สานพลัง เปลี่ยน 'เด็กชายแดนใต้' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

สานพลัง เปลี่ยน 'เด็กชายแดนใต้' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

ในวันที่ไทยพัฒนาก้าวหน้าไปไกล และมีความเจริญหลายด้าน แต่ในบางพื้นที่อย่างเช่น "สามจังหวัดชายแดนใต้" กลับพบเด็กเผชิญภาวะขาดสารอาหาร จนนำมาสู่การสานพลังภาคีเครือข่าย นำร่องพัฒนาตำบลต้นแบบบูรณาการระบบอาหารในพื้นที่ จ.ปัตตานี เพื่อมุ่งแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ

พ่อแม่หลายคนอาจมีทัศนคติว่า การที่ลูกน้อยของตนเองผ่ายผอม ไม่ใช่เรื่องน่ากังวล หรืออาจเพราะอยู่ในช่วงวัยซน ไม่ก็มองว่าลูกหลานผอมย่อมดีกว่าอ้วน แต่แท้จริงแล้ว "ความผอม" ไม่ได้ส่งผลเพียงแค่เรื่องพละกำลัง หรือร่างกายที่แข็งแรง หากเด็กที่มีน้ำหนักน้อยเกินไป ยังส่งผลต่อความแข็งแรงของระดับสติปัญญา พัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็ก โดยเฉพาะในวัยที่พัฒนาการเฟื่องฟูที่สุดในชีวิตอีกด้วย

ทว่าจากข้อมูลสถานการณ์ด้านโภชนาการพื้นที่ชายแดนใต้ ปี 2565 โดยการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติและยูนิเซฟ พบว่า พื้นที่ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ยะลา ปัตตานี นราธิวาส) มีปัญหาทุพโภชนาการติด 1 ใน 5 อันดับสูงสุดของประเทศ พบเด็กอายุ 1-5 ปี มีภาวะเตี้ยแคระแกร็นหรือมีส่วนสูงต่ำกว่าเกณฑ์อายุ 20% สูงกว่าค่าเฉลี่ยประเทศอยู่ที่ 13% ส่วนด้านค่าเฉลี่ยเชาวน์ปัญญา (IQ) ของเด็กนักเรียนไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา และนราธิวาสมีคะแนนเฉลี่ยต่ำกว่าคะแนนเฉลี่ยระดับประเทศ ซึ่งมีสาเหตุจากการ ขาดสารอาหาร ต่อเนื่อง และอาจกระทบต่อการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็กในระยะยาว รวมถึงส่งผลต่อความไม่มั่นคงของมนุษย์ และเศรษฐกิจประเทศ

เด็กผอมจะสร้างผลกระทบอย่างไรในวงกว้าง?

ลองนึกภาพ พัฒนาการล่าถอย ประเทศชาติย่อมขาดคนคุณภาพที่จะมาเป็นเรี่ยวแรงขับเคลื่อนสังคม ซึ่งหากประเทศไทยเรามีแต่เด็กที่มี ภาวะทุพโภชนาการ ยาวนาน ย่อมส่งผลต่อเนื่องไปถึงการสะสมทุนมนุษย์ที่เป็นทั้ง "วัยแรงงาน" หรือเป็นสมองของสังคมในวันข้างหน้า คำถามคือ ขณะที่พวกเราบริโภคกันเหลือเฟือและเหลือทิ้ง แต่ทำไมเด็กสามชายแดนกลับขาดอาหาร เพราะความยากจนน่ะหรือ? นั่นก็ใช่ส่วนหนึ่ง หากแต่ข้อเท็จจริงที่เหลือยังมีมากกว่านั้น 

สานพลัง เปลี่ยน \'เด็กชายแดนใต้\' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

ติดอันดับยากไร้สูงสุด

ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา นอกจากสถานการณ์ความไม่สงบแล้ว ผลกระทบจากโควิด-19 ยิ่งกระหน่ำซ้ำเติมปัญหาด้านเศรษฐกิจพี่น้องสามชายแดนใต้ให้กลายเป็นพื้นที่ยากจนที่สุดในประเทศ 

อันที่จริงภาคใต้มีพื้นที่เกษตรทั้งหมด 21,748,100 ไร่ แต่เน้นการทำเกษตรเชิงเดี่ยวเป็นหลักมากกว่า 85-90% โดยกว่า 70% ได้เปลี่ยนเป็นพื้นที่ปลูกยางพารา ในขณะที่ปลูกพืชเป็นอาหาร เช่น ข้าว มีเพียง 4.06% ของพื้นที่เกษตรทั้งหมด ส่วนพื้นที่ปลูกเกษตรอินทรีย์มีเพียง 3.07% 

นอกจากนี้ ปริมาณผลผลิตเนื้อสัตว์ในสามจังหวัดชายแดนใต้มีเพียง 7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี (ไม่รวมปลาและสัตว์น้ำ) เทียบกับความต้องการบริโภคเนื้อสัตว์โดยเฉลี่ยทั้งประเทศ 54.7 กิโลกรัมต่อคนต่อปี แม้แต่แหล่งโปรตีนที่ดีที่สุดและราคาถูกที่สุดอย่างเช่น ไข่ ที่นี่มีปริมาณผลผลิตไข่ไก่ ไข่เป็ดในพื้นที่เพียง 14.9 ฟองต่อคนต่อปีเท่านั้น ที่เหลือต้องนำเข้าจากข้างนอก ส่วนหนึ่งเพราะด้วยปัญหาความไม่มั่นคงทำให้บริษัทคอนแทร็คฟาร์มขนาดใหญ่ไม่กล้าเข้ามาตั้ง 

แม้แต่การจับหาปลาก็มักเป็นการประมงขนาดใหญ่ที่มุ่งอุตสาหกรรมหรือทำเพื่อขาย ประมงขนาดเล็กมีเพียงเล็กน้อย ที่สำคัญ ชาวบ้านก็จะเลือกจับปลาดีๆ ส่งขาย ส่วนตัวเองกลับอด ด้วยมีความเชื่อความคิดที่ว่า ของกินเองไม่มีคุณภาพก็ได้ ของดีเก็บไว้ขายดีกว่า 

สานพลัง เปลี่ยน \'เด็กชายแดนใต้\' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

ฉะนั้น ก่อนสถานการณ์จะยิ่งวิกฤติ ในวันนี้จึงถึงเวลาที่จะปฏิวัติระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ ใน สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จากความห่วงใยของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สถาบันนโยบายสาธารณะมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) องค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 12 สงขลา และภาคีเครือข่าย นำมาสู่ การจัดเวที Policy Forum พลังความร่วมมือร่วมใจ ทุกนโยบายห่วงใยระบบอาหารเพื่อสุขภาวะ "Food system in all policy" ภายใต้โครงการขับเคลื่อนและยกระดับระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ในจังหวัดสงขลาและสามจังหวัดชายแดนใต้ เมื่อเร็ว ๆ นี้

Food system in all policy

"การจะทำให้ประชาชนพี่น้องสามจังหวัด หลุดพ้นความยากจนได้ รากฐานสำคัญต้องเริ่มที่เด็ก ซึ่งปัญหาทั้งหมดไม่ได้แก้ด้วยหน่วยงานราชการ แต่แก้ได้ด้วยการมีส่วนร่วม" นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. เอ่ย พร้อมกล่าวต่อว่า การขับเคลื่อนงานระบบอาหารเพื่อสุขภาวะตลอดห่วงโซ่ เป็น 1 ใน 7 ประเด็นการทำงานตามทิศทางและเป้าหมายระยะ 10 ปี ของ สสส. มุ่งส่งเสริมให้ประชาชนมีการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาพอย่างสมดุล ช่วยลดความเสี่ยงจาก โรคไม่ติดต่อ (NCDs)

เพื่อร่วมมือกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น สสส. จึงได้เร่งสร้างความร่วมมือภาคีเครือข่าย นำร่องพัฒนาตำบลต้นแบบบูรณาการระบบอาหารในพื้นที่ จ.ปัตตานี จนเกิดการยกระดับการทำงานเชิงระบบและเกิดข้อเสนอเชิงนโยบายที่สำคัญ 3 เรื่อง 1.สร้างระบบอาหารที่ยั่งยืน 2.สร้างระบบอาหารปลอดภัย จ.ปัตตานี 3.แก้ปัญหาโภชนาการในกลุ่มเด็กเล็ก วัยเรียน และกลุ่มเปราะบาง จ.ปัตตานี

สานพลัง เปลี่ยน \'เด็กชายแดนใต้\' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

แค่อิ่มท้อง ไม่อิ่มสุขภาพ

ไม่เฉพาะปัญหาความขาดแคลนแหล่งผลิตอาหารในพื้นที่ ในด้าน "วัฒนธรรมการบริโภค" ของพี่น้องคนใต้เองก็ส่งผลต่อการเข้าไม่ถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ 

นพ.อนุรักษ์ สารภาพ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดปัตตานี บอกเล่าว่า คนใต้ยังติดการบริโภคอาหารสชาติจัด หวาน มัน เค็ม เข้มข้นสูง

"ปัตตานีเป็นชาเย็นอร่อยที่สุด มีสีผสมอาหารไม่เกินเกณฑ์แต่ปริ่มพอดี สีไม่เข้มก็ไม่อร่อย หมอก็ไม่กินนะ ส่วนความเค็ม เราเข้าไปดูปริมาณเกลือไอโอดีน พบว่า เกลือเยอะแต่ไอโอดีนน้อย เราพบเด็กประมาณ 40% มีภาวะตัวซีด ผมมองว่าต้องการมีส่วนร่วมภาคีและชุมชน ต้องเชื่อมโยงทำงานเพื่อให้เขาเห็นภาพสุดท้าย คือเป้าหมายร่วมกัน และการบูรณาการร่วมกัน"

เศรษฐ์ อัลยุฟรี นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี กล่าวว่า จ.ปัตตานี ใช้กลไกโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) 38 แห่ง ร่วมกับ Thailand Policy Lab สภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน ให้สามารถจัดทำแผนงาน/โครงการเพื่อแก้ปัญหา สร้างความรู้ ความเข้าใจ เกิดแนวร่วมในชุมชนให้เห็นพิษภัยของอาหารที่ใช้สารเคมี ทั้งอาหารแปรรูป ชาไทย ที่มีสีสังเคราะห์ปนเปื้อนในอาหาร และอาหารทะเล ที่มีสารฟอร์มาลีน โลหะหนัก สารหนู สารตะกั่วปนเปื้อนในอาหาร โดยส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัย และเสริมสร้างความรอบรู้ให้ผู้บริโภคฉลาดเลือก เนื่องจากผู้ปกครองยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับความสำคัญของอาหารต่อการพัฒนาสมอง 

สานพลัง เปลี่ยน \'เด็กชายแดนใต้\' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

ขับเคลื่อนด้วยทุนในชุมชน

กนกรัตน์ เกื้อกิจ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. เอ่ยถึงสถานการณ์ ภาวะทุพโภชนาการ ส่งผลต่อทักษะด้านการเรียนรู้ต่อเด็กในพื้นที่สามชายแดนใต้ว่า ปัจจุบันมีจำนวนกว่า 40,000 คน ที่ประสบปัญหาตั้งแต่ในครรภ์มารดาเมื่อคลอดออกมามีน้ำหนักไม่ถึงตามเกณฑ์ที่กำหนด ขาดสารอาหาร เตี้ย แคระ แกร็น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสติปัญญา ทั้งนี้ด้วยสาเหตุหลักคือ อาจจะมาจากความไม่พร้อมของครอบครัว ไม่มีอาชีพไม่มีรายได้ มาจุนเจือเลี้ยงดู เด็กขาดการดูแลเอาใจใส่ ส่งผลต่อการเรียนการศึกษา 

ผศ.ดร.พงศ์เทพ สุธีรวุฒิ รองอธิการฝ่ายบริหารและยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เผยถึงกลยุทธ์สำคัญที่จะทำให้พี่น้องชายแดนใต้เข้าถึงอาหารปลอดภัย ว่านอกจากการสร้างระบบผลิตอาหารคุณภาพแล้ว ขณะเดียวกันยังต้องสอดแทรกความรอบรู้และส่งเสริมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้

"วิธีการสำคัญที่ทำเรื่องนี้ได้คือ ต้องดึงคนในชุมชนมาเป็นแกนนำ มาขับเคลื่อนด้วยตัวเอง เราจึงมองการสร้างเครือข่ายชุมชนมีความสำคัญ รวมถึงท้องถิ่น โดยใช้กลไกชุมชนที่มี ทุนต่างๆ อาทิ กองทุนสุขภาพตำบล สปสช. ให้งบประมาณท้องถิ่นและสมทบตั้งกองทุนเพื่อทำงานเรื่องสุขภาพในระดับพื้นที่ ขณะที่ สสส. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ สปสช. ก็ยังร่วมกันลงไปสร้างองค์ความรู้และเสริมสร้างศักยภาพคนในพื้นที่เพื่อให้สามารถเข้าใจถึงเรื่องกระบวนการสร้างเสริมสุขภาพ" 

ม.อ. จึงเร่งบูรณาการทำงานเครือข่ายนักวิชาการทั้งในและนอกพื้นที่ ช่วยเป็นพี่เลี้ยงหนุนเสริมการทำงานส่งเสริมการบริโภคอาหารเพื่อสุขภาวะ อาทิ เครือข่ายตลาดนัดอาหารเช้าโรงเรียน 6 แห่งใน จ.ปัตตานี ให้นักเรียนเป็นผู้ประกอบการ ผลิตอาหารปลอดภัย เพิ่มรายได้ในครัวเรือน ส่งเสริมโครงการปลูกผักยกแคร่ สร้างโรงเรือนปลูกผักในที่สูงป้องกันวัชพืช ทำให้กลไกชุมชนจังหวัดปัตตานี และองค์การบริหารส่วนจังหวัดปัตตานี เป็นพื้นที่ต้นแบบที่เข้มแข็ง ช่วยสร้างแนวทางการกำหนดนโยบายที่แก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด

สานพลัง เปลี่ยน \'เด็กชายแดนใต้\' อิ่มท้อง อิ่มสมอง ห่างไกลทุพโภชนาการ

เด็กใต้ไม่ขาดสารอาหารยั่งยืน

เพ็ญ สุขมาก จากสถาบันนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เล่าถึงการขับเคลื่อนโครงการนี้ เป็นการต่อยอดจากโครงการนำร่องที่สงขลามาก่อนแล้วในปี 2557-2558

"โครงการนั้นเด็กร่วมกันทำตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ เกษตรเพื่ออาหารกลางวัน โรงครัว แมชชิงโมเดล จนเราออกจากพื้นที่ ปัจจุบันเขาก็ยังทำอยู่ กิจกรรมยังมีและเขาสามารถใช้กลไก งบประมาณที่มีอย่างยั่งยืน เราพบปัญหาครัวเรือนยากจน การเข้าถึงอาหาร อาหารปลอดภัย การจัดการอาหารในโรงเรียน ซึ่งเป็นเรื่องเชิงระบบ ถ้าจะแก้ปัญหาเชิงระบบเราต้องให้ท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมแก้ปัญหาการจัดการ เพราะหนึ่งเขาอยู่ใกล้พื้นที่ สอง เขามีงบประมาณ สามเขามีบุคลากร เรามองว่าถึงจะยั่งยืน ดังนั้น policy ของเราไม่ใช่ policy ที่เป็นระดับ top down แต่เป็นนโยบายสาธารณะที่ทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดได้ ท้องถิ่นกำหนดได้ เพราะคุณมีคนมีเงิน แต่เขาอาจมีข้อจำกัดในเรื่องความรู้ด้านกระบวนการทำนโยบาย เราก็ไปเติมเต็มตรงนี้"

อย่างไรก็ดี เธอยอมรับว่า การทำงานในพื้นที่สามจังหวัดมีความซับซ้อนมาก เนื่องจากเป็นกลุ่มจังหวัดที่ประชาชนอยู่ใต้เส้นความยากจนต่ำมากที่สุด มีความเหลื่อมล้ำมากที่สุด และด้วยวิถีพหุวัฒนธรรม อีกทั้งปัญหาความขัดแย้ง