'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ ' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’

'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ ' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’

ชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ‘หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ ’ แม้จะปั้น‘เชฟกระทะเหล็ก’โด่งดัง ร่ำรวยมีชื่อเสียงแค่ไหน เมื่อถึงเวลาก็ต้องจากโลกนี้ไป เขาจึงต้อง ‘เตรียมตัวตายทุกวัน’

คนส่วนใหญ่รู้จักรายการ เชฟกระทะเหล็ก มากกว่า หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ บริหาร บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด ผู้ปลุกปั้นรายการมานานกว่า10 ปี นับตั้งแต่ซื้อลิขสิทธิ์จากญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่หลายประเทศ เมื่อเอาไปทำแล้ว ส่วนใหญ่ทำได้แค่ 3 เดือน 5 เดือน แต่รายการนี้ในเมืองไทยผ่านมายาวนาน

หนุ่ม-กิติกร เป็นเจ้าของหลายรายการอาหาร นอกจากรายการที่กล่าวมา ยังมี ท็อปเชฟไทยแลนด์ (TOP CHEF Thailand) ,มาสเตอร์เชฟไทยแลนด์(MasterChef Thailand),

BID COIN CHEFสุดยอดเชฟหักเหลี่ยมโหด และล่าสุดได้ซื้อ Hell's Kitchen รายการเรียลลิตี้แข่งขันทำอาหารของอเมริกา โดยปีนี้จะขยายธุรกิจด้านอาหาร( FOOD) ด้วย

อะไรทำให้ ‘กิติกร’ มีวิสัยทัศน์ในเรื่องเหล่านี้ บางเรื่องทำแล้วไม่แจ้งเกิด ก็ปรับเปลี่ยนจนกลายเป็นที่นิยม จะด้วยพื้นฐานวิธีคิดที่เป็นระบบตามประสาคนเรียนวิศวะและการตลาด

เพราะจบด้านวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ปริญญาโทด้านการตลาดที่สหรัฐอเมริกา (University of ST. Louis) เคยเป็นอาจารย์สอนด้านการตลาดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นทำงานในวงการเพลง แล้วผันตัวสู่วงการ Reality Show ปัจจุบันมาเอาดีด้าน รายการอาหาร

 

หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ ผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากมาย ทัั้งบู๊ และบุ๋น จุดประกายทอล์ค ฉบับนี้ จึงไม่ได้คุยแค่เรื่องธุรกิจบันเทิง ยังล้วงลึกถึงเรื่องราวในชีวิตที่เขาบอกว่า ถึงเวลาต้องเตรียมตัวตายแล้ว...

กี่ปีแล้วที่อยู่บนเส้นทางรายการอาหารสายนี้

เชฟกระทะเหล็กก็ 10 กว่าปีแล้ว ถือว่ายาวนาน เราซื้อลิขสิทธิ์มาจากญี่ปุ่น แต่รายการเชฟกระทะเหล็กก็มีทั่วโลก ส่วนใหญ่ทำเป็น 3 เดือน 5 เดือน แต่เราทำเป็น Weekly เรามี 50 กว่าตอนต่อปี

ภูมิใจไหมที่รายการอาหารที่ทำ สร้างชื่อเสียงให้กับเชฟทั้งหลาย

ถ้าถามว่าภูมิใจไหม ที่สร้างเชฟให้มีชื่อเสียงขึ้นมาได้ ก็ต้องบอกว่าดีใจ ที่เขามาทำงานร่วมกับเรา ผมว่าส่วนใหญ่ช่วยด้วยกัน ด้วยความสามารถของเขา คนที่ดังได้ ส่วนใหญ่ต้องมาจากความสามารถของตัวเองก่อน

ในขณะเดียวกัน เราเองทำเวทีให้เขา เพื่อให้คนได้เห็น เขาเองได้ช่วยเรา ให้รายการเราดังขึ้น ผมว่าไม่ได้มีบุญคุณต่อกัน สุดท้ายแล้วก็คือต่างคนต่างช่วยกัน ทั้งนี้ทั้งนั้นเราเองก็ต้องเป็นคนที่เลือกคนเข้ามาทำงาน

ในแง่ของคนที่เข้ามาทำงาน หรือคนที่เข้ามาแข่งขัน ก็คงต้องผ่านการคัดเลือก มีหลายประเด็นต้องดู หนึ่ง ความสามารถต้องมีแน่ๆ สอง Character สาม การร่วมงานกับทีม จะทำงานด้วยกันได้ไหม เป็นการร่วมงานระยะยาว ไม่ใช่แค่แข่งเสร็จ แล้วก็จบ

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’

ภาพโดย : ศุกร์ภมร เฮงประภากร 

ทำรายการยาวนานขนาดนี้ มีช่วงคิดไม่ออกบ้างไหม

ก็ต้องมีบ้าง ตันยังไง เราก็ต้องทะลวงคิดให้ออก เรามีการเปลี่ยนฉากหลายรอบ บางครั้งเป็น BLIND TASTING ชิมโดยไม่รู้ว่าเชฟคนที่ทำอาหารเป็นใคร ตอนแรกมีคนเคยบอกว่าโกงหรือเปล่า เชฟกระทะเหล็กชนะ ตลอดเวลา เราก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบ หรือเปลี่ยนวิธีการแข่งขัน เพราะคนเริ่มเบื่อจากเดิมมีวัตถุดิบหลัก 1 อย่าง ต้องทำมา 5 จาน

ตอนนี้เราเปลี่ยนวัตถุดิบหลัก 4 ตัว เพื่อให้แต่ละจานมี 1 วัตถุดิบ สุดท้ายแข่งเป็นทีม เสร็จก็มาแข่งแบบตัวต่อตัว ไม่มีผู้ช่วย เราก็ต้องเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ ทำอย่างไรให้คนดูแล้วรู้สึกว่ามีอะไรแปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา อันนี้ในมุม เชฟกระทะเหล็ก รายการอื่นก็เช่นกันทุกซีซั่นก็ต้องมีอะไรที่เปลี่ยนแปลง

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ อนาคตคิดว่า จะมีเชฟหน้าใหม่มาร่วมงานหรือไม่

ผมว่าเชฟเด่นๆ ในวงการส่วนมากก็มาอยู่กับผมแล้ว รวมทั้งกรรมการของแต่ละรายการ มาร่วมกันสร้างคอนเทนต์เกี่ยวกับอาหาร วัตถุประสงค์ของการทำรายการอาหาร ก็คือ ทำให้วงการอาหารถูกมองในมุมที่แข็งแรงขึ้น เชฟสมัยก่อนคนจะมองว่าเป็นกุ๊ก ไม่มีใครอยากให้ทำงานนี้เพราะลำบาก เป็นอาชีพที่ถูกมองข้าม

ตั้งแต่เราเริ่มทำรายการ ก็ร่วมกันพัฒนาวงการนี้ เราเชื่อว่าเป็นจุดหนึ่งที่คนเริ่มเห็นความสำคัญของอาชีพนี้ เป็นอาชีพที่มีเกียรติ ถามเด็กสมัยก่อนอยากเป็นอะไร อยากเป็นนักร้อง ถามเด็กสมัยนี้อยากเป็นอะไร ก็มีคนตอบว่าอยากเป็นเชฟ ตรงนี้ทำให้เรารู้สึกดี ภูมิใจ ตอบคำถามที่ว่าจะมีเชฟหน้าใหม่ขึ้นมาหรือเปล่า เวทีที่เราทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็น มาสเตอร์เชฟ ไอรอนเชฟ ท็อปเชฟฯ

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ เวทีทั้งหมด ที่จะทำให้เด็กรุ่นใหม่เติบโตและคนมองเห็น ซึ่งสมัยก่อนไม่มี ทำให้คนที่รักในการทำอาหาร รักในอาชีพเชฟ สามารถมาเปิดเผยตัวต่อคนทั้งประเทศ แล้วก็มีแฟนคลับ เป็นตัวกระตุ้นให้วงการเชฟแข็งแรงขึ้น สุดท้ายก็น่าจะเป็น Soft Power ที่ดีของประเทศไทย ในเรื่องของอาหารไทย และเชฟไทย

เรียนมาทางวิศวะ จึงมีความคิดเป็นระบบ ส่งผลให้ธุรกิจประสบความสำเร็จใช่ไหมคะ

ถูก ไม่มีอะไรดลบันดาลให้สำเร็จ ความสำเร็จมาจากการสร้างเหตุที่ชัดเจน จึงได้ผลที่ชัดเจน ซึ่งสอดคล้องกับศาสนาพุทธนั่นเอง ผมจะอยู่ในธุรกิจได้ ก็ต้องสร้างเหตุให้ถูกต้อง เพื่อได้ผลที่ถูกต้อง ผมรู้ว่าตลาดขาดอะไร

ในอนาคตไม่มีทางที่จะมีตลาดแมส คนจะไม่ดูทีวีเครื่องเดียวกัน ดูร่วมกัน ถ้าเรายังอยู่ในเทรดดิชั่นแนลมีเดีย ก็ต้องทำตัวให้เล็กลง ที่เป็น

เซกเมนต์ ถ้าเขาลงทีวีน้อยลง แต่ถ้าเป็นโปรดักต์เกี่ยวกับอาหาร เขาต้องลงเราก่อน ขณะนี้ทุกโปรดักต์ก็จะเจียดเงินไปลงทีวี ก็ยังมีงบทีวีอยู่

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ เพราะฉะนั้นถ้าเกี่ยวกับอาหาร เขาก็จะไม่ไปลงเกมโชว์ เราจำกัดตัวเองให้แคบลง ก็คือ เราชัดขึ้นในแง่ของกลุ่มสปอนเซอร์ที่จะมาซื้อเรา ถ้าจะไปลงเกมโชว์ สปอนเซอร์จะไปลงที่ไหนก็ได้ เพราะมีเยอะมาก แต่ถ้าผมบอกว่า

ผมเป็น Food เป็น King of Food ซอส ข้าว น้ำปลา กะทิ ก็ต้องมาลงกับเรา ถึงบอกว่าสร้างเหตุที่ถูก ก็จะได้ผลที่ถูก ถ้าทำรายการเกมส์โชว์ แล้วไปบนว่าขอให้ขายสปอนเซอร์ได้ ยังไงก็ขายไม่ได้ เพราะสร้างเหตุที่ผิด

หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ ถูกจัดว่าเป็นนักธุรกิจที่มีศิลปะในการจัดการ จนประสบความสำเร็จ ?

ถือว่ามีบุญเก่าที่ดี ทุกอย่างมันถูกอธิบายด้วยศาสนาพุทธได้หมด เมื่อคุณเกิดมา ทุกอย่างถูกบันทึกลงใน DNA เป็นคนแบบไหน มีพรสวรรค์เรื่องอะไร อนาคตสุขภาพจะเป็นยังไง

คนที่เป็นมะเร็งปอด โดยที่ไม่ได้สูบบุหรี่เลย ถูกโปรแกรมมาจากบุญเก่า จากกรรมพันธุ์ ชีวิตคนเราจะประกอบไปด้วยบุญเก่า กับบุญใหม่ สมมติถ้าเราเกิดมาเป็นคนเจ้าชู้ เสี่ยงการผิดศีลข้อ 3 ครอบครัวจะแตกสลาย แต่คุณจะทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไปได้ โดยการสร้างบุญใหม่ ถ้าคุณได้รับความรู้ที่แท้จริงของศาสนาพุทธ สุดท้ายชีวิตครอบครัวมีความสุขได้ ขณะเดียวกันคนที่มีบุญเก่า แต่ทำตัวสูบบุห่รี่ กินเหล้า คุณก็เป็นมะเร็งได้เหมือนกัน

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ เริ่มคิดเรื่อง‘มรณานุสติ’ ตั้งแต่เมื่อไหร่

ตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อผมเสีย ผมก็คุยกับคุณแม่ว่า คุณแม่ต้องเตรียมตัวตายได้แล้วนะ ปัจจุบันคุณแม่ผม ก็เตรียมตัวตายมาตลอด การเตรียมตัวตายก็คือ ‘เตรียมพร้อมสำหรับวันนั้น’ อันดับแรกเราต้องพยายามละกิเลส เข้าวัด ฟังธรรม ศึกษาธรรม นั่งสมาธิ นี่คือการเตรียมตัว สำคัญที่สุดก็คือ จิตสุดท้ายของมนุษย์เมื่อตาย จะเป็นตัวส่งผลเมื่อเกิดใหม่

ถ้าตามความเข้าใจในศาสนาจะเป็นอย่างนั้น หลายคนบอกว่าถ้าตอนตายคิดในเรื่องดีๆ ก็จะไปเกิดในภพที่ดี แต่ผมว่ามันเป็นไปไม่ได้หรอก ณ เวลาใกล้ตาย คุณจะเอาสติที่ไหนคิด ถ้าตอนนั้นคุณกำลังเจ็บปวด อะไรก็แล้วแต่ คุณจะบังคับตัวเองให้ไปคิดในสิ่งที่ดี ผมว่าคุณไม่มีพลัง ไม่มีสติหรอก

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ แต่การเตรียมตัวตาย คือ การทำความดีให้ต่อเนื่อง เพราะอะไร ถ้าคุณทำความดีต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เช่น ช่วงเวลาใกล้สอบ บางทีฝันว่ากำลังทำข้อสอบ เพราะคุณกำลังหมกมุ่นกับเรื่องนั้น ตอนตายก็เช่นเดียวกัน สิ่งที่คุณหมกมุ่นเยอะ ๆมีเปอร์เซ็นต์ที่จะผุดขึ้นมา ถ้าคุณทำบาปมาเยอะๆ บาปก็จะผุดเช่นกัน ไปบังคับให้คิดดีตอนนั้นไม่มีทาง

ถ้าเราทำความดีก่อนตาย ปฏิบัติธรรม ละกิเลส นี่คือการเตรียมตัวตาย ณ วันตาย จิตสุดท้ายโอกาสที่สิ่งดีจะโผล่ขึ้นมามากกว่าสิ่งเลวๆถ้าเราทำดี 80 เปอร์เซ็็นต์ ทำชั่ว 20 เปอร์เซ็นต์ ช่วงเวลาสุดท้ายโอกาส 80 เปอร์เซ็นต์ อาจจะขึ้นมามากกว่า

ศาสนาพุทธ ถ้าศึกษาแล้วมีอะไรที่น่าสนใจเยอะมาก ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ จบวิศวะ แต่พอผมมาเรียนธรรมะ อ่านหนังสือเกี่ยวกับธรรมะ มาฟังพระ ผมเริ่มประติดประต่อเหตุและผล ศาสนาพุทธคือวิทยาศาสตร์ล้วนๆ

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกให้ขอ ทุกคนก็ไปไหว้พระพุทธรูปแล้วขอ คุณจะนับถือพระพุทธรูปหรือพระพุทธเจ้าต้องรู้นะ พระพุทธเจ้าบอกว่า สร้างเหตุที่ถูก ก็จะได้ผลที่ถูก ถ้าบอกว่าฉันอยากเลื่อนขั้น ไปบนดีกว่า ถ้าเป็นพระพุทธเจ้าก็จะบอกว่าคุณอยากเลื่อนขั้น

คุณต้องไปทำดีกับเจ้านาย พูดชัดๆคือคุณต้องไปเลียเจ้านาย (หัวเราะ) ในศาสนาพุทธไม่มีคำว่าดลบันดาล ทุกอย่างต้องสร้างเหตุที่ถูก เพื่อให้ได้ผลที่ถูก นี่คือหลักการของวิทยาศาสตร์

เลื่อมใสในพุทธศาสนา ตั้งใจว่าจะบวช แต่ก็ยังไม่ได้บวชสักที ?

ตอนนี้ก็ยังอยากบวช แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นตอนไหนเท่านั้นเอง ต้องมีเป้า เมื่อไหร่ที่เราพร้อมให้กับครอบครัว กับศาสนาก็ยังเป็นจุดที่ยึดเหนี่ยวอยู่ จริงๆแล้วใส่ชุดขาวนั่งปฏิบัติธรรมก็ได้ แต่บางครั้งเหมือนเป็นการบังคับตัวเองว่าคุณอยู่ในผ้าเหลืองแล้วนะ จะต้องสำรวมที่สุดนะ จะต้องปฏิบัติดีที่สุดให้ได้

ถ้าเราปฏิบัติไม่ดีเราก็บาปนะ เป็นการบังคับตัวเอง ปฏิบัติแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าแค่ไปนั่งสมาธิ เราอาจจะใจหลุดลอยไป เช่นนั่งเสร็จแล้วเดี๋ยวเราจะทำอะไรต่อ ไม่สามารถใช้เวลาที่จำกัดที่เรามีได้อย่างดีที่สุด เพราะการบวชของผมกี่วันก็แล้วแต่ เราต้องปฏิบัติให้สุด เรามีผ้าเหลืองคลุมอยู่ จะหลุดออกจากรั้วไม่ได้เด็ดขาด นั่นคือสิ่งที่ผมคิด บางคนบอกว่าไปบวชทำไม ไม่เห็นจำเป็นเลย สำหรับผมคิดว่า ไม่ได้จำเป็น แต่มันเป็นตัวช่วยที่ดีมากๆ ที่จะทำให้เราเกาะอยู่กับการปฏิบัติ

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’

มีคำสอนใดในศาสนาพุทธที่เอามาปฏิบัติสม่ำเสมอ ? 

มีเยอะมาก ถ้าจะยกตัวอย่าง ก็อย่าง... ทุกอย่างเกิด แล้วดับ ไม่มีตัวตนของมันที่แท้จริง แค่นี้พูดแล้วก็ยาว นั่นหมายความว่า จิตของเราเกิดแล้วดับตลอดเวลา เราไม่รู้นึกว่าเป็นจิตเดียว เราเป็นคนๆเดียวกัน ตั้งแต่เกิดยันปัจจุบัน ยันแก่ ที่แท้เราเป็นคนละคนตลอดเวลา ลองคิดดูตอนคุณอายุ 16 ความคิดคุณเหมือนตอนนี้หรือเปล่า ไม่เหมือนเดิม คนละเรื่องเลย ร่างกายคุณก็ไม่เหมือนเดิม คนละร่างกาย คุณมีเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น

ที่คุณคิดว่าฉันเป็นฉัน ในอดีตกับปัจจุบันยังเป็นฉันอยู่ เรายังไปยึดแบบนั้น ทั้งที่ตัวเราเปลี่ยนทุกขณะจิต ไม่ใช่วินาทีด้วยนะ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน เพื่อให้เราไม่ยึดติดกับการเป็นตัวของตัวเรา

ใจก็ไม่ใช่เรา คุณยังคิดว่า ฉันเป็นฉัน ในใจของฉัน ไม่ใช่ ใจมันผูกกับกาย ถ้าคุณไปเกิดเป็นแมว ก็ไม่ได้คิดในแบบที่คุณเกิดเป็นคนอยู่แล้ว วันหนึ่งเราเกิดตาบอด พิการ หรือป่วย ความคิดของเราก็เปลี่ยนไปหมด เพราะฉะนั้นเราไม่ใช่คนเดิมแล้วนะ เอาง่ายๆ ตอนที่เราอายุ 18 กับตอนที่อายุ 80 เราเป็นคนๆ เดียวกันเหรอ คนละคนโดยสิ้นเชิง ร่างกายก็คนละเรื่อง ความคิดก็คนละเรื่อง ใจก็คนละเรื่อง

เพราะฉะนั้นกายคนละเรื่อง ใจคนละเรื่อง ก็เป็นคนละคนแล้ว แต่เราไปคิดเอง มีแค่ความทรงจำที่ไปยึดมั่นว่า เราเป็นคนๆ เดียวกันตั้งแต่วันนั้นยันวันนี้

\'หนุ่ม-กิติกร เพ็ญโรจน์ \' มุมบุ๋นและบู๊ ผู้ปลุกปั้น ‘เชฟกระทะเหล็ก’ คิดว่าตัวคุณเองเป็นคนดีกีเปอร์เซ็นต์

คนดีกี่เปอร์เซ็นต์?  ผมต้องวัดจากศีล 5 ข้อ เริ่มจาก ข้อแรก ห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ผมไม่ฆ่าเลย ยุงไม่ตบ ยุงกัด ก็เป่าๆ ให้บินไป ใครตบยุงต่อหน้าผมด่า ในรายการผมจะไม่ให้มีของเป็นๆมาเป็นวัตถุดิบ สั่งว่าต้องเป็นของตายแล้วเท่านั้น แล้วไม่ใช่ของตายแบบสั่งฆ่านะ ไม่สดช่างแม่งเหอะ คิดว่า ศีลข้อนี้ผมละเว้นได้ 100 เปอร์เซ็นต์

ข้อที่ 2 ผมไม่เคยขโมยของใคร แล้วผมก็ไม่เคยเอาเปรียบใคร เป็นนักธุรกิจก็ไม่เคยเอาเปรียบใคร กลับสบายใจมากกว่าถ้าคนอื่นมาเอาเปรียบ แต่ผมยอมให้คนเอาเปรียบ 60 เปอร์เซ็นต์นะ ถ้าเอาเปรียบ 61 เปอร์เซ็นต์เมื่อไหร่ผมไม่ยอม

ศีลข้อ 3 ผิดลูกผิดเมีย ตั้งแต่พ่อผมเสียแล้วเริ่มปฏิบัติมา ตั้งมั่นในศีลข้อนี้มาก เพราะผมเหมือนคุณพ่อ คือเจ้าชู้ พอปฏิบัติธรรมผมก็ตัดความเจ้าชู้ออก ศีลที่ดีคือต้องปฏิบัติให้ได้ทั้ง กาย วาจา ใจ เพียงแต่ใจผมยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ ยังมีวอกแวกไปบ้าง ทางทางกายไม่มีนะ ข้อนี้ถ้าเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ผมให้คะแนนตัวเอง 70 เปอร์เซ็นต์

ศีลข้อที่ 4 ข้อนี้ 50 : 50 ผมไม่ได้พูดปด แต่ผมทำร้ายคนอื่นด้วยวาจา ผมพูดหยาบ เวลาด่าลูกน้อง แต่ถามว่าโกหกไหม ผมไม่โกหก บางคนบอกว่า เฮ้ย มันต้องพูดโกหก เพื่อให้เขารู้สึกดี ผมไม่เอาด้วยเพราะมันผิดศีล

ศีลข้อที่ 5 สุรา เดี๋ยวนี้ไม่มีความคิดอยากจะดื่มเหล้าเลย  คงดื่มมามากจนอิ่มตัวแล้ว แต่จะดื่มเฉพาะจำเป็น เมื่อก่อนผมดื่มถึงตี 3 นี่เป็นบุญเก่าที่ลิขิตไว้แล้วว่าดื่มถึงอายุ 50 ปี ก็หยุดได้แล้ว DNA ให้มาแค่นี้ ข้อนี้ผมให้คะแนน 80 เปอร์เซ็นต์ รวมๆ ศีลทั้งหมด 5 ข้อแล้วผมน่าจะเป็นคนดีซัก 80 เปอร์เซ็นต์ (หัวเราะ)