WHO สนับสนุนรัฐบาลใหม่ไทย คงมาตรการสกัดนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้า
"WHO" สนับสนุนรัฐบาลใหม่ไทย ให้คงมาตรการสกัดนำเข้าและขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มงวด ตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพ และลดอัตรานักสูบหน้าใหม่
นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยได้ให้สัตยาบันตามกรอบ อนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) ในปี พ.ศ. 2548 เปรียบดั่งพันธกรณีระหว่างประเทศที่รัฐภาคีต้องปฏิบัติตามกรอบอนุสัญญาฯ ดังกล่าวอย่างเคร่งครัด อาจกล่าวได้ว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ผลพวงจากการเป็นภาคีต่อ WHO FCTC ทำให้ไทยได้ดำเนินตามกรอบอนุสัญญาฉบับนี้เป็นที่ประจักษ์และเป็นผู้นำในการควบคุมยาสูบทั้งระดับภูมิภาคและระดับโลกมาโดยตลอด ทั้งมีการออกนโยบาย ยุทธศาสตร์ มาตรการ แนวทางเพื่อควบคุมยาสูบของประเทศ รวมถึงการปรับปรุงกฎหมายว่าด้วยการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
ดร.เอเดรียนา บลังโก มาร์กิโซ (Dr. Adriana Blanco Marquizo) หัวหน้าสำนักเลขาธิการกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO Framework Convention on Tobacco Control : WHO FCTC) และคณะเดินทางมาไทยและประชุมร่วมกับผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเพื่อสรุปผลการประเมินความจำเป็น การดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลกของไทย
ดร.เอเดรียนา กล่าวถึงเจตนารมณ์ในการเดินทางเยือนไทยครั้งนี้ เพื่อสนับสนุนให้ประเทศเดินหน้าต่อไปในการปกป้องนโยบายสาธารณะจากกิจกรรมของอุตสาหกรรมยาสูบ ดังนี้
หนุนไทยคงมาตรการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า
ภารกิจสำคัญของการเดินทางมาครั้งนี้ นอกจากการประเมินความจำเป็นแล้ว ในการดำเนินการตามกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ทั้งการทบทวนกฎหมาย ยุทธศาสตร์ นโยบาย มาตรการควบคุมยาสูบของประเทศไทย โดยเฉพาะประเด็นเรื่อง บุหรี่ไฟฟ้า ได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินงานของไทยจากหลายหน่วยงาน อย่างเช่น คณะกรรมควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) องค์การสหประชาชาติ องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย สำนักงานโครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย และภาคีเครือข่ายด้านการควบคุมยาสูบของไทย
คณะผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกสนับสนุนให้รัฐบาลใหม่ไทยคงมาตรการห้ามนำเข้าและขายบุหรี่อิเล็กทรอนิกส์และผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบใหม่ทุกชนิด ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มนักสูบหน้าใหม่ เด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่วงจรบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าบุหรี่ไฟฟ้ากำลังเป็นภัยสุขภาพชนิดใหม่ที่เข้าถึงเด็กและเยาวชนให้ติดบุหรี่ทั่วโลก เนื่องจากใช้กลยุทธ์ล่อลวงต่างๆ
ดร.เอเดรียนา กล่าวเพิ่มเติมว่า การขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ สิ่งที่แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนอย่างแท้จริง นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ประเทศไทยควรรักษากฎหมายนี้ต่อไป และบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองเด็กและเยาวชนจาก บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นวิธีที่ดีสำหรับประเทศที่มีรายได้ปานกลางอย่างไทย โดยประเทศไทยควรเร่งรณรงค์พิษภัยของการเสพติดบุหรี่ไฟฟ้าในระบบการศึกษา นอกจากนี้ ควรให้ความสำคัญถึงการป้องกันการแทรกแซงโดย อุตสาหกรรมยาสูบ ตามแนวปฏิบัติข้อ 5.3 ของกรอบอนุสัญญาฯ ทั้งในกลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการที่มีหน้าที่ในการกำหนดและปฏิบัติตามนโยบายเพื่อการควบคุมยาสูบ
เปิดข้อมูลห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มเป็น 37 ประเทศ
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า องค์การอนามัยโลก เคยได้รับประเมินสมรรถนะการควบคุมยาสูบของประเทศไทยเมื่อปี 2551 มีข้อเสนอให้ไทยทำตามนี้ 1) ขึ้นภาษีบุหรี่ซิกาแรตตามการเปลี่ยนแปลงของค่าครองชีพ 2) ขึ้นภาษียาเส้นมวนเองให้สูงขึ้น 3) ปรับกฎหมายให้ห้ามสูบบุหรี่ในทุกพื้นที่สาธารณะ 4) จัดบริการให้คำปรึกษาเพื่อเลิกบุหรี่ในระบบบริการปฐมภูมิ 5) กำหนดแผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ โดยเพิ่มความเข้มแข็งของการควบคุมยาสูบทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค 6) สร้างบุคลากรควบคุมยาสูบรุ่นใหม่ และ 7) เพิ่มการรณรงค์พิษภัยยาสูบผ่านสื่อหลัก ซึ่งไทยได้ดำเนินการตามข้อแนะนำหลักๆ เช่น การมีแผนควบคุมยาสูบแห่งชาติ การกำหนดในกฎหมายให้มีคณะกรรมการควบคุมยาสูบจังหวัด แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร เช่น แผนการขึ้นภาษียาเส้นมวนเอง การบริการรักษาการเลิกสูบบุหรี่ที่ยังไม่เข้มแข็ง และยังขาดงบประมาณรณรงค์พิษภัยยาสูบผ่านสื่อต่างๆ ทั้งนี้ การประเมินความต้องการเพิ่มความเข้มแข็งของการควบคุมยาสูบของไทยจะได้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์สำหรับรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนงานควบคุมยาสูบ เพื่อลดจำนวนคนสูบบุหรี่ให้เหลือน้อยที่สุดต่อไป
ศ.นพ.ประกิต กล่าวถึงข้อมูลล่าสุดว่า ปัจจุบันประเทศห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจาก 32 ประเทศ เมื่อ 2 ปีก่อน เพิ่มเป็น 37 ประเทศ และอีก 2 เขตปกครองพิเศษ ประเทศที่เพิ่มขึ้นคือ นอร์เวย์ สปป.ลาว มอริเชียส วานูอาตู ปาเลา กาบูเวร์ดี เขตปกครองพิเศษฮ่องกง และไต้หวัน ขณะที่มาเลเซียที่เคยถูกจัดอยู่ในประเทศที่ห้ามขายเนื่องจากหลายรัฐมีการห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า แต่ปัจจุบันมาเลเซียอนุญาตให้บุหรี่ไฟฟ้าขายได้ภายใต้การควบคุมแล้ว ทั้งนี้ แนวโน้มคือประเทศต่างๆ ทยอยออกกฎหมายห้ามขายและห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อป้องกันวัยรุ่นเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้า ทำได้ง่ายกว่าการเปิดขายให้ถูกกฎหมาย ดังที่ประเทศที่อนุญาตให้ ขายบุหรี่ไฟฟ้า ได้ประสบปัญหาการระบาดในวัยรุ่น อยากขอให้รัฐบาลใหม่ยังคงกฎหมายห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าของไทยไว้ และมีการบังคับใช้กฎหมายห้ามขายอย่างเข้มงวด ซึ่งจะป้องกันเด็กและเยาวชนจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ดีกว่า
ผลักดันไทยขึ้นภาษียาเส้น หนุนกระจายรณรงค์ลดยาสูบสู่ท้องถิ่น
นอกจากนี้ ในด้านของมาตรการทางภาษี ดร.เอเดรียนาให้ความเห็นว่าขณะนี้ไทยจัดเก็บภาษียาเส้นในระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับบุหรี่ซิกาแรต ยาเส้นที่มีปริมาณการผลิตไม่เกิน 12,000 กิโลกรัมต่อปี เก็บภาษี 0.025 บาทต่อกรัม ส่วนยาเส้นที่มีปริมาณการผลิตเกิน 12,000 กรัมต่อปี เก็บภาษี 0.10 บาทต่อกรัม ทำให้ราคาขายปลีกยาเส้นต่อซองต่ำกว่าบุหรี่ซิกาแรต 5-6 เท่า
ดังนั้น ประเทศไทยควรวางแผนภาษียาเส้นระยะยาว และปรับโครงสร้างฐานภาษีให้สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อและคำนึงถึงด้านสุขภาพเป็นสำคัญตามแนวปฏิบัติข้อที่ 6 มาตรการราคาและภาษีของ FCTC โดยให้กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับกระทรวงการคลัง จัดทำอัตราภาษีใหม่ที่เหมาะสมกับและสอดคล้องกับการเจ็บป่วยจากโรคที่เกิดจากยาสูบ ซึ่งที่ผ่านมา อุตสาหกรรมยาสูบ พยายามโจมตีการขึ้นภาษีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยาสูบต่อเนื่อง โดยมีการอ้างว่าการขึ้นภาษีจะเป็นช่องโหว่ให้ผลิตภัณฑ์ยาสูบเถื่อนไหลเข้ามาในประเทศ แต่ได้มีการศึกษาหลายประเทศที่เห็นว่าการขึ้นภาษีไม่ได้ทำให้ผลิตภัณฑ์เถื่อนเพิ่มขึ้นตามที่กล่าวอ้าง
นอกจากนี้ ดร.เอเดรียนา เห็นด้วยว่า ควรส่งเสริมงานควบคุมยาสูบให้กระจายลงพื้นที่ โดยได้มีการดำเนินผ่านคณะกรรมการควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบระดับจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้มาตรการและบริการต่างๆ ลงสู่ประชาชนในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งยังจะเป็นการเสริมสร้างความเข้มแข็งในระดับภาคประชาชนและประชาสังคมทั้งสนับสนุนให้ไทยให้สัตยาบันต่อพิธีสารว่าด้วยการขจัดการค้าผลิตภัณฑ์ยาสูบผิดกฎหมาย เพราะปัญหาบุหรี่เถื่อนระบาดหนักมากขึ้นในไทย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและกระทบต่อรายได้จากการจัดเก็บภาษียาสูบของไทย และสนับสนุนบริการรักษาการเลิกสูบบุหรี่อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ หากไทยสามารถดำเนินการครบทุกมาตรการที่เสนอแนะ ส่งผลให้ไทยสามารถควบคุมและป้องกันปัญหาจากยาสูบทุกชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุเป้าหมายที่รัฐบาลไทยต้องการให้อัตราการสูบยาสูบลดลง 14% ภายในปี 2570
จัดตั้งศูนย์ความรู้สำหรับมาตรา 5.3 ระดับโลก
อีกหนึ่งรูปธรรมของการเยือนไทยครั้งนี้ ยังมีการร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยมหิดล ร่วมกันจัดตั้งศูนย์ความรู้สำหรับมาตรา 5.3 ของ WHO FCTC เพื่อร่วมกันพัฒนางานควบคุมยาสูบและการดำเนินการตามกรอบ อนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก ในประเทศไทยและทั่วโลก โดยมีภารกิจในการเฝ้าติดตามตรวจสอบกิจกรรม ตลอดจนการแทรกแซงของผู้ผลิตและอุตสาหกรรมยาสูบทั่วโลก
ทั้งนี้ การสำรวจล่าสุดของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 ชายไทยอายุมากกว่า 15 ปี สูบบุหรี่สูงถึง 34.7% และผู้หญิง 1.3% ขณะที่คนไทยเสียชีวิตจากการสูบปีละ 62,343 คน ตามข้อมูลจากการวิจัยของสำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศกระทรวงสาธารณสุข และเสียชีวิตจากการได้รับควันบุหรี่มือสองอยู่ที่ 9,434 คนต่อปี ตามรายงานของสถาบันเพื่อการวัดและประเมินผลด้านสุขภาพ มหาวิทยาลัยวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา (Institute for Health Metrics and Evaluation : IHME) รวมถึงค่าใช้จ่ายรักษาโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่มากกว่า 8 หมื่นล้านบาท ในปี 2562 และหากรวมความสูญเสียทางเศรษฐกิจ จากการเจ็บป่วยที่ขาดรายได้และเสียชีวิตก่อนเวลาจะสูงถึงมากกว่า 2 แสนล้านบาท