โศกนาฏกรรมปลาหมอคางดำ : รัฐบอกว่าจับหมดแล้ว ถ้าไม่จริง ต้องจัดการอย่างไร

โศกนาฏกรรมปลาหมอคางดำ : รัฐบอกว่าจับหมดแล้ว ถ้าไม่จริง ต้องจัดการอย่างไร

ปัญหาปลาหมอคางดำยังไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง ทั้งๆ ที่ออกลูกทุกวินาที กำจัดยาก จึงเป็นเสมือนอาชญากรรมความหลากหลายทางชีวภาพ

หากคิดกำจัด ปลาหมอคางดำให้ราบเป็นหน้ากอง ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และไม่มีปาฎิหาริย์ เรื่องนี้จึงกลายโศกนาฏกรรมไม่รู้จบสำหรับเกษตรกร 

"คนของรัฐไปจับปลาในเวลาราชการ ไม่ใช่เวลาราษฎร แล้วปลาที่อยู่ในคลองก็ไม่ถูกกำจัด ถ้าจะให้หมด ปลาคลองต้องหมดก่อนปลาบ่อ" ปัญญา โตกทอง เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิด ต.แพรกหนามแดง จ.สมุทรสงคราม กล่าวในการเสวนา “แนวคิด แนวทางและเครื่องมือประเมินมูลค่า เพื่อเยียวยาและฟื้นฟูความเสียหายทางเศรษฐกิจและระบบนิเวศ กรณีปลาหมอคางดำ”  

ปลาหมอคางดำขยายพันธุ์ทุกวินาที ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและระบบนิเวศ จนประเมินค่าไม่ได้

"ตอนนี้ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำได้ คนของรัฐลงพื้นที่เดือนละครั้งสองครั้ง แล้วเมื่อไรปลาจะหมด ปลาที่รับซื้อก็เป็นปลาบ่อ ยังมีปลาที่อยู่ในคลองอีกเยอะ" เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาสลิด กล่าว

เจ้าคางดำ...ออกลูกทุกวินาที

ข้ออ้างที่ว่าปลาหมอคางดำถูกกำจัดหมดแล้ว เรื่องนี้ ปัญญา บอกว่า ไม่เป็นความจริง รัฐจับปลาได้ไม่กี่กิโลกรัม ถ้าจะจับให้หมด ปลาคลองต้องหมดก่อนปลาบ่อ จุดรับซื้อก็ต้องใกล้ๆ ให้มีทุกตำบล 

"ชาวบ้านต้องการให้รับซื้อกิโลกรัมละ 20 บาทเพื่อเยียวยาด้วย หากจะให้เป็นธรรมต้องคิดค่าชดเชยตั้งแต่ปี 2560 ที่ปลาหมอคางดำเริ่มระบาดอย่างหนัก"

โศกนาฏกรรมปลาหมอคางดำ : รัฐบอกว่าจับหมดแล้ว ถ้าไม่จริง ต้องจัดการอย่างไร

เมื่อไม่สามารถประเมินความเสียหายได้ เพราะเป็นความเสียหายที่เชื่อมโยงทั้งระบบสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม 

บุญยืน ศิริธรรม ประธานสภาองค์กรของผู้บริโภค ขอใช้คำว่า ชิบหาย จนยากจะกู้คืน เพราะรัฐไม่เคยแก้ปัญหาจริงจังตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นมา นอกจากปลาหมอเทศที่หายไป ปลากระบอกในพื้นที่ก็ไม่มีแล้ว 

"นั่นทำให้ผู้บริโภคไม่มีทางเลือกบริโภคปลาอื่นได้เลย รวมถึงหอยหลอด หอยกระปุกลดจำนวนลง แม้กระทั่งการออกไปรุนเคย เพื่อมาทำกะปิ ก็จะไม่มีเคยให้รุนแล้ว มีแต่ปลาหมอคางดำ"

โศกนาฏกรรมที่เกิดจากปลาหมอคางดำ บุญยืน บอกว่า  เพื่อนๆ เคยออกไปรุนเคยได้วันละ 500 – 600 บาท แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำอาชีพนั้นได้แล้ว เพราะไม่มีเคยแล้ว ปลาหมอกินเคยหมด อย่างเกษตรกรบ่อกุ้งเดือนหนึ่งมีรายได้ประมาณ 20,000 บาท  7 ปีแล้วที่ทำอาชีพไม่ได้เลย กลายเป็นที่รกร้าง”

โศกนาฏกรรมปลาหมอคางดำ : รัฐบอกว่าจับหมดแล้ว ถ้าไม่จริง ต้องจัดการอย่างไร

ความเดือดร้อนเกิดขึ้นทุกหัวระแหง ไม่เว้นแม้กระทั่งลุ่มน้ำปากพนัง  บุญเยียน รัตนวิชา ผู้จัดการสหกรณ์ผู้เลี้ยงกุ้งลุ่มน้ำปากพนัง เล่าว่า ช่วงปี 2565 ที่ปลาหมอคางดำเริ่มระบาดที่ อ.หัวไทร และ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช พื้นที่ที่ระบาดหนักที่สุดใกล้กับบริษัทเอกชนที่สงสัยว่า เป็นผู้นำเข้ามาครั้งแรก

ขณะที่ฟาร์มขนาดใหญ่ของเอกชนทั่วไปไม่ระบาด หรือพบน้อยมาก จึงอาจมีโอกาสที่จะเกิดจากการบำบัดน้ำเสีย เพราะแหล่งที่พบเป็นคลองน้ำเสียที่เชื่อมกับคลองสาธารณะ

"การรับซื้อปลาของบริษัทเอกชน เพื่อผลิตปลาบ่น เป็นแค่การถือโอกาสนำเงินมาสร้างมูลค่าขายอาหารสัตว์ให้เกษตรกรต่อ ไม่ใช่การช่วยเหลือจริงๆ "

ทั้งนี้ ความเสียหายเฉพาะการเพาะเลี้ยงกุ้งตั้งแต่ปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่ปี 2565 ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ยังไม่รวมความเสียหายอย่างปลาในแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น ปลาหมอเทศที่สูญหายไป จากเดิมที่ขายตัวละ 25 บาทเป็นกิโลกรัมละ 60 บาท ส่งผลให้คนในพื้นที่ต้องซื้อปลาราคาแพงขึ้น

ทางแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ

ก่อนหน้านี้ ปลาหมอคางดำไม่เคยมีในระบบปลาสวยงามของไทย แต่ปัจจุบันถูกพบตอนกลางคุ้งกระเบน ห่างจากจุดแรกที่พบการระบาดประมาณ 300 กิโลเมตร ซึ่งใช้ระยะเวลา 12 ปี ปีละ 25 กิโลเมตร จึงสามารถไปไกลถึงกัมพูชาหรือเวียดนาม

กรณีดังกล่าว ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ นักธรรมชาติวิทยา เจ้าของรางวัล ASEAN Biodiversity Heroes กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าการระบาดปลาหมอคางดำเกิดจากปลาสวยงาม คงต้องปฏิเสธในฐานะคนเลี้ยงปลาสวยงาม และอยากเสนอวิธีการแก้ปัญหาว่า ต้องจับปลาหมอคางดำออก แล้วมีคนมารับซื้อไป รวมถึงต้องทำระบบนิเวศให้สมบูรณ์ ไม่ให้มีน้ำเสีย 

โศกนาฏกรรมปลาหมอคางดำ : รัฐบอกว่าจับหมดแล้ว ถ้าไม่จริง ต้องจัดการอย่างไร

"เกษตรกรก็ต้องปรับตัว ถ้าจะปล่อยน้ำเข้าบ่อ ต้องมีระบบกรองที่ดี ส่วนบ่อกุ้ง บ่อปู ต้องสร้างระบบนิเวศ อย่างมีกองหิน ซอกไม้ให้ลูกกุ้ง ลูกปูหลบเวลาลอกคราบ เป็นต้น"

ทางด้าน ดร.ชวลิต วิทยานนท์ นักวิชาการอิสระด้านความหลากหลายสัตว์น้ำ และคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ เสนอแนวทางการแก้ปัญหาว่า ให้นำปลาหมอคางดำขึ้นมาให้มากที่สุด โดยตั้งเป้าให้เหลือศูนย์สำหรับทุกขนาด 

"ถ้าเป็นพื้นที่น้ำตื้นก็ใช้อวนจับ เมื่อกำจัดให้เหลือน้อยแล้ว ค่อยปล่อยปลานักล่าลงแหล่งน้ำ โดยสอนลูกปลาให้กินลูกปลาหมอคางดำก่อน

ในขณะที่การแก้ปัญหาระยะยาว ทุกกระทรวง ทุกรัฐบาล ต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมคุณภาพแม่น้ำทุกสายในประเทศไทยไม่ให้เกิดการเน่าเสีย

เพราะแม่น้ำที่มีปลาหมอคางดำระบาดอย่างรุนแรง จะมีคุณภาพน้ำแย่ โดยต้องเฝ้ากำจัดอย่างต่อเนื่อง ไม่เช่นนั้น หากแผ่ว หรือหยุดไป ไม่กี่ปี ปัญหานี้จะกลับขึ้นมาเหมือนเดิม"

คนทำงานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำ ให้ความเห็นว่า การประเมินค่าความเสียหายนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือ การทำให้มีผลทางกฎหมายในเชิงฟ้องร้อง หรือเรียกร้อง

"มูลค่าความเสียหายไม่ได้ดูแค่จำนวนเงินว่านำมาใช้เท่าไหร่ ต้องดูทั้งระบบนิเวศ ซึ่งกรณีของปลาหมอคางดำเป็นอาชญากรรมความหลากหลายทางชีวภาพ เพราะเกิดความเสียหายรุนแรง" ดร.กฤษฎา บุญชัย เลขาธิการสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา ให้ข้อมูลและโยงว่า

โศกนาฏกรรมปลาหมอคางดำ : รัฐบอกว่าจับหมดแล้ว ถ้าไม่จริง ต้องจัดการอย่างไร

 เรื่องนี้ต้องมีมาตรการควบคุม ชดเชยเยียวยา และความรับผิดชอบ ในขณะที่กฎหมายของไทย อย่างร่างพระราชบัญญัติความหลากหลายทางชีวภาพ พ.ศ. .... ที่จะออกมาบังคับใช้นั้น การมีส่วนร่วมของประชาชนยังมีน้อยมาก 

“เราจะทำให้วิถีชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างไร รวมถึงการมีระบบป้องกันที่มีธรรมาภิบาล ตรวจสอบได้ เอาผิดได้”

มูลค่าความเสียหาย ผู้ก่อมลพิษต้องจ่าย

ถ้ามองเรื่องความเสียหายทางเศรษฐกิจ เศรษฐภูมิ บัวทอง ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาเครื่องมือด้านการประเมินผลตอบแทนทางสังคม (SROI TU) วิทยาลัยพัฒนศาสตร์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ย้อนให้เห็นภาพว่า ในปี 2550-2561 คนในชุมชนแพรกน้ำแดง จ.สมุทรสงคราม เลี้ยงกุ้งทะเล มีรายได้ 100 ล้านบาทต่อปี

แต่ปัจจุบันปริมาณกุ้งในลำน้ำแทบไม่เหลือเลย ผลมาจากการระบาดของปลาหมอคางดำ ทำให้เงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจสูญหายไป 

เศรษฐภูมิ มองว่า ผู้ก่อผลกระทบ ต้องเป็นผู้ที่ชดเชยความเสียหายแก่ผู้ได้รับผลกระทบ ทั้งนี้จะเรียกร้องได้จากทั้งค่าความเสียหายการตลาด ค่าความเสียหายด้านอาชีพ ที่คนเลี้ยงกุ้งต้องเปลี่ยนอาชีพ การปกป้อง ฟื้นฟู

และเยียวยาระบบนิเวศ เช่น การที่รัฐต้องเข้าไปรับซื้อปลาหมอคางดำ 20 บาทต่อกิโลกรัม ในขณะที่มูลค่าของปลาอยู่ที่ 6 บาท รวมถึงค่าเสียโอกาสของประเทศ

หากใช้มุมนักเศรษฐศาสตร์ ดร.สันติ แสงเลิศไสว รองศาสตราจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ประเมินมูลค่าความเสียหายจากปลาหมอคางดำ ไว้ดังนี้ 

1. วิเคราะห์ประโยชน์ที่เคยได้รับมีอะไรบ้าง เช่น จับปลาไปขายได้อย่างไร 

2. ผู้ได้รับความเสียหาย หรือคนที่เคยได้รับประโยชน์เป็นใคร 

3. ประเมินมูลค่าความเสียหายในทางเศรษฐศาสตร์ 

4. วิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและระยะเวลาที่ต้องใช้ฟื้นฟูให้กลับมาสภาพเดิม หรือใกล้เคียงเดิม 

ทั้งนี้ ความเสียหายต้องคิดมูลค่าจากประโยชน์ที่เคยได้รับ และค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูกับระยะเวลาให้กลับมามีสภาพดั้งเดิม ดร.สันติ มองว่า ผู้ได้รับผลกระทบไม่ใช่แค่ผลกระทบในพื้นที่ แต่รวมถึงนักท่องเที่ยว เมื่อหอยหลอดหายไป ย่อมก่อให้เกิดความสูญเสียประโยชน์ในเชิงนันทนาการ

"เราต้องคิดให้หมดทุกอย่างที่ปลาหมอคางดำทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะเป็นความเสียหายที่เกิดจากการระบาดทั้งหมด”