เชฟป้อม ‘ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล’ ไม่มีอะไร...ที่ทำไม่ได้
'เชฟป้อม' ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล แจ้งเกิดในรายการ 'Masterchef Thailand' เข้าครัวตั้งแต่อายุ 5 ขวบ เคยคิดจะหนีจากวงการอาหาร สุดท้ายคนพบตัวเองว่ารักและชอบสอนคนให้ทำอาหาร ปัจจุบันมีงานหลายบทบาท รวมทั้งนักแสดงด้วย
ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล หรือ เชฟป้อม เกิดและเติบโตใน วังเทวะเวสม์ เรียนรู้เรื่องการทำอาหารจากการถูกใช้งานหม่อมย่า ก็คือ ม.ร.ว.สอางค์ เทวกุล เชี่ยวชาญด้าน อาหารฝรั่ง และแม่ครัวที่บ้าน เชี่ยวชาญ อาหารไทย ตำรับชาววัง ที่หวงสูตรมาก และไม่ยอมสอนใคร แต่ยอมสอนเชฟป้อมคนเดียว
นี่คือเรื่องราวของ หม่อมป้าแห่งรายการ Masterchef Thailand ที่คิดว่า ตนเป็นคนไม่ชอบทำอาหาร แต่ก็หนีไม่พ้นเมื่อมีโอกาสเข้ามา ก็ต้องรับไว้ เพราะแนวคิดของเธอก็คือ อย่าเพิ่งปฏิเสธว่าทำไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ลองทำ
6 ปีกับการทำ รายการ มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ผ่านมาเกือบทุกรูปแบบ ทั้งมาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ไทยแลนด์ ,มาสเตอร์เชฟ เซเลบริตี้ ประเทศไทย, มาสเตอร์เชฟ ออล สตาร์ส
นอกจากนี้ยังค้นพบว่า เป็นคนชอบสอน จึงเป็นที่มาของโรงเรียน Deva Recipe by Chef Pom สอนทำอาหารเปิดมาปีกว่าๆ และไม่ปฏิเสธโอกาสในเรื่องการแสดง ปีนี้รับแสดงละคร 3 เรื่องคือ กามเทพก้นครัว ,แค้น และคลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ 14 ความรักกับความเชื่อ ตอน‘ลูกเทพ’
เธอบอกว่า “ทุกอย่างคือโอกาสที่ถูกหยิบยื่น ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้” และนี่คือบทสนทนากับจุดประกายทอล์ค กรุงเทพธุรกิจ
เชฟป้อม เข้าครัวฝึกทำอาหารตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ถูกบังคับหรือสมัครใจคะ
ชีวิตเหมือนอยู่โรงเรียนประจำ ที่บ้านให้เข้าครัวปอกหอม ปอกกระเทียม แต่ใจไม่ได้นึกว่าเป็นแค่บ้านเรานะ นึกว่าเด็กผู้หญิงไทยทุกคนต้องโดน จนกระทั่งไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อน อ้าว! ทำไมทำอะไรไม่เป็นกันเลย ก็เลยรู้ว่าบ้านเราไม่เหมือนใคร ที่บ้านเรื่องกินเรื่องใหญ่ ลูกๆ ก็ต้องทำให้เป็น โดยเฉพาะลูกผู้หญิงต้องช่วยงาน
ตอนนั้นเราอายุ 5 ขวบก็เหมือนเด็กทั่วๆไป ก็อยากเล่น แต่ไปเล่นไม่ได้ เพราะพี่ๆ ก็โดนหมดทุกคน แม่ก็จะใช้งานตามอายุ ส่วนคุณย่ากับแม่ครัวก็จะสอนอีกประเภทหนึ่ง คุณย่าถนัดอาหารตะวันตก เขาเรียกว่า อาหารฝรั่ง สมัยนั้นไม่มีมาแยกแบบสมัยนี้ ว่าเป็นอาหารอิตาเลียน อาหารฝรั่งเศส
พอจะจำได้ไหมคะว่า ตอนเด็กๆ ประทับใจเมนูอาหารอะไรบ้าง
คุณแม่เป็นคนใต้ ที่บ้านจะต้องมี แกงไตปลา อยู่ในหม้อเสมอ และแกงไตปลาของแม่ ไม่ใช่สารพัดผักนะคะ จะมีแค่ปลาดุกย่างกับมะเขือพวงเท่านั้น ที่เหลือแม่ให้กินคู่กับผักสด อีกอย่างในตู้ก็จะมี อาหารไทย ที่ประทับใจจำได้เลยก็คือ ข้าวยำ ตอนเด็กๆ เราตักข้าวเท่าที่กินตามปกติ แต่พอใส่เครื่องยำไปแล้ว คลุกไม่ได้ (หัวเราะ) มันกลายเป็นกองเบ้อเริ่มเทิ่ม ตอนหลังก็ได้เรียนรู้ว่าตักข้าว 2-3 คำก็พอ
อีกเมนูที่ชอบคือแซนด์วิชจานบิน สมัยนี้อย่างที่เห็นเครื่องทำแซนด์วิชจะออกมาเป็น 3 เหลี่ยม แต่ของคุณย่าเป็นเหล็กกลมๆ ประกบกันสองข้าง แล้วเอาไปปิ้งบนไฟ ทาเนยด้านนอกกรอบๆหอมๆ ไส้เต็มมาก รูปที่ออกมาเป็นกลมๆ ชั้นๆ เราก็เลยเรียกว่า ‘แซนด์วิชจานบิน’
แล้วก็มี มักกะโรนีคลุก อันนี้ชอบมาก คุณย่าไม่ได้ผัด ทำน้ำซอสมาคลุกๆให้ซึมเข้าไป อร่อยมาก ตอนหลังแม่ครัวคุณย่าสอนให้ทำตอนเราโตแล้ว ก็เลยเลิกกิน เพราะมีทั้งนมข้น นม เนย เบคอน สารพัดของอ้วนอยู่ในนั้นหมดเลย
ภาพโดย : ศุภกฤต คุ้มกัน
เห็นบอกว่าแม่ครัวของคุณย่าหวงสูตรมาก แล้วทำไมถึงยอมสอน เชฟป้อม คนเดียว เขาเห็นแววอะไรในตัวเราหรือเปล่า
เขาไม่รู้หรอก และไม่มีการมานั่งจับมือสอน เห็นเท่าที่เขาทำ แต่ว่าแม่ครัวคุณย่าจะมีมุกหนึ่ง ตอน 2 ทุ่มเขาจะขึ้นไปนอน เขาบอกทุกคนว่าเขาไปนอนแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้สนใจ เออ ! ป้าแกนอนหัวค่ำ ก็ปล่อยไป ปรากฏว่า เช้าขึ้นมา มีอาหารที่เสร็จแล้วรออยู่ คือ เธอลงมาทำอีกทีตอนเที่ยงคืน ไม่อยากให้ใครเห็น เขาก็จะมีสูตรเฉพาะของเขาอย่างแกงขี้เหล็ก และเครื่องข้าวแช่ เขาทำเองหมดนะคะ
จนในที่สุดเราก็ปากเสียไปแซะๆ บอกว่า เนี่ยแก่จะตายละ ไม่สอนใครก็เหนื่อยอยู่คนเดียวก็แล้วกัน ตอนนั้นเราน่าจะเรียนชั้นมัธยม หรือมหาวิทยาลัยนี่แหละ เขาก็เลยบอกว่างั้นจะสอนคุณป้อมคนเดียว ก็เสร็จเลยสิคะ เลยสอนคนทั้งโลกเลยทีนี้
สมัยที่แม่ครัวคุณย่าทำ จะแจกงานให้คนในบ้าน เพราะยังมีคนงานในบ้านอีกหลายคน สิ่งที่ชอบที่สุดเวลาไปดูเขาโรยฝอยพริก เราจะดูว่าเขาสะบัดมือยังไง พอเราโตทำตามสะบัดเม็ดแรกทำได้เลย ก็ดูมาทั้งชีวิต ปีนเก้าอี้ดู เพราะเขาไม่ให้เด็กทำ น้ำมันร้อน มีไอน้ำมัน ก็ไม่รู้จริงๆ ทำไมเขาเลือกสอนเรา พี่น้องตั้ง 4 คน หรือว่าเราปากเสียไปว่าเขา ก็ไม่รู้นะ
ไม่เคยเรียนทำอาหารเป็นเรื่องเป็นราว มีวิธีการหาความรู้เพิ่มเติมอย่างไรคะ
ไม่เคยเข้าโรงเรียนใดๆ นอกจากโดนบังคับมาตลอด เคยหนีด้วยนะ เคยคิดว่า ครัวไทย ไม่เอาแล้ว ไปหัดทำขนมกับ อาหารฝรั่ง ทั้งที่คุณย่าตัวเองก็เก่ง ไปเรียนที่กัลปพฤกษ์ แต่ตอนนั้นเขาจะสอนแบบทำให้ดูมากกว่า แล้วก็จดๆๆ แล้วเราก็เอากลับไปทำ คราวนี้ก็เริ่มเล่นขนมแล้ว ไม่สนใจ อาหารไทย หัดทำขนมปัง แต่ไม่ขึ้นฟูเหมือนในรูปภาพเลย ได้บทเรียนว่า ตำราที่เขียนๆ กันมาไม่พูดจริงกันเลย
ก็เลยตั้งใจว่าถ้าตัวเองเขียนตำราเมื่อไหร่ ต้องทำได้จริง ทำให้เราทำอาหารได้มากกว่าอาหารไทย อย่างป้อมอยากกินโรตี แม่ก็ไปซื้อโรตีจากร้านแขก ไม่ทำเอง คือป้อมชอบกินโรตีหนาๆ กินกับแกงต้องหนาๆ จะมีร้านตรงถนนพระอาทิตย์ ไปขอให้เขาสอนก็ไม่ได้ ก็เลยคิดเอง เอาความรู้ของขนมปังเข้ามาฝึกฟาดแป้งโรตี ไปยืนดูแขกริมถนนที่เข็นรถเข็น เขาวางมือยังไง เหวี่ยงยังไง ก็เลยได้โรตีสูตรของตัวเองขึ้นมา
สมัยนั้นไม่มีโรงเรียนที่สอนเพื่อเป็นเชฟ ถ้าไปเรียนเมืองนอกก็จะได้อาหารฝรั่ง เราก็เรียนรู้ไป ลงมือทำพังๆ ก็เป็นบทเรียนของเรา แล้วเอาไปสอนต่อ ไม่ให้คนพังเหมือนเรา
เมนูโปรดของลูกๆ มี 'พะโล้ไข่เค็ม' แล้วมีอย่างอื่นอีกไหมคะ
นอกจากพะโล้ไข่เค็ม แกงเขียวหวานเนื้อ ลูกก็ชอบมาก ของป้อมจะเคี่ยวจนเนื้อนุ่ม แล้วทำเครื่องแกงเอง ทำอย่างที่แม่สอนมา ไม่ได้ใช้ผงชูรส เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่สอนมาเช่น อันนี้หวานเพราะใส่อันนี้ อร่อยเพราะมีอะไรบ้าง เขาจะบอกเหตุผลการใส่อะไร เข้าไปในหม้อทุกครั้ง เช่นส้มซ่า อย่าบีบก่อน อีกเทคนิคคือ เอาผิวเปลือกเขียวๆ ออกก่อน เอาเปลือกไปใช้ทำอย่างอื่นได้ แล้วคั้นน้ำ ไม่งั้นขม มะนาวต้องมาใส่ข้างนอก
ต้มยำ เค็ม หวาน ก่อน เปรี้ยวเติมทีหลัง ถ้าเป็นอาหารฝรั่ง ลูกก็จะชอบ พายซีฟู้ด เพราะว่าของแม่นี่ ไม่น่าจะเป็นพายซีฟู้ด น่าจะเป็น พายมหาสมุทร มากกว่า เพราะว่าเนื้อกับอาหารทะเลแน่นมาก
อาหารโปรดเชฟป้อมเอง ช่วงนี้ชอบอะไรเป็นพิเศษ
โอ้โห! ความจริงเป็นคนที่ชอบกินข้าวแกงมานานแล้วนะคะ ที่ชอบที่สุดคือ ผัดเผ็ดปลาดุก แต่หายากมากเลยไอ้ผัดเผ็ดปลาดุกที่ไม่ทอดกรอบเนี่ย ก็มีขายบ้างและทำกินเอง ข้าวแกงร้านประจำไม่มี ส่วนใหญ่ทำเอง
รายการ มาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ทำมาทั้งหมดกี่ปีแล้วนะคะ ยังมีอะไรท้าทายอีกไหม
เพิ่งครบ 6 ปี ซีซั่นปกติมีไปแล้ว 6 ซีซั่น,มาสเตอร์เชฟ จูเนียร์ ไทยแลนด์ 2 ซีซั่น ,มาสเตอร์เชฟ เซเลบริตี้ ประเทศไทย 3 ซีซั่นและมาสเตอร์เชฟ ออล สตาร์ส 1 ซีซั่น ก็ประมาณ 12 ซีซั่นรายการมาสเตอร์เชฟ เป็นอะไรที่ท้าทายเสมอ
โจทย์ที่ออกมาแต่ละครั้ง มันต้องใช้ความชำนาญและความรู้ของเราค่อนข้างเยอะ ด้วยความที่เราผ่านชีวิต เราผ่านประสบการณ์ด้านนี้มาแล้ว เห็นปุ๊บ เราจะรู้เลยว่า ทำแบบนี้พังแน่นอน ทำแบบนี้ใช้ไม่ได้ มันจะต้องเกิดอะไรขึ้น และมันก็เกิดจริงๆ
ก็เลยเป็นที่มาของคำว่า เราเตือนคุณแล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะบอกยังไง ก็แข่งอยู่ เดี๋ยวจะหาว่าไม่ยุติธรรม เราเคยผิดมาก่อน เราก็เตือนว่าให้หยุดก่อน ถ้าไม่ฟัง ก็พัง
บุคลิกของเชฟป้อมในรายการทีวีกับชีวิตปกติ เหมือนกันหรือเปล่าคะ
ก็ใช่แหละ ไม่งั้น 6 ปีคงเป็นแบบนี้ไม่ได้ตลอดมาหรอกค่ะ การทำมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ ไม่เคยคิดว่ามาทำงาน หรือการแสดงใดๆ เป็นตัวเราจริงๆ แล้วก็ทุกครั้งไป จะเป็นกิจกรรมที่สนุกมากกว่าการทำงาน ดุ ก็จริง ถ้าดูดีๆ ก็จะเห็นว่า ป้อมไม่ได้ดุพร่ำเพรื่อ แต่ละครั้งที่เราพูดเรามีทางแก้ สอนเขาทุกที ไม่ใช่บอกว่าไม่ดี ไม่อร่อย ใช้ไม่ได้ แต่เราจะบอกว่าเพราะอะไร
ทำไมถึงไม่ชอบให้ใครเรียกว่า ‘เชฟป้อม’ คำว่า ‘เชฟ’ในความคิดของเราต้องเป็นอย่างไร
เพราะเราไม่ได้ผ่านโรงเรียนเชฟ หรืออะไรใดๆ และคำว่าเชฟ ความรับผิดชอบต้องสูงมากๆ สำหรับคนเป็นเชฟจริงๆ เกรงใจเขา ไม่อยากใช้ เพราะป้อมก็แค่เป็นคนที่มีความรู้เรื่องอาหาร ถ้าคนอื่นจะเรียกก็ไม่ว่าอะไร แต่ป้อมจะไม่แทนตัวเองว่าเป็นเชฟ ยังไม่ถึงขนาดนั้น พูดถึงการคุมและจัดการครัว เราก็ทำได้ แต่เราไม่ได้อยู่สายอาชีพนั้นเท่านั้นเอง
คำว่าเชฟ มันยิ่งใหญ่ไม่ใช่แค่คุณทำอาหารเป็น คนเดี๋ยวนี้ใช้คำว่า เชฟฟุ่มเฟือยไปนิดหนึ่ง คุณรู้ไหมคำว่า เชฟต้องบริหารจัดการอะไรบ้าง วัตถุดิบ คุมรสชาติอาหาร คุมบุคลากรในครัว คุมผลประกอบการในครัว เหมือนเป็นบริษัทเล็กๆ ซึ่งแยกย่อยมาจากบริษัทใหญ่นั่นเอง คนเรายังมีอะไรในโลกที่เรายังไม่รู้อีกเยอะ ไม่ต้องอวดรู้ พออวดรู้ เราจะไม่มีความรู้เพิ่มเติม
มีอะไรในชีวิตที่อยากจะทำ แล้วยังไม่ได้ทำอีกไหม
ทั้งชีวิตไม่คิดว่าอยากจะทำอะไร แต่เป็นคนโชคดี ที่โอกาสวิ่งเข้ามาชนเราเสมอ เมื่อก่อนป้อมก็อยู่กับอาหาร ทำอาหารมานิ่งๆ สอนแบบนิ่งๆ เล็กๆไป แต่โอกาสวิ่งเข้ามาชนให้คนรู้จัก ได้เล่นละคร ทุกครั้งที่ออกไปทำงาน ไม่เคยคิดว่าออกไปทำงาน คิดว่าได้ไปทำอะไรที่เป็นประสบการณ์ใหม่ๆ อย่างตอนนี้ในสายอาหารก็มีรายการมาสเตอร์เชฟ ไทยแลนด์ และเปิดโรงเรียน Deva Recipe by Chef Pomและอยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมาเป็นนักแสดงอีท่าไหน ก็ไม่ทราบ
เพราะเราไม่ปฏิเสธโอกาส เล่นละคร 3 เรื่องมี ‘กามเทพก้นครัว’ ช่องเวิร์คพอยท์ ออกวันจันทร์-พุธ เริ่มตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน 2566 ,เรื่อง ‘แค้น’ ทางช่อง 3 และวันที่ 6 มิถุนายน 2566 คลับฟรายเดย์เดอะซีรีส์ 14 ความรักกับความเชื่อ ตอน‘ลูกเทพ’ เรื่องนี้ใช้พลังเยอะมาก และวันเดียวกันนั้น มาสเตอร์เชฟ ซีซั่น 6 ก็ออกอากาศตอนแรก
เป็นคนที่มีความสามารถหลากหลายมาก ?
ก็ช่วงที่ไม่อยากเป็นคนทำอาหารไง ก็เลยไปทำทุกอย่าง เรียนจบคณะรัฐศาสตร์ แต่เรื่องการเมืองกลับไม่เอาเลย เมื่อก่อนบอกพ่อว่า อยากเข้าครุศาสตร์ ด้านดนตรี ชอบร้องเพลง สมัยนั้นเมื่อ 44 ปีที่แล้ว ผู้ใหญ่ไม่ชอบให้เต้นกินรำกิน แต่พอป้อมขึ้นเวที นั่งแถวหน้าตลอดเลยนะ (หัวเราะ) เราก็หนีไปเรียน Voice เพิ่ม
โชคดีป้อมไม่ใช่เด็กเรียนเก่ง แต่เรียนไม่ค่อยตก เรียนอะไรก็ได้และเรียนจบ แต่ไม่เคยได้ดี ชอบกิจกรรมมากกว่าเรียน สมัยมหาวิทยาลัย ก็เล่นกีฬาให้คณะฯ ด้วยนะ เล่นแบดมินตัน ปีสุดท้ายเล่นสควอซ (Squash) ทีมชาติด้วยนะ ชีวิตสนุก อย่าหาสาระเรื่องเรียน เพราะเป็นคนไม่ชอบท่องหนังสือ จะสอบก็อ่านพอเข้าใจ มหาวิทยาลัยนี้ดีอยู่อย่างคือ เน้นการโม้ ถ้าเราโม้ แล้วมีเหตุผลสนับสนุนความคิด ก็ไปได้เลย
จุดประกายทอล์ค พูดคุยกับ เชฟป้อม หรือ ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล ต่อไปว่า
เป็นช่วงวัยที่รู้จักหาความสุขให้ตัวเอง ?
อย่างที่บอกไงคะ มันเป็นโอกาสที่เข้ามา อย่าบอกว่าทำไม่ได้ ต้องลอง ไปให้สุดก่อน พอโอกาสเข้ามาต้องทำ ต้องพยายาม ไม่ปฏิเสธโอกาส และทำมันให้ดีที่สุด ดูซิว่าสุดพลังแล้วจะได้แค่ไหน ถึงสอนทุกคนว่า อย่าปฏิเสธอะไร และอย่าเพิ่งพูดว่าทำไม่ได้ ให้ลองทำก่อน
พอมาถึงชีวิตตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโรงเรียนอาหาร การทำรายการมาสเตอร์เชฟ เล่นละคร ขึ้นเวทีร้องเพลงบ้าง ทุกอย่างเป็นความสุข อาจจะเป็นด้วยอายุที่เยอะขึ้น ก็เลยคิดกับตัวเองว่า ‘เราจะไม่ทุกข์แล้ว’ เพราะว่าอะไรที่แย่ๆ เราผ่านมาเยอะแล้ว ทำไมล่ะ 60 กว่าแล้ว เราจะรู้ไหมว่า เราจะอยู่ไปอีกกี่ปี
สมมติว่า ป้อมจะต้องตายตอน 80 ปีเหลือเวลาแค่ 18 ปีเอง หรือบางทีอาจจะตกท่อไปตอน 70 เหลือแค่ 8 ปีเอง ดังนั้นถ้าเรามีความทุกข์ มันเสียเวลาชีวิต เรื่องอะไรที่คิดว่าจะทำให้เราทุกข์ เราผลักออกไปดีกว่า คือถ้าคุณทำได้ก็จะมีความสุข มีคนบอกเหรียญมี 2 ด้าน อย่าคิดแต่ด้านแย่สิ
อย่างป้อมอยู่คอนโดคนเดียว ข้อแรกคือไม่อยากยุ่งกับลูก ไม่อยากไปกวนใจเขา ก็โตๆ กันแล้ว ทุกคนต่างคนต่างอยู่ และไม่คาดหวังว่าทุกอาทิตย์ ลูกต้องมาหา เมื่อเขามาหา นั่นคือกำไร แบบนี้มีความสุขมากกว่า ไปนั่งคิดว่าทำไมเขาไม่มาหา
การอยู่คนเดียว อย่าคิดว่ามันเหงาสิ คิดว่ามีเวลาได้อยู่กับตัวเอง ฉันอยากจะขี้เกียจ ก็ขี้เกียจ ไม่อยากอาบน้ำ ก็ไม่ต้องอาบ ไม่เห็นจะต้องไปคิดว่าเหงาเลย ว่าไปก็ไม่มีเวลาให้เหงาเลย พอมีเวลาก็ทำให้ตัวเองแข็งแรง เพราะไม่อยากให้เป็นภาระลูก ป้อมไม่ได้กลัวตายนะ แต่กลัวเจ็บ กลัวทรมาน แล้วเป็นภาระลูกเท่านั้นเอง ออกกำลังกายก็ประมาณตัวด้วย ไม่หักโหม
อยากเล่าถึงโรงเรียนสอนทำอาหารของเชฟป้อมสักนิดค่ะ
Deva Recipe by Chef Pom เปิดได้ปีกว่าแล้วคะ ทางซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ลงทุน แล้วให้เราไปเปิดโรงเรียน ซึ่งป้อมก็เต็มที่ เพราะว่ามารู้ตัวเองว่า ในสายอาหารป้อมชอบงานสอนมากกว่าที่จะต้องไปเปิดร้านอาหาร หรือทำอะไรมากมาย การสอนทำให้เรามีความสุข นักเรียนบางคนถามว่าต้องมีพื้นฐานอะไรไหม หนูทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ภายใน 2 ชั่วโมง เขามีอาหารกลับไปบ้านด้วยความภูมิใจ เพราะชีวิตนี้ไม่เคยทำอาหารเลย แล้วทำได้ขนาดนี้
ป้อมไม่ใช่ครูยืนสอนอยู่ข้างหน้า วิ่งรอบห้อง เพื่อกำกับนักเรียน อย่าให้ใครพลาด แต่ก็มีดุ กลายเป็นว่า พวกที่ทำอาหารไม่เป็น น่ารักกว่า เพราะเขาจะตามเราทุกสเต็ป พวกที่เป็นแล้ว ก็จะทำล้ำหน้า ก็เลยถามว่าทำเป็นแล้วมาเรียนทำไมคะ กลับไปบ้านทำเองเถอะ พูดจบปั๊บ เขาทำเสีย ป้อมก็ได้ทีบอกว่าทำใหม่เลยนะ และตามให้ทันด้วย
เด็กอายุ 20 ต้นๆ ก็ลองมาเรียน กลับไปบ้าน พ่อแม่มหัศจรรย์ใจมาก ลูกสาวเป็นอะไร ทำไมทำได้ขนาดนี้ ไม่มีใครออกจาก Deva Recipe แล้วทำไม่ได้ และมีอาหารให้กินเต็มที่ เสร็จแล้วมีอาหารกลับบ้าน กินได้ทั้งครอบครัว คลาสหนึ่งเรียนประมาณ 8 คน มีคนเริ่มสนใจมาเรียนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
คนที่เรียนแล้วติดใจก็จะมาเรียนอีก ส่วนใหญ่เป็นอาหารไทย ช่วงเทศกาลก็มีพิเศษๆ เช่น สอนทำไก่งวง แต่เราสอนด้วยไก่ธรรมดาตัวใหญ่ๆหน่อย 2 กิโลครึ่ง ใครต้องการเรียนเข้าไปในเพจ เฟสบุ๊ค และไอจี ของเดวาได้นะคะ
'เชฟป้อม' ม.ล.ขวัญทิพย์ เทวกุล