก เมื่อก่อนทำกับข้าวแต่ไม่ชอบหั่นอะไรเลย ชอบให้คนเตรียมไว้เหมือนรายการอาหาร เรามาลงมืออย่างเดียว
และไม่ชอบล้างจาน พอแม่บ้านไม่อยู่ ทาก็ทำเองได้ทุกอย่าง เมื่อก่อนเกลียดการปอกแอปเปิ้ล ก็จะกินทั้งเปลือกเลย พอมีลูก แอปเปิ้ลบางชนิดมีเคลือบเปลือกมันๆ กลัวลูกกินไม่อร่อย ก็ต้องหัดปอกจนสวย เข้าใจเลยว่านี่คือสิ่งที่พ่อแม่ทำให้ลูก
คาดหวังไหมว่า เมื่อลูกโตขึ้นจะต้องเป็นอะไร
ทาคิดว่า ทุกอย่างในชีวิตอาจไม่เป็นไปตามเป้าที่เราวางแผนไว้ การไม่คาดหวังมันดีที่สุด ถ้าผลที่ได้ดีเกินที่เราคิดเอาไว้ มันก็จะทำให้เรารู้สึกอิ่มเอมหัวใจ รู้สึกภูมิใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้น
แต่สำหรับเร ทารู้สึกว่าเค้าอยากเป็นอะไรก็ได้ เพราะชีวิตของเขา เราก็ได้แต่เป็นคนที่คอยดูแล พยายามที่จะไม่สั่งเขาให้ทำอะไรเลย อยากให้เขาได้ออกแบบชีวิตตัวเอง